22 ก.ค. 2566 | 13:06 น.
- ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ มหาเศรษฐีที่มีอายุกว่า 90 ปี กินแมคโดนัลด์เป็นอาหารเช้า และดื่มโค้กวันละ 5 กระป๋อง
- บัฟเฟตต์มองว่า การกินอาหารตามใจปากเป็นกุญแจสู่ความสุขและความอายุยืนของเขา
‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เป็นที่รู้จักดีในฐานะหนึ่งใน ‘นักลงทุน’ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล และมีชื่อติดทำเนียบคนรวยที่สุดในโลก แต่เชื่อไหมว่า แม้จะมีอายุมากถึง 92 ปีแล้ว เขายังชอบกินอาหารเหมือนเด็ก ไม่ว่าจะเป็นฟาสต์ฟู้ด เครื่องดื่มผสมน้ำตาล และขนมหวานต่าง ๆ
นักลงทุนคนดังและซีอีโอเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) มีอาหารโปรดเป็นเบอร์เกอร์ ฮอตดอก และไอศกรีม แถมยังฟาดแมคโดนัลด์เป็นอาหารเช้า และกระดกโค้กวันละ 5 กระป๋อง ไม่นับของหวานทั้งคุกกี้และช็อกโกแลต
ความชื่นชอบในของหวานยังสะท้อนผ่านการลงทุน สังเกตได้จากการที่เบิร์กไชร์แฮธาเวย์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทโฮลดิ้งข้ามชาติของเขา ได้เข้าไปลงทุนในบริษัทขนมและเครื่องดื่มอย่าง ‘ซีส์ แคนดีส์’ (See’s Candies), ‘แดรี ควีน’ (Dairy Queen), ‘โคคา-โคล่า’ (Coca-Cola) และ ‘คราฟต์ไฮนซ์’ (Kraft Heinz)
11 คำพูดสะท้อนพฤติกรรมการกิน ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’
ระหว่างการให้สัมภาษณ์ รวมถึงในจดหมายประจำปีถึงผู้ถือหุ้น และในการประชุมประจำปี บัฟเฟตต์ยังออกตัวเรื่องพฤติกรรมการกินของตัวเอง และแสดงความรังเกียจผักกับอาหารเพื่อสุขภาพอื่น ผ่าน 11 คำพูด ดังนี้
“ผมอายุ 92 ปี แต่ยังมีนิสัยเหมือนเด็ก 6 ขวบ ผมพบทุกอย่างที่ผมชอบกินตอนอายุ 6 ขวบ แล้วทำไมผมต้องเสียเวลาไปกินอาหารอื่น? ถ้ามีคนบอกผมว่าผมจะมีชีวิตอยู่ได้อีกปี แต่ผมกินอะไรไม่ได้เลยนอกจากบรอกโคลีกับอย่างอื่นอีก 2 - 3 อย่าง ไปทั้งชีวิต ผมจะบอกว่า ให้ปีนั้นเป็นปีสุดท้ายในชีวิตผมเถอะ แล้วปล่อยให้ผมได้กินอะไรที่ผมชอบกิน”
“หนึ่งในสี่ของสิ่งที่ผมกินคือโคคา-โคล่า ถ้าผมกินวันละ 2,700 แคลอรี หนึ่งในสี่ของจำนวนนี้คือโคคา-โคล่า ผมดื่มอย่างน้อย 5 กระป๋อง (กระป๋องละ 12 ออนซ์) ดื่มทุกวัน ตอนกลางวัน 3 กระป๋อง ตอนกลางคืนอีก 2 กระป๋อง”
“ผมตรวจสอบตารางคณิตศาสตร์ประกันภัยแล้ว พบว่าเด็กอายุ 6 ขวบ เป็นกลุ่มที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำที่สุด ผมจึงตัดสินใจกินอาหารเหมือนเด็กอายุ 6 ขวบ มันเป็นวิถีทางที่ปลอดภัยที่สุดที่ผมสามารถทำได้”
“ผมทำตามกฎง่าย ๆ ในเรื่องอาหาร ถ้าเด็ก 3 ขวบไม่กิน ผมก็ไม่กิน”
“บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง และกะหล่ำดาว สำหรับผมมันเหมือนกับอาหารจีนที่กำลังเลื้อยอยู่บนจาน ดอกกะหล่ำเกือบทำให้ผมป่วย ผมฝืนกินแคร์รอต ผมไม่ชอบมันฝรั่งหวาน ผมไม่อยากอยู่ใกล้รูบาร์บด้วยซ้ำ มันทำให้ผมผะอืดผะอม ผักสำหรับผมคือถั่วเขียว ข้าวโพด และถั่วลันเตา ผมชอบสปาเกตตีกับแซนด์วิชชีสย่าง ผมจะกินมีทโลฟ แต่จะไม่สั่งในร้านอาหาร”
“ระหว่างประชุม ผมจะกินโค้ก ของหวานและขนมถั่วคาราเมลของซีส์ เพื่อตอบสนองความต้องการแคลอรีรายสัปดาห์”
“ถ้าผมกินบรอกโคลีและกะหล่ำดาวไปตลอดชีวิต ผมไม่คิดว่าผมจะอายุยืน ผมจะกินอาหารทุกมื้อโดยคิดว่ามันเหมือนกับการเข้าคุกหรืออะไรสักอย่าง”
“ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างการดื่มโคคา-โคล่า กับการที่ใครบางคนจะขาย Whole Foods ให้ผม ผมว่าผมไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคนที่ Whole Foods นะ” (Whole Foods เป็นเชนซูเปอร์มาร์เก็ตพรีเมี่ยมที่เน้นขายสินค้าออร์แกนิค)
“ผมชอบกินอะไรเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา ผมกินแซนด์วิชแฮมเป็นอาหารเช้าต่อเนื่องกัน 50 วันได้เลยนะ
“ผมไม่กินอาหารจีน ถ้าจำเป็น เสิร์ฟแค่ข้าวให้ผม แล้วผมจะเขี่ยมันไปมาบนจาน จากนั้นก็จะกลับไปกินถั่วที่ห้อง”
‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ กินแต่อาหารที่ทำให้เขามีความสุข
แต่ถึงแม้ร่างกายของปู่วอร์เรนจะรับน้ำตาลและโซเดียมในปริมาณมาก เขากลับสามารถทำงานได้ 29 ชั่วโมงโดยไม่งีบหลับ โดยใช้เวลาไปกับการอ่าน 80% แต่ละวันเขาจะอ่านหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ และใช้เวลา 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการเล่นบริดจ์
จะว่าไปแล้วบัฟเฟตต์ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข เขาไปทำงานที่ออฟฟิศเดิมมานานกว่าครึ่งศตวรรษ อาศัยอยู่บ้านหลังเดิมที่เขาซื้อในปี 1968 ด้วยเงินเพียง 31,500 ดอลลาร์ ที่เขาให้คำจำกัดความว่าเป็น ‘พระราชวังแห่งความสุข’
นักลงทุนมหาเศรษฐีเน้นหาความสุขจากการกินอาหารรสชาติดี เขาเชื่อว่ามันเป็นกุญแจสู่ความเป็นอยู่ที่ดีและอายุที่ยืนยาว แต่เขาก็ยอมรับว่ามันยากที่จะวัด ถึงกระนั้น เขาก็ติดอยู่กับวิถีทางเดิมมาเป็นเวลานาน และจะไม่ยอมแลกอาหารที่ตัวเองชอบกับอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งเวลา
แม้จะดูไม่ค่อยคำนึงถึงสุขภาพ แต่บัฟเฟตต์ก็มีคุณหมอฝีมือดีคอยให้คำแนะนำดูแล ทำให้โดยรวมแล้วเขามีสุขภาพดีอย่างน่าทึ่ง
“สาเหตุหลักมาจากยีนแน่นอน แต่ผมก็คิดเหมือนกันว่า อาจเป็นเพราะผมสนุกกับชีวิตในทุก ๆ วัน” บัฟเฟตต์กล่าว
อ้างอิง: