Zack Snyder’s Justice League - เมื่อสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่ ‘วิธีการต่อสู้’ แต่เป็นการ ‘ลุกขึ้นสู้’

Zack Snyder’s Justice League - เมื่อสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่ ‘วิธีการต่อสู้’ แต่เป็นการ ‘ลุกขึ้นสู้’
*มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ Zack Snyder’s Justice League   หลังจากที่ภาพยนตร์ Justice League ฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อปี 2017 และได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อนไปทางลบจากผู้ชมว่าผิดหวังกับ Justice League เวอร์ชันที่ฉายในโรงภาพยนตร์ จนมีเสียงเรียกร้องให้ผู้กำกับคนเดิมอย่าง ‘แซ็ค สไนเดอร์’ (Zack Snyder) กลับมาสานต่อผลงานภาพยนตร์รวมซูเปอร์ฮีโรเรื่องนี้ จนกระทั่งมีนาคม 2021 สิ่งที่หลายคนเฝ้ารอก็มาถึง เมื่อภาพยนตร์ Zack Snyder’s Justice League’ กลับมาฉายใน HBO แบบเต็มอิ่มตลอด 4 ชั่วโมง แฟนหนัง Justice League หลายคนอาจจะทราบดีว่าเหตุผลที่แซ็ค สไนเดอร์ถอนตัวจากการกำกับภาพยนตร์ดังกล่าว คือการสูญเสียลูกสาวที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ในวัยเพียง 20 ปี ทำให้ จอสส์ วีดอน (Joss Whedon) ที่เคยฝากผลงานการกำกับ ‘The Avengers’ ไว้ เข้ามารับช่วงต่อการกำกับแทน แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ลูกสาวของสไนเดอร์กลับกลายมาเป็นเหตุผลและแรงบันดาลใจให้เขากลับมาสานต่อเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร Justice League โดยผลตอบรับครั้งนี้นับว่าดีกว่าเวอร์ชันก่อนหน้ามากพอสมควร อาจเพราะเวลากว่า 4 ชั่วโมงช่วยให้สามารถปูเรื่องราวของแต่ละตัวละครให้ออกมาสมเหตุสมผลและครบรสมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าหนังซูเปอร์ฮีโร ฉากต่อสู้เป็นสิ่งที่หลายคนตั้งตารอ และสำหรับเรื่องนี้คงไม่ผิดหวัง เพราะผู้ชมจะได้เต็มอิ่มกับฉากแอ็คชันตลอดเรื่อง ส่วนบทหนังและเนื้อหาภาพรวมผู้เขียนมองว่า ยังเป็นบทที่คาดเดาได้และไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากนัก หากสิ่งที่ช่วยเสริมให้ Justice League มีพลังยิ่งกว่าอาจเป็นสัญญะภายในเรื่องที่ผู้กำกับสอดแทรกและมาจากความตั้งใจอุทิศแด่ลูกสาวผู้ล่วงลับ ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความเศร้า ความหวัง และความคิดถึงของผู้เป็นพ่อที่ส่งผ่านเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโรใน Justice League เวอร์ชันนี้ ฉากแรก ๆ ของภาพยนตร์อบอวลไปด้วยความกลัวและความสิ้นหวัง ตั้งแต่ซูเปอร์แมนจากโลกใบนี้ไป และเหล่าร้ายนอกโลกกำลังจะบุกเข้ามายึดครองดาวโลก โลกนี้แตกแยก พวกเขาเป็นสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ไม่พัฒนา และรบกันเอง แตกแยกเกินจะรวมเป็นหนึ่งเดียว เจตจำนงเสรีของมันจะหมดไปเหมือนกับโลกอื่น ๆ นี่คือมุมมองของเหล่าร้ายที่มีต่อดาวโลก เพราะผู้คนต่างหมดหวัง แหลกสลาย และเต็มไปด้วยความขัดแย้ง หนทางที่จะช่วยได้คือการร่วมมือกันของเหล่าฮีโร ทำให้แบทแมนต้องพยายามตามหาและโน้มน้าวให้ฮีโรแต่ละคนมารวมตัวกัน โดยเฉพาะอควาแมนและไซบอร์กผู้ตัดขาดจากผู้คนและโลกภายนอก ซึ่งพวกเขาต้องอาศัย ‘ความกล้า’ ที่จะก้าวข้ามบาดแผลในอดีต ทิ้งความสิ้นหวังในปัจจุบัน แล้วก้าวออกไปต่อสู้ร่วมกันเพื่ออนาคตของโลก เมื่อฮีโรทั้ง 5 มารวมตัวกันแล้ว จะเห็นว่าฉากต่อสู้ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นฉากที่มีการวางกลยุทธ์ซับซ้อนมากนัก เว้นแต่ฉากที่ต้องวางแผนเพื่อทำลาย Mother Box ทั้งสามกล่อง โดย Mother Box ที่ว่านี้ หากรวมกันครบสามกล่องแล้วจะสามารถควบรวมจักรวาลทั้งหมดเข้าด้วยกัน  แม้จะฟังดูเลวร้าย แต่ Mother Box เป็นเพียง ‘อำนาจ’ ที่ไม่ได้ดีงามหรือเลวร้ายในตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับ ‘ผู้ใช้อำนาจ’ ว่าจะใช้อำนาจเหล่านั้นเพื่อสร้างหรือทำลายความหวัง ขณะเดียวกันอำนาจเหล่านั้นก็อาจจะลวงตาให้เราลุ่มหลงหรือเดินผิดทางได้ อย่างฉากก่อนที่ไซบอร์กจะสามารถทำลาย Mother Box เขาต้องพบกับภาพลวงตาของพ่อแม่ที่อ้าแขนรับให้กลับไปสู่อ้อมอก (จอมปลอม) ของพวกเขา พร้อมกับเรียกหาลูกด้วยคำพูดที่แสดงถึงจุดอ่อนของไซบอร์กคือ ‘ลูกที่แหลกสลายและโดดเดี่ยว’ ของพ่อกับแม่ ไซบอร์กจึงพยายามต่อสู้กับภาพลวงตรงหน้า แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการใช้พลังทางร่างกายเพื่อต่อสู้ คือการใช้พลังทางใจไม่ให้คล้อยตามและหลงไปกับภาพตรงหน้านี้  ฉันไม่ได้แหลกสลาย และไม่ได้ตัวคนเดียว ไซบอร์กเอ่ยก่อนจะทำลายภาพลวงตา ไปพร้อมกับการทำลายกล่อง Mother Box ฉะนั้นสิ่งที่ยากที่สุดของฮีโรใน Justice League อาจไม่ใช่แผนการ หรือวิธีการต่อสู้ในโลกภายนอก แต่เป็นการต่อสู้บน ‘โลกภายใน’ ของแต่ละตัวละครเสียมากกว่า ตั้งแต่ ‘ก้าวแรก’ ที่กล้าตัดสินใจกลับมารวมพลังกับคนอื่น ๆ เพื่อปกป้องโลก ไปจนถึงนาทีสุดท้ายที่ก้าวผ่านอุปสรรคซึ่งชวนให้รู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวด เมื่อมองย้อนกลับมาในชีวิตจริง การต่อสู้กับ ‘โลกภายใน’ จิตใจนั้น คงคล้ายกับการต่อสู้ของลูกสาวสไนเดอร์ ที่ต้องพยายามก้าวผ่านความรู้สึกเศร้า ตัดขาดจากโลกภายนอก สิ้นหวัง เหนื่อยล้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และเมื่อลูกจากไป ‘สงครามบนโลกภายใน’ ก็ได้มาถึงโลกของผู้เป็นพ่อ แต่การสูญเสียครั้งก่อนหน้า อาจเป็นทั้งบทเรียนและแรงบันดาลใจให้เขาพยายามก้าวข้ามผ่าน โดยทิ้งความสิ้นหวังไว้เบื้องหลัง และตัดสินใจกลับมาสานต่อภาพยนตร์เรื่องเดิมของตนเองอีกครั้ง เช่นเดียวกับเหล่าซูเปอร์ฮีโรที่ตัดสินใจมารวมตัวกันเพื่อต่อสู้ แม้ว่าบทอาจไม่ได้แปลกใหม่ แต่เรื่องราวของคนทำหนัง และการกลับมาสานต่อให้สำเร็จอีกครั้งนี้ อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Justice League ฉบับนี้กลมกล่อมยิ่งขึ้น “โลกแก้ไขอดีตไม่ได้ ทำได้เพียงอนาคต” ประโยคหนึ่งใน Justice League อาจเป็นสิ่งยึดโยงให้เจ้าซูเปอร์ฮีโรในหนังกลับมาร่วมกันต่อสู้ เช่นเดียวกับแซ็คที่กลับมาทำหนัง และคงเป็นประโยคเตือนใจให้อีกหลายคนที่เคยสิ้นหวังกับอะไรบางอย่างในชีวิต กลับมาสู้อีกครั้ง เพราะสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่วิธีการต่อสู้ แต่เป็นวินาทีที่ ‘ตัดสินใจ’ ลุกขึ้นมาสู้อย่างเหล่าซูเปอร์ฮีโรและผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้