แซ็ก อิบราฮิม: ลูกชายของผู้ก่อการร้ายที่ไม่ขอเลือกเดินตามรอยเท้าพ่อ

แซ็ก อิบราฮิม: ลูกชายของผู้ก่อการร้ายที่ไม่ขอเลือกเดินตามรอยเท้าพ่อ
คนเราได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไร จะกลายเป็นคนแบบนั้น จริงหรือ ? หลายคนอาจจะเป็นแบบคำกล่าวข้างต้น หลายคนอาจจะไม่ใช่ ‘แซ็ก อิบราฮิม’ คือหนึ่งในนั้น ชายผู้ไม่เลือกเดินตามเส้นทางพ่อที่พิสูจน์ว่า ‘ลูกไม้หล่นไกลต้น’ มีอยู่จริง แซ็ก อิบราฮิม ได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่มีพ่อเป็นผู้ก่อการร้ายผ่านรายการ TED Talks ซึ่งสร้างความสนใจแก่คนจำนวนมากทั้งเรื่องราวในชีวิตและการตัดสินใจที่จะเลือกสันติภาพมากกว่าความรุนแรง ต่อมาเขาได้นำเรื่องเหล่านี้มาเขียนเป็นหนังสือ และต่อไปนี้คือเรื่องราวของ แซ็ก อิบราฮิม ชายผู้ถูกตราหน้าว่ามีพ่อเป็นผู้ก่อการร้าย   ครอบครัวแสนสุข สู่ครอบครัวแสนเศร้า แซ็ก อิบราฮิม มีชื่อเดิมว่า อับดุลาซิซ โนแซร์ เขาเป็นลูกชายคนกลางของ อัล ซายิด โนแซร์ พ่อชาวอียิปต์ และ เคาะดีญะ แม่ชาวสหรัฐอเมริกา เดิมแม่ของเขาชื่อ แคเรน มิลส์ ผู้นับถือศาสนาคริสต์ และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามในภายหลัง ช่วงที่แซ็กเกิดในปี ค.ศ. 1983 พวกเขาอาศัยในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะย้ายบ้านนับครั้งไม่ถ้วนจากการที่พ่อเขาสังหารรับบีชาวยิว ในปี ค.ศ. 1990 ความสัมพันธ์ของแซ็กกับพ่อค่อนข้างสนิทชิดเชื้อ พ่อในสายตาของแซ็กคือชายผู้อ่อนโยนและเปิดเผย อย่างตอนที่แซ็กอายุ 3 ขวบ พ่อพาเขาไปเที่ยวที่สวนสนุกเคนนีวูด ทั้งสองคนเล่นรถไฟเหาะจำลอง พ่อทำท่าหวาดกลัวพร้อมบอกว่า ‘โอ้ อัลลอฮ์ ขอทรงปกป้องและนำพาไปถึงปลายทางด้วยเถิด’ คำพูดและการกระทำเหล่านี้ช่วยให้แซ็กลืมว่าเขากลัวมากแค่ไหน และความทรงจำในวันนี้เอง แซ็กไม่อาจลืมเลือน แม้ในวันที่พ่อของเขาจะกลายเป็นฆาตกร ความเกลียดชังอเมริกาและมูลเหตุจูงใจในการฆาตกรรมเริ่มสั่งสมตั้งแต่เหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1985 ที่พ่อของแซ็กถูกกล่าวหาว่าข่มขืน บาร์บรา เด็กสาวผู้มาเรียนศาสนาอิสลาม โดยมาพักกับครอบครัวของแซ็ก คำกล่าวหาของบาร์บราเริ่มมีน้ำหนัก เพราะในสมัยนั้นเมื่อมีข่าวข่มขืน เหยื่อบางรายจะระบุว่า เป็นชายลาตินอเมริกา ไม่ก็ตะวันออกกลาง แต่สุดท้ายเขาก็พ้นผิด เพราะบาร์บราไม่สามารถระบุลักษณะของโนแซร์ได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้โนแซร์สูญเสียความมั่นใจ และเอาแต่สวดภาวนาแก่อัลลอฮ์ ต่อมาในปี 1990 โนแซร์ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรอย่างเต็มตัวจากการฆาตกรรม ไมร์ คะฮานา รับบีหัวรุนแรงผู้ก่อตั้งกลุ่มพิทักษ์ยิว ในตอนนั้นเองรับบีคะฮานากำลังปาฐกถาเรื่องภัยร้ายอาหรับ อีกทั้งเหตุจูงใจยังมาจากความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล ซึ่งสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอิสราเอลที่กดขี่มุสลิมในปาเลสไตน์ สิ่งนี้เองทำให้เวลาต่อมาเกิดเหตุการณ์ที่โลกไม่อาจลืม วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 เกิดเหตุระเบิดในลานจอดรถใต้อาคารทิศเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 คน เบื้องต้นมีข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากหม้อแปลงระเบิด แต่เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน พบซากรถตู้ที่ใช้บรรทุกระเบิด ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โนแซร์ยังอยู่ในเรือนจำ แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้ เพราะเขาช่วยวางแผนจากในคุกผ่านผู้ที่มาเยี่ยมเยียน แม้ว่าการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งใหญ่ที่สุดของตึกเวิลด์เทรด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้ทำให้ผู้คนหวาดกลัวการก่อการร้ายไปอีกหลายเดือน และยังเป็นชนวนในการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ในปี 2001 หรือที่รู้จักในชื่อ ‘เหตุการณ์ 9/11’   หลุดพ้นจากชะตากรรมเก่า เพื่อมาเจอชะตากรรมใหม่  แซ็กเฝ้าถามพ่อซ้ำ ๆ ว่าได้ทำผิดในการฆ่ารับบีคะฮานาและระเบิดลานจอดรถตึกเวิลด์เทรดตามที่ผู้คนกล่าวหาหรือไม่ แต่พ่อมักจะตอบคำถามเดิม ๆ ว่า ‘ไม่ได้ทำ’ ด้วยความที่เด็กอายุเพียง 10 ขวบ ทำให้แซ็กเชื่อจนหมดใจว่าพ่อของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ การถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกผู้ก่อการร้าย ทำให้แซ็กต้องเจอพายุที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งการต้องออกจากโรงเรียนกะทันหัน แม้จะย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ ก็มักถูกกลั่นแกล้งและมีคนถามเสมอว่า ‘พ่อนายเป็นคนทำจริงหรือเปล่า? นายเป็นลูกของผู้ก่อการร้ายใช่ไหม?’ นั่นทำให้การเรียนของแซ็กแทบจะไม่มีความสุข รวมถึงการเริ่มต้นใหม่นับครั้งไม่ถ้วนจากการย้ายบ้านเกือบ 20 ครั้ง และทุกครั้งจะอาศัยในที่เปลี่ยว ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายเสมอ นั่นก็เพราะว่าตั้งแต่สูญเสียหัวหน้าครอบครัวไป แม่จึงต้องก้าวเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่รายได้ที่แม่หาได้นั้นกลับไม่เพียงพอต่อลูกทั้ง 3 คน มีบางช่วงที่ครอบครัวแซ็กพอจะอู้ฟู่ได้บ้าง จากการบริจาคเงินของผู้ที่ยินดีต่อการสังหารรับบีคะฮานาของพ่อของเขา ไม่นานนักที่ทั้ง 4 คนอยู่ในชะตากรรมอันเลวร้ายเช่นนี้ เพราะในเวลาต่อมา แม่ของแซ็กก็ขอหย่ากับโนแซร์  หลังจากเคาะดีญะยุติสถานะสามีภรรยากับโนแซร์ เธอได้แต่งงานใหม่กับชายอียิปต์ลูกติด ผู้นับถือศาสนาอิสลาม ‘อะห์เหม็ด  ซูฟยาน’ (นามสมมติ) ภายนอกเขาดูเป็นมุสลิมที่ดีทีเดียว แม้เขาจะละเลยการละหมาดบ้างบางครั้ง แซ็กเองที่ร้างราจากพ่อไปหลายปี ทำให้เขาโหยหาการมีพ่อ และพร้อมที่จะรักอะห์เหม็ดคนนี้ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า ดูเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ก็แค่เหมือนเท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วอะห์เหม็ดเป็นคนที่ชอบบงการ ใจแคบ เจ้าคิดเจ้าแค้น และเชื่อแต่คำโกหกของลูกตัวเอง เมื่อเวลานานเข้าเขาก็ทำตัวแปลกขึ้นทุกวัน อย่างการแสร้งว่าออกไปทำงาน แต่กลับแอบดูแซ็กและพี่น้องผ่านหน้าต่าง แม้กระทั่งอาหารการกินที่ควรจะได้รับอย่างเท่าเทียม แต่เขากลับให้แซ็กอดอยากจนต้องไปโรงพยาบาล เพราะขาดสารอาหาร ด้วยเหตุนี้เองทำให้แซ็กตัดสินใจขโมยเงินอะห์เหม็ดทีละเล็กทีละน้อย แซ็กชะล่าใจต่อการขโมยครั้งนี้ คิดเอาเองว่าอะห์เหม็ดไม่รู้ แต่อะห์เหม็ดแค่รอเวลาให้จับได้ต่อหน้าต่อตาเพียงเท่านั้น และวันนั้นก็มาถึง อะห์เหม็ดทำโทษแซ็กด้วยการสั่งให้ถอดเสื้อวิดพื้น ในระหว่างนั้นเขาก็เตะเข้าที่ท้องและซี่โครงของแซ็ก จากนั้นก็ใช้ไม้แขวนเสื้อหวดที่มือ ทุกครั้งที่อะห์เหม็ดทำโทษด้วยการทำร้ายร่างกาย เขากระทำด้วยความสนุก และให้เหตุผลว่า เขาทำในสิ่งที่หากโนแซร์อยู่ที่นี่ เขาก็จะทำแบบนี้เช่นกัน   อิสรภาพที่ใฝ่หา ตลอดเวลาจวบจนอายุ 16 ปีที่แซ็กต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของอะห์เหม็ด ในที่สุดเขาก็จะหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ ไม่ใช่เพราะแม่ของเขาหย่ากับอะห์เหม็ด แต่เป็นเพราะเขาได้ทำงานพิเศษในช่วงฤดูร้อน แซ็กและน้องชายใช้เวลาหน้าร้อนกับการทำงานพิเศษในสวนสนุกบุชการ์เดนส์ เขาทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวในส่วนของการผจญภัยในทวีปแอฟริกา ในที่แห่งนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบนี้ หลังจากการหลบหนีจากสิ่งที่โนแซร์ พ่อของเขาก่อไว้ และการหลุดพ้นจากการทำร้ายร่างกายของพ่อเลี้ยงอย่างอะห์เหม็ด นอกจากการรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่กว้างใหญ่ เขายังมีโอกาสเรียนรู้ชีวิตด้วยมุมมองของตนเอง แซ็กในวัย 18 ปี ได้ลองทำทุกอย่างที่วัยรุ่นทำ ทั้งการไปปาร์ตี้ การดื่มแอลกอฮอล์ แอบสูบบุหรี่ตรงลานจอดรถ รวมถึงการซื้อรถยนต์ด้วยเงินของตนเอง การเปิดโลกอีกใบหนึ่งทำให้แซ็กเจอคนหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เขาถูกปลูกฝังจากพ่อว่าเป็นคนไม่ดีอย่าง LGBTQ ในวันนั้นเองที่เขาไปดูโมร็อกกันโรลล์โชว์ดนตรีร็อกตะวันออกกลางของบุชการ์เดนส์ ทำให้เขารู้จักนักเต้น LGBTQ อย่าง มาร์ก และ ฌอน ในตอนแรกเขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับทั้งสองคน แต่ทั้ง ๆ ที่แซ็กคุยโวเรื่องที่ทำงานในสวนสนุกอย่างออกรส สองคนกลับไม่หัวเราะเยาะ และดูจริงใจทีเดียว  สิ่งนี้ทำให้แซ็กเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า พ่อเลี้ยงดูเขามาด้วยคำหลอกลวง และสิ่งที่ตลกร้ายอีกอย่างคือ เครก คอลบอร์น ไอดอลในการดำเนินชีวิตของแซ็กนั้นเป็นชาวยิวที่พ่อพร่ำสอนนักหนาว่า ยิวคือผู้ร้ายและศัตรูของอิสลาม แม้ว่าแซ็กจะเคยกระทำความรุนแรงโดยการชกพ่อเลี้ยงอย่างอะห์เหม็ด แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาใช้ความรุนแรง และหลังจากการกระทำครั้งนี้ทำให้เขาไม่มีความสุขหรือสะใจเอาเสียเลย ทั้งนี้เกิดจากไม่มีใครเคยสอนเขาอย่างจริงใจว่าความเห็นอกเห็นใจคืออะไร เหตุใดมันจึงสำคัญกว่าอำนาจ การรักชาติ หรือศรัทธาในศาสนา แต่เขากลับเข้าใจสิ่งนี้ด้วยตัวเองเมื่อเขาได้ออกท่องโลกที่กว้างขึ้น และคิดได้ว่า ไม่ควรทำกับใครอย่างที่เขาเคยถูกกระทำ อีกทั้งการตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง ซ้ำจะทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก หลังจากที่แซ็กถ่ายทอดเรื่องราวของตนเองผ่าน TED Talks ของนิวยอร์ก ในปี ค.ศ. 2013 ปีต่อมาเขายังได้รับเลือกให้บรรยายในงานประชุมใหญ่ของ TED ที่แวนคูเวอร์ ซึ่งการบรรยายทั้งสองครั้งได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม เขาจึงตัดสินใจเขียนเรื่องราวทั้งหมดผ่านหนังสือ ‘The Terrorist’s Son พ่อของผมคือผู้ก่อการร้าย’ นอกจากนี้ช่วงเวลาชีวิตที่เหลือ เขาได้อุทิศชีวิตเพื่อรณรงค์ต่อต้านการก่อการร้าย เผยแพร่เรื่องสันติภาพและสันติวิธี อย่างในปี ค.ศ. 2020 เขาได้รับเลือกให้บรรยายในการประชุมสุดยอดผู้นำสันติภาพ ครั้งที่ 2 (2nd Peace Summit Of Emerging Leaders) จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ฉะนั้น แซ็กจึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่พิสูจน์ว่า เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะมีชีวิตแบบไหน ดังที่เขากล่าวว่า “พ่อเดินทางผิด แต่นั่นไม่อาจหยุดยั้งผมไม่ให้ค้นพบทางที่ถูก และเราสามารถปฏิเสธความเกลียดชังและความรุนแรงเพื่อเลือกสันติภาพได้”    เรื่อง: ขวัญจิรา สุโสภา (The People Junior)   อ้างอิง หนังสือ พ่อของผมคือผู้ก่อการร้าย (The Terrorist’s Son) โดย แซ็ก อิบราฮิม และ เจฟฟ์ ไจล์ส https://i.unisa.edu.au/contentassets/b662385fb8544db1a2ebded54211b667/peace-summit-brochure-2020.pdf?elqTrackId=494f7600932b40feab2d26524f52381f&elqTrack=true