06 ต.ค. 2565 | 12:25 น.
KEY
POINTS
ก่อนซีรีส์ House of the Dragon มี Game of Thrones, ก่อนเหตุการณ์ใน Game of Thrones หรือซีรีส์มหาศึกชิงบัลลังก์ มีกบฏโรเบิร์ต บาราเธียน และก่อนกบฏโรเบิร์ต โลก A Song of Ice and Fire ของผู้แต่ง จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน (George R.R. Martin) มีเรื่องราวอันยาวนานที่พลิกโฉมทวีปเวสเทอรอส (Westeros) ที่เราทุกคนรู้จักและคุ้นเคยไปตลอดกาล ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อ 300 ปีที่แล้ว และมันว่าด้วยเรื่องราวของตระกูลผู้ขี่มังกรชื่อ ‘ทาร์แกเรียน (Targaryen)’ ที่ไม่อาจมีใครทำลายพวกเขาได้ นอกจากตัวพวกเขาเอง
มังกรและสายเลือดวาลีเรียโบราณ
“มังกรคือขุมอำนาจที่ใครก็มิอาจแตะต้อง” ในโลกมหากาพย์แฟนตาซีของจอร์จ มีทั้งสิ่งมีชีวิตพิศวง นักฆ่าเปลี่ยนหน้า มนุษย์ยักษ์ และนักเวทย์ แต่สิ่งมีชีวิตหรือขุมพลังที่ทรงพลังที่สุดและใครที่ได้ครอบครองจะเป็นผู้อยู่บนจุดสูงสุดคือ ‘มังกร’ ก่อนที่มังกรจะสูญพันธุ์หลังเหตุการณ์ ‘มังกรเริงระบำ’ (A Dance with Dragons) ที่เรากำลังจะได้เห็นในซีรีส์ House of the Dragon ณ ทวีปเอสซอส (Essos) เคยมีมังกรนับพันตัว และชาววาลีเรีย (Valyrian) เชื้อสายที่มีดวงตาสีม่วงกับผมสีทอง-เงิน อันเป็นเอกลักษณ์เป็นผู้ค้นพบขุมพลังที่ว่านี้
ว่ากันว่ามังกรมีหลายที่มา ที่ฮิตที่สุดก็คงจะเป็นทฤษฎีที่ว่าพวกมันมาจากชาโดว์แลนส์ (Shadow Lands) และเป็นคนจากที่แห่งนั้นเองที่ใช้เวทมนตร์ผูกจิตเพื่อใช้ควบคุมมังกรให้กับชาววาลีเรีย (ภายหลังมีการใช้วาลีเรียนชั้นสูงเพื่อผูกขาดอำนาจการสั่งการมังกรแต่เพียงเชื้อสายเดียว) จนถึงจุดหนึ่ง มันได้แปรเปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นเทพเจ้าในหมู่มนุษย์ ไม่ก็ตามคำกล่าวอ้างที่ว่าแท้จริงพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าอยู่แล้ว ที่แน่ ๆ พวกเขาได้รับการขนานนามว่า ‘สายเลือดมังกร’
ยุคสมัยของชาววาลีเรียเริ่มต้นขึ้นด้วยการขี่มังกรทำศึก พวกเขามีชัยเหนือขั้วอำนาจเก่าแก่ และก่อตั้ง ‘ปราการอิสระ (Valyrian Freehold)’ โดยปกครองกันเองแบบไม่มีราชา และขยายอาณาเขตด้วยมังกรและเปลวเพลิงอย่างไม่หยุดยั้ง จนขึ้นชื่อเรื่องความเกรียงไกรและมีอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองยาวนานถึง 5 พันปีด้วยกัน
ยุคสมัยนั้นไม่เพียงแค่มังกรที่ยั้วเยี้ย แต่มีตระกูลดราก้อนลอร์ดหรือผู้ที่มีความสามารถขี่มังกรได้จำนวนมากในบรรดา 40 ตระกูลแห่งเชื้อสายวาลีเรีย ณ ปราการแห่งนั้น หรือกล่าวคือตระกูลผู้ขี่มังกรไม่ได้มีเพียงทาร์แกเรียน (อันที่จริงทาร์แกเรียนไม่ใช่แม้แต่ตระกูลหัวแถวด้วยซ้ำ) และผู้ขี่มังกรเหล่านี้งัดอำนาจกันตลอดเวลา ซึ่งเมื่อมังกรและผู้ขี่เริ่มที่จะขึ้นสู่ที่สูงเกินไป ก็มีกลไกที่ดึงพวกเขาลงมาจบแทบศูนย์ กลไกนั้นยิ่งใหญ่กว่ามังกร คือกลไกแห่ง ‘ธรรมชาติและสรรพสิ่ง’
ตระกูลทาร์แกเรียนผู้รอดชีวิตหนึ่งเดียว
เหตุการณ์ที่นำพาให้เชื้อสายวาลีเรียต้องถึงจุดเกือบสิ้นสุดได้มาถึง เหตุการณ์นี้คือการระเบิดของภูเขาไฟครั้งใหญ่ที่เปลวไฟพวยพุ่งไปทั่วฟ้าจนท้องฟ้าสีแดงฉาน ที่ถูกขนานนามว่า ‘การล่มสลายของวาลีเรีย (Doom of Valyria)’ ชาววาลีเรียแทบไม่เหลือ ส่วนตระกูลดราก้อนลอร์ดต่างก็ล้มหายตายจาก แต่หนึ่งในนั้นที่รอดมาได้มีเพียง ‘ทาร์แกเรียน (Targaryen)’ ที่เราคุ้นเคยกันดี
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องขยายความสักนิดว่าตระกูลดราก้อนลอร์ดนอกจากผูกจิต ขี่ และควบคุมมังกรได้แล้ว ยังมีความสามารถพิเศษในการเห็นภาพนิมิตล่วงหน้าอีกด้วย ในช่วงเวลา 12 ปีก่อนหน้าเหตุการล่มสลายหรือราว 114 B.C. (B.C. = ช่วงเวลาก่อนการพิชิต 7 อาณาจักรของเอกอน ผู้พิชิต) เดนิส ทาร์แกเรียน ฉายา เดนิสนักฝัน (Daenys, The Dreamer) ลูกสาวของดราก้อนลอร์ด เอนาร์ ที่ภายหลังได้รับฉายาว่า ‘เอนาร์ ผู้ถูกเนรเทศ (Aenar, The Exile)’ ได้มองเห็นภาพว่าอาณาจักรวาลีเรียกำลังจะถึงจุดจบ
เอนาร์จึงตัดสินใจขายที่ดินที่ปราการอิสระ และพาลูกสาว ทาส มังกร ภรรยา ญาติ ลูก ๆ เดินทางมายังฝั่งตะวันตกเพื่อพำนักอยู่ที่ดราก้อนสโตน (Dragonstone)
ตระกูลคู่แข่งต่างก็หัวเราะเยาะเย้ยและมองว่าไร้สาระ แต่นั่นทำให้ทาร์แกเรียนเป็นดราก้อนลอร์ดหนึ่งเดียวที่รอด ซึ่งเชื้อสายวาลีเรียนอกจากนี้จะมีเวลาเรี่ยน (Velaryon) แห่งดริฟต์มาร์ก (Driftmark) กับอีกตระกูลคือ เซลติการ์ (Celtigar) สัญลักษณ์ม้าน้ำและปูตามลำดับ สองตระกูลนี้เป็นตระกูลวาลีเรียที่เล็กกว่า และควบคุมมังกรไม่ได้ แต่หากพวกทาร์แกเรียนคือราชาแห่งน่านฟ้า พวกเขาคือราชาแห่งท้องทะเล
จากเอนาร์ มีการสืบเชื้อสายไปอีกหลายเจเนอเรชั่น สู่เกมอน (Gaemon), เอกอน (Aegon), เมกอน (Maegon), เดเมียน (Daemion) และเอเรียน (Aerion) จนมาถึงผู้เกรียงไกรที่สุด เอกอน อีกคน ที่คนนี้จะรู้จักกันดีในนาม ‘เอกอน ผู้พิชิต (Aegon, The Conquerer)’
ราชวงศ์ทาร์แกเรียน
เวสเทอรอสอาจมีกษัตริย์ที่ดี แย่ ชั่วช้า ขี้ขลาด กล้าหาญ ยอดเยี่ยม แต่ราชาที่เพียบพร้อมและยิ่งใหญ่ที่สุดหนีไม่พ้นเอกอนที่ 1 ผู้พิชิต และผู้สถาปนาราชวศ์ทาร์แกเรียนด้วยการขี่มังกรมฤตยูดำบาเลอเรียน (Balerion, The Black Dread) มังกรตัวเดียวที่อยู่มาตั้งแต่ยุคล่มสลายของวาลีเรีย และถือดาบแบล็คไฟร์ (Blackfyre)
เอกอนมีพี่สาวชื่อ ‘วิเซเนีย (Visenya)’ ผู้ขี่มังกรเวการ์ (Vhagar) และผู้ใช้ดาบดาร์กซิสเตอร์ (Dark Sister) กับน้องสาวชื่อ ‘เรนิส (Rhaenys)’ ผู้ขี่มังกรเมอแร็กซิส (Meraxes) เขาแต่งงานกับทั้งคู่ตามธรรมเนียมการรักษาสายเลือดบริสุทธิ์ในหมู่เครือญาติของชาววาลีเรีย และการที่เอกอน นั่งบัลลังก์ในขณะที่ทั้งสองยืนเคียงคู่ นำไปสู่ตราสัญลักษณ์ตระกูลมังกรที่เป็นรูปของมังกรสามหัวสีดำแดง
ก่อนที่เอกอน ตัดสินใจพิชิตดินแดนและประกาศว่า 7 อาณาจักรแห่งเวสเทอรอสจะอยู่ภายใต้อำนาจของราชาเพียงหนึ่งเดียวและตระกูลเดียว ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นไม่เคยสงบสุข จะต้องมีอย่างน้อย 2-3 ตระกูลตีกันเองเสมอ
การมาของเอกอน จึงเป็นการยุติสงครามด้วยการก่อสงคราม ผู้ประกาศกร้าวรายนี้ประกาศศักดาด้วยการขี่เจ้าบาเลอเรียน แผดเผาศัตรูจนมอดไหม้ ในศึกการรวมอาณาจักรมีทั้งตระกูลที่สู้หัวชนฝาไม่ยอมจำนนจนล้มหายตายจาก ตระกูลที่สู้แล้วยอม ไปจนถึงตระกูลที่ยอมตั้งแต่ยังไม่ได้สู้ ซึ่งศัตรูที่เป็นอุปสรรคที่สุดในการพิชิตคือ ลอร์ด ฮาร์เรน ฮอร์ (Harren Hoare) แห่งฮาร์เรนฮัล และอาร์กิแล็ค ดูร์รานดอน (Argilac Durrandon) ผู้ยะโสแห่งสตอร์มส์เอนด์ (Storm’s End) ที่รายแรกถูกย่างสดพร้อมปราสาทโดยเอกอนด้วยตัวเอง (เป็นที่มาของคำสาปฮาร์เรนฮัล) ส่วนรายหลังถูกโค่นโดย ออริส บาราเธียน (Orys Baratheon)
อีกหนึ่งอย่างที่อยากขอแทรกให้ทราบคือ ออริสคนนี้เป็นต้นตระกูลบาราเธียนใน Game of Thrones เขาคือลูกชายนอกสมรสคนละแม่ของเอกอน ซึ่งหลังจากที่สังหารอาร์กิแล็ค ออริสได้แต่งงานกับลูกสาวของเขาและนำตราสัญลักษณ์กวางสวมมงกุฏมาใช้ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว นั่นทำให้บาราเธียนคือตระกูลพี่น้องของทาร์แกเรียน และหลังจากทำความดีความชอบ ตระกูลบาราเธียนก็ถือครองสตอร์มส์เอนด์นับจากนั้นเป็นต้นมา
กลับมาที่เอกอนผู้พิชิต หลังจากที่เขาพิชิตชัยได้ ยุคสมัยของราชวงศ์ทาร์แกเรี่ยนได้เริ่มต้นขึ้นและนับเป็น 1 A.C. เมื่อเอกอนสวมมุกุฏทับทิมและได้รับการแต่งตั้งโดยสังฆราชแห่งโอลด์ทาวน์ (Old Town)
เอกอนตั้งราชวงศ์ทาร์แกเรียน และเรียกตัวเองว่า ‘เอกอน ที่ 1 ราชาแห่งแอนดัล รอยน์นา และปฐมบุรุษ ลอร์ดแห่ง 7 อาณาจักรและผู้พิทักษ์อาณาจักร’ ซึ่งขณะนั้นทุกอาณาจักรต่างก็ยอมศิโรราบและไม่กล้าหือ มีเพียงดอร์น (Dorne) ที่ยังไม่สามารถถูกพิชิตได้
รัชสมัยของเอกอนผู้พิชิต
เอกอนเป็นราชาที่ทำให้ผู้คนยำเกรงเคารพ และทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เขาทั้งขี่มังกรเสด็จประพาสเพื่อจุดประสงค์ในการรับฟังความเห็นราษฎร พร้อมทั้งเป็นการโชว์ตัวให้ผู้คนได้เห็นและจำได้ว่าใครใหญ่แถวนี้ (หมายถึงทั้งเขาและมังกรบาเลอเรียน), ก่อร่างสร้างเมืองหลวงและตั้งชื่อว่า ‘คิงส์แลนดิ้ง (King’s Landing)’ ตามการขี่มังกรลงจอดของทาร์แกเรียน, สร้างกำแพงห้อมล้อม, ขยับขยาย กับประกาศกฎห้ามผู้ใดก่อสงคราม เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
ทั้งยังมีการจัดเก็บภาษีอาณาจักร, จุนเจือศาสนาศรัทธาทั้ง 7 หรือเทพ 7 หน้า ด้วยการละเว้นภาษี, คงไว้ซึ่งประเพณีและไม่แทรกแซงธรรมเนียมและวัฒนธรรมแต่ละอาณาจักร รวมไปถึงให้ค่าความรู้และการจดบันทึกประวัติศาสตร์เสมอ จึงได้แต่งตั้งแกรนด์เมสเตอร์ (Grand Maester) หรือหัวหน้านักวิชาการขึ้นมา พร้อมตั้งกฎว่าในเมืองหลวงจะต้องมีเมสเตอร์อยู่เสมอ และยังเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำดาบและอาวุธศัตรูมาหลอมเป็นบัลลังก์เหล็กเพื่อย้ำเตือนว่าพิชิตศัตรูมาได้แค่ไหนแล้ว และย้ำว่า “กษัตริย์ไม่ควรนั่งบัลลังก์อย่างสบายและประมาท”
เรียกได้ว่ารัชสมัยเอกอนที่ 1 นอกจากไม่มีใครกล้าแหยมแล้ว บ้านเมืองยังค่อย ๆ พัฒนาขึ้นตามลำดับ และเป็นไปอย่างราบรื่นอีกด้วย ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าไม่มีราชาทาร์แกเรียนองค์ไหนสมบูรณ์พร้อมเท่าเอกอนที่ 1 อีกแล้ว
ต่อมาเอกอน มีลูกสองคน คนแรกคือเอนิสที่ 1 (Aenys) องค์ชายรัชทายาท และบุตรของราชินีเรนิส เจ้าของมังกรควิกซิลเวอร์ (Quicksilver) เป็นเด็กที่ไม่แข็งแรงเท่าไหร่นัก และมักจะติดสอยห้อนตามเอกอนไปไหนมาไหนเสมอ กับ 5 ปีต่อมา มีอีกคนคือ เมกอร์ (Maegor) อัศวินที่เก่งและอายุน้อยที่สุดในอาณาจักร ร่างกายแข็งแรง กำยำ ไม่ยอมคน นิสัยเหี้ยมโหด บุตรแห่งราชินีวิเซเนีย ที่ยังไม่มีมังกรขี่ในทีแรก
ภายหลังเรนิส เสียชีวิตที่ดอร์นพร้อมมังกรเมอแร็กซิส ทิ้งให้เอนิสกลายเป็นบุตรไร้มารดา
รัชสมัยของเอกอนที่ 1 สิ้นสุดลงด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองแตก พิธีพระราชทานเพลิงศพถูกจัดขึ้น จากนั้นตามด้วยการแต่งตั้งราชาองค์ใหม่ เอนิส ทาร์แกเรียนที่ 1 และในงานแต่งตั้งนั้นเอนิสได้มอบดาบแบล็คไฟร์ให้เมกอร์น้องชายของเขา พร้อมกับประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า เขาจะครองบัลลังก์กับน้องชายคนนี้ โดยคนพี่อายุ 30 ปี และคนน้องอายุ 25 ปีขณะที่บิดาของทั้งคู่เสียชีวิต
รัชสมัยเอนิสที่หนึ่ง
รัชสมัยของเอนิส ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก การรับภาระจากบิดาผู้ทำไว้ดีทำให้เกิดแรงกดดันก็ส่วนหนึ่ง แต่หากใครก็ตามคิดว่าวิเซริสที่ 1 (Viserys ที่ 1) ตัดสินใจพลาดเก่งแล้ว คนนี้เก่งกว่า ตั้งแต่เด็ก เอนิสได้อะไรมาโดยง่าย ตั้งแต่มังกรฟักจากไข่ รวมถึงตำแหน่งราชาด้วยเช่นกัน แต่เขาเป็นราชาที่มักติดสินใจได้แย่เสมอ และบ่อยครั้งจะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม
ที่จริงแล้วการขึ้นครองราชย์ของเอนิสที่ 1 เป็นสิ่งที่ผู้คนกังขา เนื่องจากความดูอ่อนแอและเหลาะแหละ จึงเกิดการกระซิบและพูดกันให้ทั่วว่าที่จริงแล้วเมกอร์นั้นเหมาะกว่า และเมื่อทาร์แกเรียนดูมีภาพลักษณ์อ่อนแอ เหล่าผู้ไม่พอใจก็ได้รวมตัวกับก่อกบฏ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่งานเข้าตั้งแต่เพิ่งได้รับตำแหน่งหมาด ๆ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยความช่วยเหลือของลอร์ดผู้ภักดีและเมกอร์ผู้ผูกจิตและขี่มังกรบาเลอเรียนไปสร้างความหวาดกลัวจนพวกกบฏต่างก็ขวัญหนีดีฝ่อ และหลังจากได้รับชัยชนะ เอนิสก็ได้แต่งตั้งเมกอร์ให้เป็นหัตถ์
จุดเปลี่ยน
หลังจากสงบสุขได้เพียงสองปี ก็เป็นการมาของมรสุมครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างตลอดกาล เรื่องมีอยู่ว่าก่อนหน้านี้เมกอร์ได้เข้าพิธีสมรสกับเซริส ไฮทาวเวอร์ (Ceryse Hightower) จากนั้นพอเวลาผ่านไปกลับประกาศว่าเซริสเป็นหมัน และไปแอบทำพิธีแต่งลับ ๆ ที่ดราก้อนสโตนโดยไม่บอกพี่ชายกับ อลิส แฮโรเวย์ ธิดาของ ลอร์ดแห่งฮาร์เรนฮัลคนใหม่ในขณะนั้น เนื่องจากนักบวชประจำปราสาทปฏิเสธจะทำพิธีให้
แมนเฟร็ด ไฮทาวเวอร์ (Manfred Hightower) พ่อของอลิสประท้วง ส่วนสังฆราชแห่งโอลด์ทาวน์ผู้ครองอำนาจศาสนา ประณามเมกอร์ว่า ทำบาปชั่วช้าผิดประเวณี พร้อมเรียกอลิสว่านางโลม
เอนิสยื่นข้อเสนอให้น้องชายสองทางเลือก 1. จะบอกเลิกคนใหม่ แล้วกลับไปหาท่านหญิงเซริส หรือ 2. ถูกเนรเทศ 5 ปี แน่นอนว่าเมกอร์ผู้นิสัยห้าวเป้งเลือกอย่างหลัง เขาขี่บาเลอเรียนไปเพนทอส (Pentos) พร้อมกับดาบแบล็คไฟร์ และท่านหญิงอลิส ซึ่งเมื่อเอนิสทวงจะริบดาบ เขาก็ได้ท้าทายผู้เป็นพี่ว่า “ถ้าอยากได้ก็มาชิงเอง” ซึ่งการเอาน้องไม่อยู่ทำให้เกิดคำครรหาและตั้งคำถามว่าหากน้องตัวเองยังคุมไม่ได้ แล้วจะคุมเจ็ดอาณาจักรได้อย่างไร
มรสุมโลกใหม่ถาโถม หลังจากการจากไปของเมกอร์ เอนิสก็ได้ประกาศให้บุตรชายและองค์ชายรัชทายาท เอกอน (Aegon) ผู้ขี่มังกรควิกซิลเวอร์ (Quicksilver) แต่งงานกับพี่สาวของเขา เรนา (Rhaena) ผู้ขี่มังกร ดรีมไฟร์ (Dreamfyre) ก่อให้เกิดความไม่พอใจจากทางศาสนจักรที่ไม่เห็นด้วยเรื่องการสืบเชื้อสายภายในตระกูล และเรียกการแต่งงานนี้ว่า “ความอัปรีย์จัญไร” จากนั้นเริ่มปลุกระดมผู้คนให้เริ่มต่อต้าน ซึ่งสิ่งที่เอนิสทำแล้วดีมีแค่การสร้างตำหนักแดง (Red Keep) ที่เหลือนั้นเป็นการเอาใจผู้คนกับดื้อดึงแบบผิด ๆ จนแสดงความไม่เด็ดขาดให้เห็น และเรื่องราวเริ่มไปกันใหญ่
วิเซเนียที่เป็นพระพันปีหลวงให้คำชี้แนะว่าหากไม่เปลี่ยนคู่ครองให้ลูก ก็ขี่มังกรไปจัดการเรื่องนี้ แต่เอนิสไม่ทำทั้งคู่ อีกทั้งยังทำให้พระพันปีอารมณ์เสียด้วยการปลดเมกอร์ออกจากตำแหน่งมือขวา
ลอร์ดผู้ศรัทธาในศาสนาและศาสนจักรเริ่มแข็งข้อเรื่อย ๆ การต่อต้านมีให้เห็นทุกหนทุกแห่ง ความไม่เด็ดขาดและดูอ่อนแอของเอนิสทำให้เขาสุขภาพจิตย่ำแย่ ไปหลบอยู่ที่ดราก้อนสโตน ว่ากันว่าอายุ 35 แต่ดูเหมือนชายแก่อายุ 60 ยังไงอย่างงั้น ท้ายที่สุดเขาก็ได้สิ้นใจลง และผู้ที่ขี่มังกรมาเคลมบัลลังก์ไม่ใช่ใครที่ไหน เมกอร์ ทาร์แกเรียน
รัชสมัยเมกอร์ที่หนึ่ง
เป็นพันคำก็ไม่อาจบรรยายความโหดร้ายของยุคสมัยแห่งเมกอร์ผู้เหี้ยมโหด (Maegor, The Cruel) ได้ สำหรับรายนี้ ใครขัดใจ สังหาร ใครท้วง สังหาร แค่หงุดหงิด ก็ยังสังหารคนใกล้ตัวได้
ที่จริงแล้วหากให้นับตามลำดับ เอกอน รัชทายาทและบุตรชายแห่งเอนิสจะต้องได้รับตำแหน่งที่เมกอร์กลับช่วงชิงและสวมมงกุฎเดียวกับเอกอนผู้พิชิต ทำให้เอกอนและเรนาต้องหนีไปกบดานที่อื่น ส่วนเมกอร์เขาไม่ได้มากับเจน นุ่น โบว์ แต่มากับไทแอนนา (Tyanna) แม่มดผมดำและจ้าวแห่งพรายกระซิบจากเพนทอสที่ภายหลังได้แต่งตั้งให้เป็นราชินีคนที่สาม
สิง่ที่เมกอร์กับวิเซเนียทำเป็นอันดับแรก ๆ คือปราบกองกำลังคลั่งศาสนาที่ต่อต้านราชวงศ์และเป็นปัญหาปวดหัวมาช้านาน กองกำลังสนับสนุนอุดมการณ์ศาสนาและต้องการล้มทาร์แกเรียน (รวมถึงล้มพิธีสมรสภายในสายเลือด) ประกอบไปด้วยกลุ่มบุตรแห่งนักรบ และกลุ่มสหายผู้ยากไร้ เมกอร์ต้องการแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและลบความกังขา จึงได้ท้าดวลกับบุตรแห่งนักรบแบบ 7 vs 7 ผลการดวลคือ เมกอร์ (Maegor) เป็นคนเดียวที่เหลือรอด ที่เหลือสภาพไม่ดีเท่าไหร่นัก
ฝั่งเอกอนและเรนารวบรวมกำลังพลไปทำศึกชิงบัลลังก์คืน แต่ด้วยความที่มังกรควิกซิลเวอร์ไปตัวเดียวและมีขนาดเพียงหนึ่งในสี่ของเมกอร์ ผลคือมังกรปีกขาด ร่วงลงสู่พื้น ทำให้เมกอร์กำจัดรัชทายาทและหลานชายออกจากเส้นทางไปอย่างง่ายดาย
เมกอร์คือคนที่สั่งเดินหน้าสร้างตำหนักแดงต่อจากเอนิส และเมื่อสร้างเสร็จก็ได้แสดงความโหดสมชื่อ เลี้ยงเหล้าและสตรีคนงานอย่างดี จากนั้นก็สังหารทุกคนเพื่อไม่ให้รู้ความลับ ซึ่งพอจะสร้างดราก้อนพิท (Dragonpit) หรือบ้านสำหรับมังกร คนงานก็ขวัญหนีดีฝ่อจนต้องจ้างนักโทษมาทำแทน
ภายหลังเมกอร์เสียวิเซเนียผู้เป็นแม่ไป เขาดูอ่อนแอลงทันตา แถมยังดูน่าหดหู่ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งคอนเซปต์ผู้เหี้ยมโหดเสมอ
ถึงจะดูเก่งกาจและน่ากลัว เมกอร์กลับมีสิ่งหนึ่งที่คว้ามาไม่ได้ นั่นคือบุตร ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ แค่ไหน ก็ไม่เป็นผล ไม่สามารถทำให้ราชินีตั้งท้องได้ ก็เป็นเคสที่ราชินีคลอดเป็นสัตว์ประหลาดอย่างหาสาเหตุไม่ได้ จนคนต่างก็เรียกว่า ‘ราชาต้องสาป’ แต่เมกอร์สังหารทุกคนที่พูดแบบนั้น และยังไม่ยอมแพ้ ราชาผู้โหดเหี้ยมชิงตัวเรนา ภรรยาและพี่สาวเอกอนหวังให้เธอตั้งครรภ์ลูกให้กับเขา แต่สุดท้ายหลังแต่งงานแล้ว กลับมีคนพบเมกอร์โดนบัลลังก์บาดเสียชีวิตคาบัลลังก์อย่างปริศนา
รัชสมัยเจเฮริสที่หนึ่ง
ก่อนหน้าที่เมกอร์จะเสียชีวิต เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น นั่นก็คือองค์ชายเจเฮริส (Jaehaerys) เด็กหนุ่มสดใสผู้ขี่มังกร เวอร์มิธอร์ (Vermithor) ที่ใหญ่ที่สุดรองมาจากเวกอร์และบาเลอเรียน น้องของเอกอนและเรนาผู้มีสิทธิ์ท้าชิง ตัดสินใจรวมพลชิงบัลลังก์ แต่ครั้งนี้มีมังกรสองตัว เจเฮริสที่ทรงดีกว่าเอกอนพี่คนโตอย่างมาก ร่วมกับ อลิซานน์ (Alyssanne) น้องสาวและอนาคตคู่ครองผู้ขี่มังกร ซิลเวอร์วิง (Silverwing) ประกาศล้มเมกอร์เพื่อนำมาซึ่งรัชสมัยที่สงบสุขของอาณาจักร
ลอร์ดมากมายสนับสนุนเจเฮริส โดยเฉพาะลอร์ดโรการ์ บาราเธียน (Rogar Baratheon) แห่งสตอร์มส์เอนด์ ที่ถึงกับประกาศว่าเจเฮริสคือพระราชาตั้งแต่ยังไม่ช่วงชิง เขามีดาบดาร์กซิสเตอร์ที่ได้จากอลิสซา เวลาเรียน (Alyssa Velaryon) ผู้เป็นมารดาขโมยก่อนหลบหนีออกมา ในขณะที่ฝั่งเมกอร์หนีหางจุกก้นและเตรียมย้ายข้าง
หลังจาการเสียชีวิตของเมกอร์ เจเฮริสครองบัลลังก์ และได้ฉายาผู้ประนีประนอม (The Conciliator) และผู้ชาญฉลาด (The Wise) จากการที่เขาประนีประนอมกับทุกฝ่าย ไม่ฆ่าไม่ฟัน ไม่โหดร้าย และเน้นพูดคุยดี ๆ จนแม้แต่ผู้นำกลุ่มนักรบศาสนายังประกาศตัวรับใช้ด้วยความยอมรับ เจเฮริสจัดการปัญหาอาณาจักรแบบค่อยเป็นค่อยไป ตั้งแต่อุปถัมภ์ศาสนาด้วยการประกาศจะปกป้องโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีนักรบอีกต่อไป และจัดการกับลอร์ดผู้แปรพักตร์และอดีตศัตรูอย่างเหมาะสม ไม่แข็งแกร้าวและโอนอ่อนจนเกินไป
ผู้คนเคารพนับถือราชาองค์นี้ในฐานะกษัตริย์ผู้ยอดเยี่ยมและมีบาลานซ์ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง และรัชสมัยของเจเฮริส ยังเป็นช่วงเวลาการปกครองของราชาคนหนึ่งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ตระกูลทาร์แกเรียนด้วยระยะเวลาทั้งสิ้น 55 ปี แถมยังได้รับเกียรติในการแก่ตายตามธรรมชาติในนิยายของจอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน อีกด้วย
ปฐมบท House of theDragon
เจเฮริสอยู่มาถึงช่วงที่เป็นกษัตริย์เฒ่า และเรื่องราวได้นำมาสู่เนื้อเรื่องใน House of the Dragon เริ่มจากการที่เขามีบุตร 7 คนเหมือนอับราฮัม แต่ที่เป็นรัชทายาทมีอยู่เพียงสอง คือเอมอน (Aemon) เจ้าของมังกรคาแร็กซิส (Caraxes) ของเดมอน ทาร์แกเรียน (Daemon Targaryen) ที่เราเห็นในซีรีส์เรื่องนี้ ทายาทคนนี้โดนลูกหลงจากการลอบสังหารลอร์ดแห่งทาร์ธ (Tarth) เสียชีวิต ส่วนอีกคนคือเบลอน (Baelon) ที่เสียชีวิตจากการล่าสัตว์และช่องท้องแตกตาย
เอมอนสมรสกับ โจเซลีน บาราเธียน (Jocelyn Baratheon) มีลูกคือ เรนิส ทาร์แกเรียน (Rhaenys Targaryen) ที่ภายหลังสมรสกับลอร์ดแห่งเกลียวคลื่นคนล่าสุด คอร์ลิส เวลาเรียน (Corlys Velaryon) ส่วนทางด้านเบลอนนั้น เป็นบิดาของวิเซริสที่ 1 ผู้ขี่บาเลอเรียนที่ภายหลังสมรสกับเอมม่า แอร์ริน (Aemma Arryn) ลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
ปี 101 A.C. การเสียชีวิตของรัชทายาททำให้เจเฮริสต้องจัดการประชุมครั้งใหญ่ที่ฮาร์เรนฮัล โดยเรียกลอร์ดน้อยใหญ่มารวมตัวกันเพื่อทำการเปิดให้เสนอและประกาศตัวรัชทายาท จากบรรดาผู้เสนอตัวทั้งหมดพบว่าไม่มีใครได้เรื่องเท่าไหร่นัก และคนที่เข้าท่าที่สุดมีอยู่สองผู้ท้าชิงคือ เลนอร์ เวลาเรียน (Laenor Velaryon) บุตรชายของ เรนิส ทาร์แกเรียน กับลอร์ดคอร์ลิส และวิเซริส
หากนับตามลำดับแล้วเรนิสควรได้เป็น แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงในระบอบปิตาธิปไตย ลำดับจึงตกไปยังบุตรชายวัย 7 ปี ในขณะที่วิเซริสอายุ 24 ฉะนั้นหลังจากสิบสามวัน ผลคือวิเซริสเป็นผู้เหมาะสมกับตำแหน่งราชา ซึ่งจะเห็นว่าซีรีส์ได้เปลี่ยนแปลงรายละเอียดไป โดยเปลี่ยนจากเลนอร์ให้เป็นเรนิสโดยตรงเพื่อสะท้อนธีมหลักที่ซีรีส์ต้องการจะสื่อ
และทุกเส้นทาง ทุกการตัดสินใจ ทุกเส้นทาง นำมาสู่ซีรีส์ House of the Dragon ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัว dysfunctional family ที่เริ่มจากการแต่งตั้งองค์หญิง เรนีร่า (Rhaenyra) เป็นรัชทายาทและราชินีองค์แรก กับการถือกำเนิดของเอกอนที่ 2 รัชทายาทผู้ท้าชิง บุตรของวิเซริส และ อลิเซนท์ ไฮทาวเวอร์ (Alicent Hightower) ที่สายเลือดมังกรจะต้องมารบราฆ่าฟันห้ำหั่นกันเองจนมังกรสูญพันธุ์ในเหตุการณ์ ‘มังกรเริงระบำ (Dance of the Dragon)’ เนื่องมาจากระบอบปิตาธิปไตย กับอำนาจแห่งโลหิตและไฟมังกร