‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เป้าหมายสานธุรกิจต่อต้องดีกว่าเดิม

‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เป้าหมายสานธุรกิจต่อต้องดีกว่าเดิม

รู้จักกับ ‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เส้นทางโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความกดดัน และความคาดหวังจากรุ่นผู้ก่อตั้งแบรนด์เก่าแก่ที่คนไทยรู้จัก กับเป้าหมายของเธอ ถ้าได้เข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านแล้วต้องทำให้ดีกว่าเดิม (ไม่ใช่เท่าเดิม)

  • สมูทอีเป็นแบรนด์เวชสำอางที่คนไทยรู้จักมาเกือบ 30 ปีแล้ว และยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำที่ก่อตั้งโดยคนไทย
  • เดนทิสเต้ แบรนด์ลูกที่ก่อตั้งมากว่า 17 ปี และยังได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ
  • ‘จูน - ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 ที่ตัดสินใจเข้ามาช่วยธุรกิจที่บ้านอีกครั้ง พร้อมความคาดหวังจากรุ่นผู้ก่อตั้ง

ทุกวันนี้หลายคนจะเห็นทายาทรุ่น 2 ของบริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ปมากขึ้น ก็คือ ‘จูน - ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ที่เข้ามาช่วยงานธุรกิจครอบครัวผลิตภัณฑ์สมูทอีและเดนทิสเต้ ของผู้ก่อตั้ง ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เกือบ 30 ปีก่อน แต่ยังมีอีกหลายมุมมองเกี่ยวกับ จูน ที่หลายคนอาจยังไม่รู้

จูน เปิดใจพูดกับ The People ถึงช่วงที่เรียนจบใหม่ ๆ และไปทำงานที่บริษัทอื่นก่อนกลับมาช่วยงานที่บ้านว่า “รู้สึกกดดันมากเหมือนกัน เพราะจูนมีประสบการณ์ทำงานจากข้างนอก (บริษัทอื่น) ไม่นาน เชื่อว่าพ่อแม่ก็คงคาดหวังเป็นปกติอยู่แล้ว”

“เราคิดว่าหากต้องการพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น เราต้องเรียนรู้กับบริษัทใหญ่หรือบริษัทข้างนอก จูนก็เลยออกไปทำตามความฝันของตัวเองนิดหน่อยประมาณ 2 ปีครึ่ง แล้วก็ทำธุรกิจของตัวเองด้วย เป็นธุรกิจเกี่ยวกับกีฬาและอีกประมาณ 2-3 ธุรกิจในตอนนั้น”

‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เป้าหมายสานธุรกิจต่อต้องดีกว่าเดิม

สำหรับ จูน ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เข้ามาช่วยงานที่บ้าน เพราะเธอเล่าว่า ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็คลุกคลีอยู่กับโรงงาน อยู่กับพนักงานในฝ่ายต่าง ๆ เพราะปิดเทอมเมื่อไหร่เธอก็จะไปดูงานเสมอ ตั้งแต่ฝั่งคลังที่เป็นบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการนับสต็อกสินค้า จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ จูน ค่อนข้างให้ความสนใจเกี่ยวกับธุรกิจ จนทำให้ไปเรียนต่อปริญญาโท MBA ที่ประเทศอังกฤษ

ก่อนเป็นจูนในเวอร์ชั่น CMO

ด้วยลุคเปรี้ยว ๆ เป็นสาวมั่นแบบจูน จริง ๆ แล้วย้อนไป 10 กว่าปีเธอเคยเป็นเด็กไทยที่ไม่รู้ความชอบของตัวเองมาก่อน ไม่รู้ว่าอยากจะเรียนอะไรต่อ ดังนั้น เธอจึงเลือกเรียน ‘เภสัชศาสตร์’ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็เป็นวิชาชีพที่เรียนจบแล้วสามารถช่วยคนได้ และก็เป็นอาชีพที่ขาดแคลนค่อนข้างมากในไทย

นอกจากนี้ จูน ก็คิดว่าการเรียนเภสัชศาสตร์จะเป็นประโยชน์กับเธอเพราะท้ายที่สุดแล้วก็กลับมาช่วยงานที่บ้านอยู่ดี

หลังจากนั้น จูน ได้ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทในสาขา MBA เพราะอยากหาประสบการณ์ใหม่ ๆ และเรียนรู้วิธีการทำงานจากองค์กรอื่น เพราะเชื่อว่าจะสามารถนำมาปรับเปลี่ยนกับวิธีการบริหารงานของสมูทอีและเดนทิสเต้ได้

ทั้งนี้ จูน เล่าว่าหลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีและกลับมาช่วยงานที่บ้าน สิ่งแรก ๆ ที่พ่อของจูนให้โอกาสก็คือ “มอบหมายให้ทำงานเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ก่อนเพื่อเรียนรู้ทุกอย่างในบริษัท โดยหน้าที่แรกที่รับผิดชอบก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่ของเดนทิสเต้ เป็น Dentiste' Mastic Mint หรือที่เขาเรียกกันว่า Sukkiri เป็นเม็ดอมของทางเดนทิสเต้ค่ะ”

‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เป้าหมายสานธุรกิจต่อต้องดีกว่าเดิม

“จูนเรียนรู้และดูทุกอย่าง จนถึงตอนนี้ก็ดูองค์รวมของบริษัททั้งสมูทอีและเดนทิสเต้ ตัวโปรดักส์ใหม่ ๆ ที่จะเปิดตัว หรือแคมเปญที่น่าสนใจของทั้งสองแบรนด์ อย่างที่ผ่านมา จูนก็มีโอกาสได้เริ่มดีลกับทางพรีเซ็นเตอร์ของเดนทิสเต้ ก็คือ ‘ลิซ่า’ ซึ่งก็เป็นแคมเปญหนึ่งที่ทางบริษัทเดนทิสเต้ค่อนข้างประสบความสำเร็จถึงมากที่สุด (โดยมีจูนอยู่เบื้องหลังดีลนั้น)”

เป้าหมายสานต่อธุรกิจต้องดีกว่าเดิม

ด้วยความที่ทั้งสมูทอีและเดนทิสเต้ ต่างก็เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากอยู่แล้ว ดังนั้น การที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจจึงไม่ใช้เรื่องง่าย สำหรับ จูน เธอวางเป้าหมายชัดเจนว่า “ถ้าสมมุติกลับมาทำงานที่บ้าน เราทำได้ดีเท่าเขา (พ่อแม่) จูนรู้สึกว่าสิ่งนี้มันไม่ success สำหรับจูน จูน รู้สึกว่าถ้าจูนกลับมาทำงานที่บ้าน ต้องทำให้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ขึ้นไปอีกหลาย ๆ สเต็ป นั่นคือความ success สำหรับตัวจูน”

“อย่างสมูทอีที่มีมาเกือบ 30 ปีแล้วก็เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างเก่าแก่ คนไทยทั่วไปก็รู้จัก หรืออย่างแบรนด์เดนทิสเต้เองก็มีมายาวนานกว่า 17 ปีแล้ว ซึ่งช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ทำเมนมาร์เก็ตก็คือ Gen X ในวันนั้น พอจูนเข้ามาจูนก็ตั้งโจทย์ว่า แล้วจะขยายผู้บริโภคยังไงให้ไปสู่ Gen Y และ Gen Z ให้ได้เยอะที่สุด”

“ด้วยปัจจุบันเทรนด์มาร์เก็ตติ้ง เทรนด์โลกมันค่อนข้างเปลี่ยนไปเราจะพัฒนาอะไรที่ให้ตามเทรนด์ ตามยุคสมัยให้ครบถ้วนก้าวตามเทรนด์โลกได้ก็ค่อนข้างสำคัญ อย่างเช่น แคมเปญที่เปิดตัวพรีเซนเตอร์เป็น ลิซ่า บริษัทเดนทิสเต้ก็ค่อนข้าง success คนต่างจังหวัดรู้จักเรามากขึ้น คนทั่วโลกก็รู้จักเรามากขึ้น”

‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เป้าหมายสานธุรกิจต่อต้องดีกว่าเดิม

นอกจากกลุ่มมาร์เก็ตที่จูนให้ความสำคัญ จูน ก็ยังโฟกัสที่หลักการของ ดร.แสงสุข ผู้เป็นพ่อ โดยได้ดำเนินธุรกิจด้วยหลักการเดิมเสมอก็คือ “ต้องมีความแตกต่าง มีความน่าเชื่อถือ และพยายามครองใจเป็นเบอร์หนึ่งของผู้บริโภคให้ได้”

ทั้งนี้ เมื่อเราถามถึงแนวคิดหรือหลักคิดที่ จูน ยึดตามผู้เป็นพ่อมาตลอดตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวว่าคืออะไร จูนเปิดใจกับเราว่า “ทำทันทีค่ะ...คือ ทำทันที คิดอะไรได้ทำเลยอย่างน้อยเราคิด 10 อย่าง ชนะ 1 อย่าง ก็เรียกว่า success แล้วค่ะ ไม่รอเวลา ไม่รอเวลาเลย อยากให้ทำให้เร็วที่สุด คิดอะไรออกทำ เพราะเราแข่งกับปัจจุบัน เราแข่งกับเวลา เราแข่งกับตลาดค่ะ”

และเมื่อเราถามว่า โดยส่วนตัวแล้ว จูน มองว่าตัวเองเป็นผู้บริหารแบบไหนในฐานะที่เธอต้องมารับช่วงต่อธุรกิจที่เก่าแก่ของประเทศไทย และเธอก็ยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดต่างจากรุ่นผู้ก่อตั้ง จูนบอกว่า “จูนว่าจูนเป็นคนที่ค่อนข้าง open minded แล้วก็รวดเร็วทำอะไรก็ทำเลย ยอมรับฟังความคิดเห็นของพนักงาน และคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานด้วย จูนจะคิดอะไรว๊าว ๆ ใหม่ ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่งที่จะมองหาโอกาสให้กับบริษัท หรือมีแคมเปญอะไรใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ มีเทรนด์อะไรตามโลกจูนก็จะทำทันที จูนคิดว่าการระดมความคิดด้วยกัน น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว”

“สำหรับจูน เมื่อก่อนปลาใหญ่อาจจะกินปลาเล็ก แต่ตอนนี้คือ ปลาเล็กกินปลาใหญ่ เพราะความเร็ว และการ keep up trend ตลอดเวลา เพราะว่าเมื่อก่อนคู่แข่งเวชสำอางอาจจะไม่เยอะเท่าตอนนี้ แต่ปัจจุบันใครก็สามารถทำธุรกิจได้ เราคิดว่า product ของเรามีหนึ่งว๊าวคงไม่พอแล้ว เพราะคนอื่นก็มีว๊าวเหมือนกัน ดังนั้น อย่างน้อยต้องสิบว๊าว product ต้องมีอะไรที่น่าตื่นเต้นมากกว่านั้น”

‘ศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล’ ทายาทรุ่น 2 สมูทอี-เดนทิสเต้ เป้าหมายสานธุรกิจต่อต้องดีกว่าเดิม