ยาลิตซ่า อาปาริซิโอ แห่งภาพยนตร์เรื่อง ROMA ดาวลาตินดวงใหม่ขวัญใจฮอลลีวูด

ยาลิตซ่า อาปาริซิโอ แห่งภาพยนตร์เรื่อง ROMA ดาวลาตินดวงใหม่ขวัญใจฮอลลีวูด
ทันทีที่ออสการ์เผยรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล “นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม” ในปีนี้ออกมา ภาพของหญิงสาวพื้นเมืองจากเม็กซิโกซึ่งส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจน้ำตานองหน้าในวินาทีที่ทราบว่าชื่อของเธอปรากฏอยู่บนจอในฐานะหนึ่งในนักแสดงหญิงที่มีโอกาสเข้าชิง ที่ปรากฏผ่านคลิปวิดีโอความยาวเพียงแค่ 14 วินาที จากเพจ  ‘AJ+ Español’ ก็เป็นการการันตีแล้วว่าการเสนอชื่อของ “ยาลิตซ่า อาปาริซิโอ” (Yalitza Aparicio) นักแสดงสาวดาวรุ่งที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ทางกายที่สะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์ของสาวพื้นเมืองแบบเม็กซิกันจากรัฐวาอากาซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอนั้น มีความหมายเพียงใด สาววัย 25 ปี อดีตนักศึกษาครุศาสตร์คนนี้ เคยวางอนาคตการทำงานของเธอไว้บนเส้นทางแม่พิมพ์ของชาติในเม็กซิโก แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันไปอย่างเหลือเชื่อ แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่อาจคาดคิดมาก่อน ยาลิตซ่า อาปาริซิโอ ผู้รับบท “คลีโอ” สาวใช้ในภาพยนตร์ดราม่าภาษาสเปนโทนสีขาวดำ เรื่อง ROMA ของผู้กำกับมือฉมังจาก “แดนจังโก้” เม็กซิโก อย่าง อัลฟองโซ กวารอน ซึ่งเป็นบทที่ส่งให้เธอเข้าชิงรางวัล เข้ามาทดสอบบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยความบังเอิญ ตามที่เธอได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับ The New York Times ว่า “ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมแห่งเมืองตลาเวียโกได้เรียกให้ผู้หญิงที่มีลักษณะของสาวพื้นเมืองไปทดสอบบทการแสดงที่ยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมามากนัก สาวๆ ส่วนใหญ่ราว 3 พันคนที่ไปทดสอบบทนั้นยังไม่มีใครคนไหนถูกใจผู้กำกับอย่างอัลฟองโซสักเท่าไหร่” ทว่าหนึ่งในคนที่พอจะเข้าตาอยู่บ้างในกลุ่มนั้น คือพี่สาวของยาลิตซ่าอย่าง อิดิธซ์ อาปาริซิโอ ที่ไปร่วมทดสอบบทในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ช่วง 3 เดือนที่มีการเฟ้นหานักแสดงกันอย่างเข้มข้นรอบแล้วรอบเล่านั้น อิดิธซ์กลับพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ เธอจึงลังเลที่จะไปต่อ และได้ขอร้องให้ยาลิตซ่าผู้เป็นน้องสาวไปแทน   เมื่อยาลิตซ่าไปแคสต์บทที่ว่านี้ ซึ่งเป็นบทของผู้หญิงเม็กซิกันพื้นเมืองที่ทำงานเป็นสาวใช้ในครอบครัวของคนขาวในเม็กซิโกซิตี้ ในช่วงทศวรรษ 1970 เธอก็ได้รับการติดต่อกลับทันที ยาลิตซ่าได้พบกับอัลฟองโซ เขาพบว่าขณะที่ยาลิตซ่าเดินเข้ามานั้นเธอมีทีท่าที่เขินอายเล็กน้อยด้วยความประหม่า แต่ก็ดูเปิดรับอะไรต่างๆ ได้ดี ซึ่งมันทำให้เขาเห็นว่าเธอเข้าหาคนอื่นได้ และทำให้ใครก็ตามที่รู้สึกอ่อนแออยู่รู้สึกได้ถึงความเห็นอกเห็นใจและรู้สึกดีด้วยกับเธอ แต่เมื่ออัลฟองโซบอกว่าเขาตัดสินใจให้ยาลิตซ่ามารับบทนักแสดงนำหญิงในภาพยนตร์ของเขา เธอกลับโบกมือปฏิเสธ เพราะเพิ่งเรียนจบครูมาและต้องปรึกษาเรื่องนี้กับครอบครัวเสียก่อน แต่ในที่สุดยาลิตซ่าก็โทรกลับมาหากองภาพยนตร์และบอกว่า “ฉันคิดว่า ฉันน่าจะทำได้นะคะ คือตอนนี้ฉันยังไม่ได้ทำอะไร” (เนื่องจากว่ากำลังรอสมัครงานเป็นครูอยู่นั่นเอง) เมื่อได้ร่วมงานกันจริงๆ ผู้กำกับอย่างอัลฟองโซถึงกับเอ่ยปากชมยาลิตซ่าว่า “ตอนที่เธอกำลังแสดงนั้น เธอตีบทคลีโอได้แตกกระจุย นั่นน่ะไม่ใช่ยาลิตซ่าตัวจริงเลย เธอเล่นได้ละเอียดมากๆ” ทำไมการแสดงของเธอจึงจัดได้ว่าเข้าขั้นดีเยี่ยม เหตุผลที่ได้จากผู้กำกับก็คือว่า นักแสดงในเรื่องนี้แสดงสดและเดินบทของตัวเองไปแบบไร้สคริปต์ ซึ่งยาลิตซ่าสามารถพลิกฟื้นความทรงจำในวัยเด็กของอัลฟองโซให้กลับมามีชีวิตโลดแล่นอยู่บนโลกแผ่นฟิล์มได้อย่างน่าอัศจรรย์ อัลฟองโซบอกว่ายาลิตซ่าอินกับบทจัดจนถึงขั้นที่ว่าพอถึงบทที่เศร้ามากๆ มันทำให้เธอทุกข์ระทมในใจกับความจริงที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำของเขาไปพักใหญ่เลยทีเดียว จากผลงานการแสดงครั้งนี้นี่เองที่ทำให้ยาลิตซ่าได้รับการยอมรับในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ ไม่ใช่เฉพาะในเม็กซิโกเท่านั้น แต่ยังดังไกลไปถึงระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แวดวงมายาฮอลลีวูดที่คลาคล่ำไปด้วยนักแสดงมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ทว่าก็แทบไม่มีนักแสดงที่เป็นชนพื้นเมืองบนผืนทวีปอเมริกาเลยแม้แต่คนเดียวที่ได้รับการเชิดชูและหยิบยื่นโอกาสให้ได้อวดฝีไม้ลายมือทางการแสดง การปรากฎตัวของยาลิตซ่าในภาพยนตร์เรื่อง ROMA ในฐานะผู้ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมร่วมกับนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์มาแล้วหลายปี ทั้งที่อาวุโสกว่าหรือมีชื่อเสียงกว่าเธอ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าวงการมายาฮอลลีวูดเองก็ยังต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ยังคงเปิดรับสิ่งที่ขาดหายไป ความหลากหลายและแตกต่าง รวมไปถึงการหยิบยื่นโอกาส และการล้อไปกับกระแสของสังคมโลกที่เล็งเห็นความสำคัญในคุณค่าของการเป็นมนุษย์ทุกคน นอกจากนี้ ก่อนที่จะมีการเสนอชื่อยาลิตซ่าเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ เธอก็เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ ในสาขาเดียวกันนี้มาแล้ว อาทิ Chicago Film Critics Association, Critics' Choice Awards ยาลิตซ่าจึงเป็นนักแสดงสาวชาวพื้นเมืองคนแรกในรอบหลายทศวรรษ ที่สามารถก้าวขึ้นมาปรากฏโฉมอยู่บนพื้นที่สื่อบันเทิงกระแสหลักในฮอลลีวูด ที่ว่ากันว่าการแข่งขันนั้นสูงแบบหายใจรดต้นคอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องโอกาสที่มักจะตกเป็นของนักแสดงผิวขาวก่อนเสมอ หลายคนอาจแย้งว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีนักแสดงสาวดาวเด่นเพื่อนร่วมชาติของยาลิตซ่าคือ ซัลม่า ฮาเย็ก สาดแสงสุกสกาวอยู่ในฮอลลีวูดอยู่ก่อนแล้ว และซัลม่าก็เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเดียวกันจากภาพยนตร์อิงชีวประวัติของศิลปินหญิงชาวเม็กซิกันอย่าง Frida Kahlo แต่ความต่างอยู่ที่ว่าซัลม่าไม่ได้มีภาพของความเป็นชนพื้นเมืองจากเม็กซิกันที่มีผิวสีน้ำตาลแบบยาลิตซ่า ซึ่งมักจะถูกจัดลำดับให้อยู่ในชนชั้นทางสังคมและเศรษฐกิจที่ต่ำที่สุด ยาลิตซ่าแสดงให้เห็นว่าคนลาตินแบบเธอก็มีที่ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความสามารถและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ นอกจากนี้ยังเป็นเหมือนตัวแทนแห่งความหวังและความสามารถของคนลาตินที่มีรูปพรรณสันฐานเดียวกันกับเธอ ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาทำงานในสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ใช้แรงงาน ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย และตกเป็นเหยื่อของการเหยียดสีผิวและกีดกันทางชนชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้นำทางการเมืองสหรัฐฯนั้นมีอุดมการณ์เอียงไปทางขวาจัด และยกให้คนขาวอยู่เหนือกว่าชนชาติอื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันในอเมริกา หญิงสาวยังได้ขึ้นปกนิตยสารชื่อดังอย่าง VOGUE México ปาดหน้าดาราคนอื่นๆ ที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าเธอคือผู้ที่ทำให้สื่อกระแสหลักหันมามองคุณค่าและความสามารถ ช่วยทลายภาพเหมารวมและมายาคติทางเชื้อชาติและชนชั้นทางสังคมเม็กซิกันที่ยึดโยงอยู่กับภูมิหลังทางสังคมที่มีรากมาจากยุคอาณานิคมสเปนได้เป็นอย่างดี ปรากฏการณ์ยาลิตซ่าที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งหนึ่งที่กำลังพิสูจนให้เห็นว่าในปี 2019 ซึ่งเป็นยุคสังคมโลกสมัยใหม่ อคติใดๆ ที่มนุษย์มีต่อกันซึ่งอาจจะมาจากความต่างทางด้านชนชาติ สีผิว ชนชั้นทางเศรษฐกิจ ไม่ควรจะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการทำลายสังคมที่มีพื้นที่ต่างๆ ที่เปิดกว้างให้คนจากทุกวิถีชีวิตเข้ามาอยู่อาศัยและเป็นส่วนหนึ่งในสังคมนี้