25 ม.ค. 2568 | 18:00 น.
“เรารู้มาตลอดว่าที่บ้านเป็นสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าในคืออะไรกันแน่ มันจะเป็นเรื่องงมงายมั้ย หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นผู้ให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเราได้จริง”
‘แซม - กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล’ ทายาทรุ่น 3 โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาเองก็เคย ‘ไม่เชื่อ’ และมองว่าโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง ซึ่งอยู่คู่ตระกูลมานานกว่าแปดทศวรรษนั้นอาจเป็นเรื่องงมงาย แต่ในฐานะลูกชายคนโต แน่นอนว่าเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงโชคชะตาได้ ถึงจะพยายามมากแค่ไหน สุดท้ายคำว่าครอบครัวก็มาเป็นอันดับหนึ่งอยู่ดี
“หลังจากเรียนจบก็เริ่มศึกษาด้านโหราศาสตร์ของที่บ้าน เลยเข้าใจมากขึ้นว่ามันไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่มันคือพื้นฐานของชีวิตที่คนสมัยก่อนเขาเก็บบันทึกสถิติเอาไว้ตั้งแต่แรก เราก็เอาสถิติตรงนี้มาปรับใช้ให้เข้ากับสังคมมากขึ้นแค่นั้นเอง”
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อสานต่อกิจการของครอบครัวให้ผ่านไปได้ด้วยดี คือ ผู้นำอย่างเขาต้องเข้าใจประวัติและความเป็นมาของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงอย่างลึกซึ้งเสียก่อน เริ่มจากเข้าใจความหมายของคำว่า ‘น่ำเอี๊ยง’ ว่ามีที่มาอย่างไร
“คำว่าน่ำเอี๊ยงมาจากภาษาจีนกลาง เรียกว่าหนานหยาง คำว่า หนาน แปลว่าทิศใต้ ส่วน หยาง หมายถึงพระอาทิตย์ เมื่อรวมกันจะหมายถึงแสงสว่างจากทิศใต้”
ยังไม่ทันถามว่าทำไมต้องทิศใต้ กิตติธัชก็ไขความกระจ่างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า ในสมัยก่อนคนจีนมีความเชื่อว่าทิศใต้คือทิศมงคล ทิศแห่งความอบอุ่น และพร้อมมอบความสุข สร้างความราบรื่นในชีวิตแก่ทุกคน
“คนจีนจะมีความเชื่อว่าทิศใต้เป็นทิศมงคล เพราะเป็นทิศที่อบอุ่น ช่วงเวลาลมหนาวพัดมา ลมจะพัดจากเหนือ แล้วเมืองสมัยก่อนจะสร้างเป็นกำแพงสูง ๆ ด้านหลัง เพื่อให้เวลาที่ลมหนาวพัดเข้ามาจะไม่ได้พัดเข้าประตูเมือง แต่จะพัดเข้าหลังเมือง ยิ่งมีกำแพงสูงอยู่ด้านหลังก็จะช่วยให้ลมหนาวพัดไปด้านบนแทน คนที่อยู่ในเมืองจะไม่ได้รับความหนาวเหน็บ
“พอเรายิ่งลงใต้เรื่อย ๆ อากาศก็จะอุ่นมากขึ้น ทิศใต้เลยเป็นทิศแห่งความมงคล และในส่วนของน่ำเอี๊ยงที่เราใช้ชื่อนี้ เพราะเราตั้งใจเป็นทิศแห่งความมงคล เป็นเข็มทิศที่คอยนำทางแต่ละคน นี่คือความตั้งใจแรกเริ่มที่มีสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงขึ้นมาตั้งแต่รุนอากง
“เราอยากจะสร้างความสุข สร้างความราบรื่นให้กับผู้คน ให้เขาเข้าใจว่าโหราศาสตร์ไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเรื่องเข้าใจได้ตามหลักวิทยาศาสตร์”
ใช่ว่าเส้นทางการเป็นทายาทสานต่อธุรกิจครอบครัว จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเสมอไป กิตติธัชยอมรับว่านี่เป็นงานยากไม่น้อย ไหนจะต้องศึกษาตำราเก่าแก่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหน้า มาจนถึงการปรับเปลี่ยนให้กิจการของที่บ้านเข้ากับยุคสมัย เรียกได้ว่าเป็นงานโหดหินน่าดู แต่เขาไม่ย่อท้อคิดเพียงแต่ว่าอยากจะทำให้โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง ‘จับต้องได้’ และต้องเป็น ‘วิทยาศาสตร์’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น กิตติธัชจึงพยายามค้นหาทุกความเป็นไปได้ว่าจะทำอย่างไรให้ศาสตร์นี้สามารถอยู่คู่สังคมไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขิน จากความรู้ความสามารถของเขา ทำให้เริ่มมองเห็นลู่ทางว่า บางทีควรนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับศาสตร์โบราณนี้ดูสักตั้ง จนเป็นที่มาของการเปิดแอปพลิเคชันปฏิทินมงคล Num Eiang เมื่อปี 2023 และพบว่าผู้คนต่างให้การตอบรับอย่างล้นหลาม เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปีหลังเปิดตัว มียอดดาวน์โหลดสูงถึง 200,000 ครั้ง นับเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่ทำให้ศาสตร์ความเชื่อโบราณเข้ากับยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว
The People ชวนทำความเข้าใจโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงให้กระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น ผ่านบทสนทนาสุดเข้มข้นชิ้นนี้
The People : โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงมีความเป็นมายังไง
กิตติธัช : กิตติธัช นำพิทักษ์ชัยกุล นะครับผม ตอนนี้ก็มาเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงแล้ว ประวัติความเป็นมาของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง จริง ๆ แล้วก็โหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงเนี่ยเริ่มมาตั้งแต่รุ่นของอากงครับ ก็คือเป็นคุณปู่ของผมเองครับ อากงเนี่ยก็ได้ย้ายเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1939 ตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาเนี่ยเนื่องจากเขามาประเทศไทยเพื่อมาตามหาคุณพ่ออีกทีนึง ก็คือเหล่ากงของผมเองนี่แหละครับ ก็เนื่องจากตอนนั้นเนี่ยที่เหล่ากงได้เริ่มมาย้ายมาอยู่ที่ไทยก่อน แล้วก็พอมาอยู่เนี่ยเขาก็เหมือนมาทำมาค้าขาย แล้วก็ส่งเงินเพื่อกลับไปเลี้ยงที่บ้านที่ครอบครัวที่ประเทศจีนอีกทีนึง หลังจากที่ว่าท่านได้มาสักระยะหนึ่งแล้วเนี่ย ก็เหมือนได้ขาดการติดต่อกัน
ซึ่งอากงเนี่ยก็เหมือนเป็น ก็เป็นลูกชายคนโตนี่แหละครับ ก็เลยสงสัยว่า เออ เหล่ากงหายไปไหน จะติดต่อยังไง ท่านก็เลยแบบตัดสินใจว่าจะมาประเทศไทย เพราะว่าตอนนั้นก็ยังศึกษาอยู่ที่ ก็คือ ก็ยัง เหมือนใช้ชีวิตที่ครอบครัวก็ยังอยู่ที่จีนกันทั้งหมดเลย มีแต่เหล่ากงมาคนเดียว ก็พอหลังจากนั้นเนี่ย ก็ย้ายมาประเทศไทยเพื่อมาตามหาคุณพ่อ ก็ผ่านไปสักระยะนึงหลังจากที่เขาได้ตามหาเนี่ย ก็ได้พบว่าเหมือนมี เจอคุณอาคนนึงเนี่ยเขาบอกว่าเหมือนแบบอธิบายรูปพรรณสัณฐาน และท่านก็บอกว่าเหมือนอากงแบบท่านเหล่ากงเนี่ยได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากนั้นเนี่ยท่านได้ย้ายเข้ามาแล้วท่านเห็นว่าประเทศไทยเนี่ยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ
เป็นประเทศที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แล้วก็จริง ๆ มีโอกาสธุรกิจหลาย ๆ อย่าง แล้วท่านเนี่ยก็มีด้วยส่วนตัวเนี่ยชอบชื่นชอบด้านด้านโหราศาสตร์มาอยู่แล้ว ได้ศึกษามาตั้งแต่อยู่ประเทศจีนแล้วด้วย ก็เลยพอมาเนี่ย ก็ย้ายเข้ามาอยู่หาดใหญ่ก่อนครับ แล้วก็เริ่มรับดูดวง ดูฤกษ์มงคลต่าง ๆ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่หาดใหญ่เลย หลังจากนั้นที่ท่านได้ทำมาสักระยะหนึ่งเนี่ย ก็ได้มีผู้ใหญ่ได้ ผู้ใหญ่ที่กรุงเทพฯ เนี่ยเชิญมาให้มาอยู่ตั้งเหมือนแบบเปิดสำนักที่กรุงเทพฯ เพราะว่าเนื่องจากหลาย ๆ ท่านเนี่ยคือพยายามจะไปหาเขาที่หาดใหญ่ก็ไม่ค่อย ก็ค่อนข้างไม่สะดวกเท่าไหร่ก็เลยย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ตรงใกล้ ที่อยู่ใกล้ ๆ ณ ปัจจุบันเหมือนกันครับ ก็อยู่แถว ๆ ซอยตรอกสลักหิน (ซอยพระยาสิงหเสนีในปัจจุบัน) ก็ย้ายเข้ามาเสร็จปุ๊บ เราก็ได้เปิดสำนักเป็นสำนักโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง
แล้วท่านก็ได้เริ่มทำ แรก ๆ เลยเนี่ยคือจริง ๆ แล้วเราก็รับบริการทั้งดูดวง แล้วก็ดูฤกษ์มงคลใช่ไหมครับ แล้วก็นอกเหนือไปมากกว่านั้นเนี่ย คือความตั้งใจของอากงตั้งแต่แรก ๆ เลยที่มีต่อสำนักโหราศาสตร์เนี่ย คือท่านน่ะอยากจะทำเขียนเป็นเหมือนแบบเขียนหนังสือเกี่ยวกับด้านโหราศาสตร์จีน เนื่องจากท่านได้ศึกษาเกี่ยวกับด้านโหราศาสตร์จีนมาระยะเวลาค่อนข้างนานมาก ๆ แล้วจริง ๆ มันมีเกี่ยวกับทั้งมนุษย์ศาสตร์ ดาราศาสตร์ด้วย กว่าจะมีคนรู้จักก็ใช้ระยะเวลานานมากพอสมควรเหมือนกัน แล้วพอย้ายมาเนี่ยก็นอกเหนือไปมากกว่านั้นเนี่ย ก็ได้เห็นว่าด้วยวัฒนธรรมคนจีนที่ย้ายมาอยู่ประเทศไทยนะครับ คือวัฒนธรรมของเราเนี่ยก็ ของที่ลูกหลานชาวจีนเนี่ย ก็ยังจะทำยังไงทำให้มันสืบต่อไปได้
เพราะว่าสมัยก่อน เวลาจะไปดูว่าวันไหนเป็นวันตรุษจีน หรือวันไหนวันสารทจีน วันไหนเป็นวันเช็งเม้ง วันสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้ก็รวม มันอยู่ในวัฒนธรรมของทางชาวจีนอยู่แล้ว แล้วพอย้ายมานี่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน คนก็เอาพวกปฏิทินอะไรพวกนี้ช่วงสมัยนั้นก็ยังหาซื้อยากอยู่เหมือนกัน ท่านก็เลยคิดว่า เออ ไหน ๆ เราเข้าใจด้านโหราศาสตร์จีนแล้วเนี่ย แล้วก็อยากจะให้ อยากจะทำปฏิทินขึ้นมาเพื่อทำให้คนที่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยเนี่ยได้รู้ว่าเหมือนแบบยังได้รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีจีนอยู่ ใช่ครับผม ก็เลยทำเป็นตำราปฏิทินขึ้นมา พอทำเป็นตำราปฏิทินมาเนี่ย สมัยก่อนเนี่ยคือมีแค่ในตำราเนี่ยเปิดขึ้นมาเนี่ยมีแต่ภาษาจีนอย่างเดียวเลย มีแค่วันไทยเนี่ยมีแค่เป็นแค่ข้างขึ้นข้างแรมอย่างเดียวครับผม ก็ในส่วนของแบบพวกวันข้างขึ้นข้างแรมก็คือเรา Blended in ให้กับ เหมือนแบบเข้ากับของวัฒนธรรมไทยด้วย
แต่ด้านล่างเนี่ยส่วนมากก็ยังเป็นข้อมูลจีนอยู่ ก็ทำมาในสักระยะนึงเลยก็เหมือนแบบ คนก็อาจจะ เหมือนแบบกลุ่มลูกค้าเนี่ยสมัยก่อนก็จะมีแต่คนจีนเลยนะครับ แล้วก็หลังจากนั้นก็เริ่มพัฒนามากขึ้น ทำให้เป็นเหมือนแบบใบกระดาษปฏิทินแผ่นเดียวแผ่นใหญ่ ๆ ซึ่งอันนี้เนี่ยก็คือคนหลาย ๆ คนก็ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะว่ามันเหมือนแบบพกพาง่าย แล้วก็เหมือนตอนนั้นเนี่ยความตั้งใจที่เขาทำขึ้นมาเพื่ออยากจะแจกจ่ายให้กับคนที่เหมือนแบบอยู่ระแวกนั้น แล้วก็อยู่ต่างจังหวัดด้วยก็แจกจ่ายไป แล้วก็ในส่วนของปฏิทินเนี่ย คนก็คือได้รับความนิยมมากขึ้น แล้วก็คนมีมา เริ่มมา request ว่าอยากได้เป็นเล่มบ้าง อยากได้เป็นแผ่นอะไรพวกนี้มาบ้าง ที่เป็นรูปแบบก็เลยพัฒนารูปแบบอีกรูปแบบนึงให้เป็นรูปแบบ ณ ปัจจุบันนี่แหละครับ ใช่ ก็มียาวนานมามากกว่า 30 เกือบ 40 ปีแล้วครับผม
The People : พอจะทราบไหมว่ามีกี่รูปแบบแล้วตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ พัฒนามากี่แบบแล้ว
กิตติธัช : จริง ๆ แล้วในส่วนของที่พัฒนามาคือ เริ่มต้นตั้งแต่แรก ๆ เลยเนี่ยด้วยเรื่องความตั้งใจของอากงคือเขาทำมาเป็นเหมือนแบบเป็นหนังสือก่อน หนังสือ โหราศาสตร์จีนนี่แหละครับ ก็คือคนทั่วไปสามารถมาซื้อแล้วก็เหมือนแบบมาทำความเข้าใจ เพราะว่าความตั้งใจของอากงจริง ๆ แล้ว คืออยากให้ในส่วนของโหราศาสตร์เนี่ยเหมือนแบบให้คนได้ ผู้คนได้เข้าใจ และนำไปเหมือนแบบปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อทำให้ชีวิตเขามีความรุ่งเรืองมากขึ้น แล้วก็ราบรื่นมากขึ้นด้วย หลังจากทำหนังสือมาเสร็จปุ๊บ หนังสือก็หลายเล่มอยู่เหมือนกัน ซึ่งมีหลาย ๆ เล่มที่ผมก็ไปตามหามา คือมีคนโพสต์เหมือนแบบใน Facebook ทักเข้ามานะครับว่าเนี่ยมีตำราของน่ำเอี๊ยง ซึ่งบางเล่มเนี่ยผมยังไม่เคยเห็นเลยว่า เฮ้ย เรายังไม่มีเก็บไว้เองเลย เพราะสมัยก่อนน่าจะไม่ได้ทำแบบหลายฉบับมาก
แต่ก็มีหลาย ๆ คนที่แบบส่งเข้ามาเหมือนแบบ โอ้ อันนี้แบบ เหมือนแบบอันนี้ของน่ำเอี๊ยงนะ ผ่านมาแบบ 60-70 ปีแล้วแบบต้องส่งคืนบ้างหรือเปล่าหรือแบบอะไรพวกนี้ ผมก็ขอเขานะครับบอกว่าอยากได้คืนเหมือนกัน แต่เขาก็บอกว่าไม่ได้อันนี้ก็ต้องเก็บไว้ (หัวเราะ) แล้วก็ในส่วนของแบบที่ท่านทำหนังสือมาเสร็จปุ๊บ แล้วก็เหมือนแบบตอนนั้นเนี่ยเหมือนหนังสือก็ยังไม่ได้กระจายออกไปกว้างขนาดนั้น แล้วก็เหมือนแบบคนยังไม่ได้รู้จักมากก็เลยหันมาทำปฏิทินนี่แหละครับ คือพอเป็นปฏิทินปุ๊บ คนก็เริ่มแบบเหมือนได้รับความนิยมมากขึ้นในส่วนของปฏิทินตั้งแต่แรกเลยก็คือเป็นตำราปฏิทินที่เป็นแบบเหมือนเปิดมาเป็นหนังสือจีนทั้งหมดเลย แล้วก็รุ่นที่ 2 เนี่ยจะเป็นในส่วนของเป็นใบแล้ว เป็นใบ ๆ นึง ใบใหญ่ ๆ ที่ทำแจกจ่ายให้กับลูกหลานชาวมังกรเหมือนกัน แล้วก็ในส่วนของที่ 3 ก็จะเป็นในส่วนของตำราแล้ว ตำราที่ออกมาเป็นเล่มหนา ๆ และ ณ ปัจจุบันก็คือ ณ ตอนนี้เราก็ยังมีจัดจำหน่ายอยู่เหมือนกัน
แต่เนื้อหาข้างในเนี่ยคือไม่ได้ เนื้อหาด้านในเนี่ยก็จะสอนเกี่ยวกับพวกด้านปรัชญาชีวิต แล้วก็ด้านเหมือนแบบด้านโหราศาสตร์เบื้องต้นที่คนสามารถซื้อไปแล้วก็สามารถเหมือนแบบทำความเข้าใจได้ แล้วก็ด้านหลังสุด ข้อมูลคอนเทนต์ของเราก็จะเปลี่ยนทุกปีพวกเกี่ยวกับด้านปฏิทินว่าวันนี้ควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร แต่เนื้อหาด้านโหราศาสตร์จีนจะลึกซึ้งมากกว่าที่ตัวเป็นปฏิทิน ณ ปัจจุบัน
อันนั้นก็เป็น 3 แบบแล้วนะครับ แล้วก็แบบที่ 4 เนี่ยก็จะเป็นตัวเล่มแล้ว เป็นตัวเล่มปฏิทินที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันที่เป็นปฏิทินรายวันและหลังสุดก็จะเป็นรายเดือน แล้วก็หลังจากนั้นไปอีกก็คือจะเป็นปฏิทินตั้งโต๊ะแล้ว ที่เราเอาเล่มเล็กเนี่ยเหมือนปกติที่จะเป็น pain point ของลูกค้าทุกคนเลยที่ว่าบอกว่า โอ้ ทำไมปฏิทินทำไมมันชอบไปขูดกับโต๊ะ ทำไมมันฉีกยาก อันนี้เราก็ปรับรูปแบบให้มันมาตั้งบนโต๊ะได้ แล้วก็ทำให้มันพรีเมียมมากขึ้นด้วย แล้วก็สามารถฉีกแบบง่าย ๆ ครับ อันนี้ก็จะเป็นปฏิทินรูปแบบใหม่ล่าสุด
The People : ขอย้อนกลับไปช่วงที่บอกว่าเข้ามาไทยช่วงแรก ๆ ที่บอกว่าไปศึกษาโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง อันนี้คือมีอาจารย์ไหม
กิตติธัช : ผมคิดว่าด้วยความที่เป็นโหราศาสตร์จีน ยังไม่มีสำนักเยอะขนาดนั้นด้วย ท่านได้ซื้อหนังสือหลาย ๆ เล่มก็ยังมีเก็บไว้อยู่ ท่านได้ซื้อหนังสือแล้วก็เอาเข้ามา แล้วก็มาศึกษาเอง เป็นระยะเวลาค่อนข้างนานอยู่เหมือนกัน ทั้ง จริง ๆ มีโหรไทยด้วย แบบเหมือนในตำราที่เป็นรูปแบบรูปเล่มสีแดงเนี่ย ก็จะมีเหมือนแบบคำอธิบายว่าเหมือนแบบโหรไทยเป็นยังไง เหมือนแบบมีความคล้ายคลึงกันยังไงบ้าง คือ root (ราก) สมัยก่อนเลยด้านโหราศาสตร์ คือจริง ๆ แล้วเราได้รากมาจากทางอียิปต์เลยครับ ผมว่าน่าจะเป็นหมื่นปีเหมือนกัน แล้วก็คือส่งต่อมาเรื่อย ๆ ความคล้ายของมันก็คือของไทยก็จะคล้ายกัน คือของไทยของจีนอะไรพวกนี้ก็จะมีความคล้ายคลึงกันอยู่ แต่ในส่วนของศาสตร์เนี่ยการคำนวณหรือสถิติต่าง ๆ ผมว่าน่าจะเป็นคนละรูปแบบกัน
The People : คำว่า 'น่ำเอี๊ยง' มีความหมายว่าอย่างไร
กิตติธัช : น่ำเอี๊ยงนะครับ จริง ๆ ภาษาจีนกลางเรียกว่า หนานหยาง คำว่า หนาน เนี่ยแปลว่าทิศใต้ หยาง เนี่ยเป็น ความหมายก็คือพระอาทิตย์ ก็คือสรุปแล้วเนี่ยก็คือเป็นความหมายของน่ำเอี๊ยง คือแสงสว่างจากทางทิศใต้ ทำไมต้องทิศใต้ ก็คือเนื่องจากแสงสว่างเนี่ย คือสมัยก่อนเนี่ยเวลาทิศใต้เนี่ยเป็นทิศมงคล เวลาสมัยก่อนท่านจักรพรรดิหรือแบบราชวงศ์ต่าง ๆ ที่สร้างเมืองครับ ก็อย่างวัดอะไรพวกนี้เหมือนกันก็จะหันไปทางทิศใต้ เนื่องจากลูกหลานชาวจีน คนจีนเนี่ยมีความเชื่อว่าทิศใต้เนี่ยเป็นทิศมงคลครับ เพราะทิศใต้เป็นทิศแบบอบอุ่นด้วย ช่วงแบบลมหนาวเวลาที่พัดมาตอนหน้าหนาวเนี่ยก็จะพัดมาจากทางทิศเหนือนะครับ
แล้วเขาก็จะสร้างเมืองที่มีกำแพงสูง ๆ ด้านหลัง เพื่อว่าเวลาลมหนาวพัดเข้ามาเนี่ยจะไม่ได้พัดเข้าประตูเมืองข้างหน้าเลย แต่ก็จะพัดเข้าด้านหลังเมือง ซึ่งเวลาพอมีภูเขาเนี่ยลมด้านหลัง ลมหนาวจากตอนช่วงฤดูหนาวเนี่ยก็จะพัดออกให้ พัดสู่ด้านบนแทน ก็คือจะไม่ได้เข้าเมือง แล้วคนข้างในเมืองเนี่ยก็จะไม่ได้หนาวเหน็บ แล้วก็ด้านทิศใต้เนี่ย พอเรายิ่งลงใต้ ๆ ไปอีกเนี่ยก็อากาศมันก็จะอุ่นมากขึ้น
ทิศใต้ก็เลยเป็นทิศแห่งความมงคล และในส่วนของความ ที่เป็นน่ำเอี๊ยง คือของเราก็ตั้งใจเป็นทิศแห่งความมงคล เป็นเข็มทิศของชีวิตที่อยากจะ ที่เราพยายาม ที่มาเป็น ตั้งแต่ Vision รุ่นแรกเลยของอากง ก็คืออยากจะสร้างความสุข สร้างความราบรื่นให้กับผู้คนที่เข้าใจด้าน ที่รู้จักกับเรา แล้วก็ทำให้ในส่วนของโหราศาสตร์เนี่ยเป็นสิ่ง เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงมงาย และเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
คือจริง ๆ ในส่วนของตรงนี้เนี่ยคือเรานำด้านโหราศาสตร์จีนเนี่ยมาประยุกต์ใช้กับประจำวัน คือที่มาตั้งแต่แรกคือเป็นหนังสือเนี่ย ด้วยความที่อากงเขาเห็นว่าเหมือนในส่วนของตรงนี้มันไม่สามารถ blended in เข้าไปกับไลฟ์สไตล์ของคนได้ขนาดนั้น พอปรับมาเป็นรูปแบบปฏิทินจีนปุ๊บแล้วเนี่ย มันเหมือนแบบด้านโหราศาสตร์เนี่ยมันอยู่กับเราทุกวันอยู่แล้ว เขาทำให้มันเข้าใจง่ายมากขึ้น ทำให้มันพออ่านแล้วเนี่ยเข้าใจได้ว่าดวงของประจำวันเนี่ยจะเป็นยังไง เวลามงคลในวันนี้ ช่วงยามไหนเป็นยามดี
กิจกรรมไหนที่ทำได้ และกิจกรรมที่ไม่ควรทำ ควรหลีกเลี่ยงในวัน ๆ นั้น แล้วก็บอกวันสำคัญต่าง ๆ ด้วย จริง ๆ แล้วในข้อมูลในส่วนของปฏิทินเนี่ยครับ คือมีค่อนข้างเยอะมาก ๆ แล้วก็เหมือนแบบในส่วนของ แต่ส่วนมากมันจะเป็นภาษาจีนไงครับเลยแบบพออ่านแล้วอาจจะอ่านไม่เข้าใจบ้างครับผม แต่คือปฏิทินตรงนี้ก็คือเป็นปฏิทินที่เหมือนแบบเราพยายามนำให้ ทำให้เหมือนทุก ๆ คนเนี่ยที่ได้ใช้ปฏิทินเนี่ยมีเหมือนอาวุธคู่กาย หรือเป็นในส่วนของเหมือนเป็นที่ปรึกษากับชีวิตมากกว่าที่ว่าแบบในทุก ๆ วัน ก็สามารถมาดูได้
The People : สมมุติคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องศาสตร์เรื่องดวง เขามาอ่านปฏิทิน คุณคิดว่าจะทำยังไงให้เขาเชื่อมั่นในโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงได้
กิตติธัช : ในส่วนของตรงนี้ เข้าใจว่ามีคนที่ไม่เชื่อบ้างแล้วก็คนที่เชื่อบ้างอย่างนี้ใช่ไหมครับ คืออันนี้ก็แล้วแต่ จริง ๆ แล้วมันแล้วแต่บุคคลเลยนะครับว่าเหมือนแบบคนนี้จะเชื่อหรือเปล่า คนนี้จะไม่เชื่อหรือเปล่า แต่เหมือนในส่วนของหลักโหราศาสตร์ที่เรานำมายึดใช้กับด้านโหราศาสตร์จีนของน่ำเอี๊ยงเนี่ย คือเราก็ยึดมาหลักสูตรตั้งแต่สมัยก่อนเลยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แล้วก็นำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งในส่วนของศาสตร์ตรงนี้คือเราก็ตั้งใจอยู่แล้วที่ว่าเหมือนจะทำให้ในส่วนของตรงนี้ ทำให้อธิบายแล้วคนมีจุดเหมือนแบบจุดยืนในชีวิต แล้วก็เป็นจุดที่ว่าเป็นที่ให้เป็นผู้ให้คำปรึกษาต่าง ๆ ในแต่ละวันอย่างนี้ครับผม
The People : สังคมไทยคนก็เริ่มหันไปสายมูมากขึ้น แล้วอย่างนี้คนรุ่นใหม่มีความเชื่อในโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงเพิ่มขึ้นมามากน้อยแค่ไหน มีสถิติเก็บไว้ไหม
กิตติธัช : ถ้าพูดถึงตัวสินค้าของตัวปฏิทิน ถ้าเป็นในส่วนของสินค้าปฏิทินนะครับ สมัยก่อนหลาย ๆ คนก็จะมีความเชื่อว่าปฏิทิน มีแต่คนมีอายุใช้แน่นอนเลย แต่พอหลังจากที่ว่าเราได้ ปกติแล้วเนี่ยเราก็จะมีเวลาเราขายใช่ไหมครับขายปฏิทินเราก็จะส่งให้กับพวกลูกค้าที่เป็นยี่ปั๊วต่าง ๆ ในแต่ละเมืองในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศเลย แล้วก็หลัง ๆ เนี่ยมาทำเป็น LINE official account ของตัวเอง แล้วก็มาขายในช่องทางออนไลน์มากขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วกลุ่มลูกค้าเราเนี่ยไม่ได้เป็นแค่ผู้สูงอายุ แต่มีวัยรุ่นมาก็เยอะอยู่เหมือนกัน ก็จริง ๆ ค่อนข้างหลากหลายเลยครับ เพราะว่าผมคิดว่าด้านโหราศาสตร์ คือจะถามว่ามูไหมของเราก็ไม่ได้ คือเรา ความตั้งใจของเราเนี่ยเราไม่อยากทำให้มันเป็นมู
เราตั้งใจที่จะทำให้ศาสตร์ตรงนี้เป็นศาสตร์ที่เข้าใจได้ เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งในส่วนของตรงนี้พอได้ดู ได้กลับมาดูในส่วนของตลาดออนไลน์เนี่ย ก็รู้แล้วว่าจริง ๆ แล้วเนี่ยเด็กรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นต่าง ๆ จริง ๆ ถึงเวลาถึงช่วงอายุช่วงนึงที่เริ่มต้องทำธุรกิจแล้ว ต้องเริ่มมีอะไรที่ ออกรถ ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงานอะไรพวกนี้ครับ ก็จะเริ่มเข้ามาในมี เหมือนด้านโหราศาสตร์เนี่ยก็จะมีบทบาทในชีวิตมากขึ้น เพราะว่าเนื่องด้วยผมคิดว่าในส่วนของโหราศาสตร์เนี่ยมันเป็นส่วน ๆ นึงของสังคมไทยอยู่แล้ว เป็นวัฒนธรรมของเราที่เราส่งต่อกันมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่นตั้งนานมาก แล้วในส่วนของตรงนี้ มันก็ทำให้สังคมของเราเนี่ยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้มากขึ้นด้วย แล้วก็มีความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นในแต่ละวันที่ว่ามีความเชื่อว่าจะทำให้วันทุกวันเนี่ยเป็นวันที่ราบรื่นมากขึ้นด้วย
The People : เพราะว่าเหมือนเราไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ก็เลยต้องพึ่งโหราศาสตร์เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
กิตติธัช : ก็เป็นส่วนหนึ่งด้วย เพราะว่าคือถ้ามองในมุมมองด้าน เหมือนแบบหลาย ๆ ประเทศนะครับ อย่างเช่นต่างประเทศเนี่ยเวลาเหมือนชาวยุโรป ชาวอเมริกันต่าง ๆ ประเทศอื่น เวลาเขามีปัญหาด้านเหมือนแบบจิตใจที่ว่า เฮ้ย แบบไม่รู้จะไปปรึกษาใครดี ก็จะไปหาเหมือนนักจิตวิทยา ซึ่งขอคำปรึกษากันด้านนั้น เป็นในรูปแบบประมาณนั้น แต่ในส่วนสังคมของเอเชียหรือคล้าย ๆ กับพวกเราเนี่ย ส่วนมากก็น่าจะไปหาหมอดูมากกว่า ผมเชื่อว่าอย่างนั้นนะครับ เพราะว่าเหมือนด้วยเวลาที่เราพูดกันว่า เออ เวลาไปปรึกษาจิตแพทย์อะไรพวกนี้มันฟังมันดูมันเหมือนแบบ เฮ้ย มันค่อนข้างร้ายแรง
แต่ในส่วนของหมอดูเนี่ย ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่เวลาเราไปหาเนี่ย ถ้าเราเหมือนขอคำปรึกษา แล้วก็เราได้รับคำปรึกษาด้วย อีกอย่างนึงคือได้เข้าใจของพื้นฐานดวงของตัวเองมากขึ้นด้วยเนี่ย หลักการโหราศาสตร์จีนจริง ๆ เนี่ย คือพอเราได้ไปดูกับทางเหมือนซินแสต่าง ๆ ใช่ไหมครับ ท่านก็จะบอกว่าดวงของแต่ละคนเป็นยังไง พื้นฐานดวงเป็นยังไงควรทำอะไรและควรหลีกเลี่ยงอะไรในช่วงระยะเวลาไหน ก็จะทำให้เรารู้สึกว่ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น แล้วก็มีความมั่นใจมากขึ้นด้วยครับ
The People : อย่างที่คุณบอกว่าโหราศาสตร์เป็นเหมือนเข็มทิศชีวิต พอจะมีเรื่องราวหรือว่าเหตุการณ์ไหนเป็นพิเศษไหมที่ลูกค้าหรือคนที่เคยนำศาสตร์นี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเขามาเล่าให้ฟังบ้างไหม
กิตติธัช : มีครับ ก็มีลูกค้าที่มาดูฤกษ์มงคลกับทางเราว่าเหมือนแบบฤกษ์คลอดบุตร เนี่ยฤกษ์คลอดบุตรนี่จะมีคอมเมนต์ค่อนข้างเยอะมากว่าในส่วนของแบบเหมือนแบบตอนนี้ลูกสมัยก่อนคือได้มาดูฤกษ์คลอดกับทางโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง แล้วตอนนี้ก็ลูกเขาเนี่ยก็ได้แบบเป็นนายพลเป็นแบบได้ดิบได้ดีเนี่ยหลายคนมาก ๆ และในส่วนของตรงนี้คือจริง ๆ แล้วผมคิดว่ามาดูเลยเนี่ยบางทีมาดูฤกษ์มาดูดวงอะไรพวกนี้มันอาจจะไม่ใช่แบบทันทีเลยแล้วเห็นผล แต่ในส่วนของเราคือเราเป็นผู้เหมือนกับเหมือนแบบวางแผนชีวิตให้มากกว่าว่าในส่วนของช่วงเวลาไหนที่เป็นช่วงเวลาที่ดี ช่วงเวลาไหนที่ควรทำอะไรแล้วก็ไม่ควรทำอะไรครับ
ก็หลาย ๆ คนก็คือ ถ้าลูกค้าเนี่ยส่วนมากก็จะเป็นลูกค้าที่เริ่มมาดูแล้ว แล้วก็จะติดกับเราเหมือนแบบทั้งชีวิตเลย เพราะว่าคือในส่วนของทั้งบริการดูฤกษ์และดูดวงเนี่ย คือมันเป็นบริการอะไรที่มันเหมือนแบบพอมาแล้วเราก็จะเหมือนให้คำแนะนำให้คำปรึกษาต่าง ๆ ในทุก ๆ โอกาสที่สำคัญกับในชีวิตของเขาครับ ใช่ครับ ก็พอลูกค้าได้เริ่มมาใช้บริการปุ๊บเนี่ยก็จะค่อนข้างเหมือนแบบคนนี้เป็นลูกค้าประจำ คนนี้เคยมาหาอาแปะตั้งแต่รุ่นอากงแล้วนะ ในตอนนี้เป็นรุ่นที่ 2 ที่เป็นอาแปะที่เป็นซินแสอยู่ก็ยังมาหาอยู่ เพราะว่าเหมือนแบบในส่วนของเราเนี่ย เราก็ให้คำปรึกษา แล้วก็เหมือน คอย เหมือน support ในด้านต่าง ๆ ในชีวิตของเขาครับ
The People : เท่ากับคุณเองก็คลุกคลีกับศาสตร์นี้ตั้งแต่เด็กเลย แล้วคุณดูดวงได้ไหม
กิตติธัช : ก็จริง ๆ ตอนนี้ก็มีเริ่มศึกษาแล้วครับ ศึกษามาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่เก่งมากครับผม ครับ แต่ก็ในส่วนของพูดถึงความคลุกคลีเนี่ย ตั้งแต่เด็ก ๆ มาเนี่ยก็จะรู้ว่าที่บ้านเนี่ยเป็นสำนักโหราศาสตร์ แต่ไม่ค่อยไม่เคยเข้าใจเลยว่าอะไรคือโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยง จนกระทั่งเรียนจบมา แล้วก็ได้มาช่วยเหมือนมาช่วยที่บ้าน เข้ามาดูที่โรงงาน แล้วก็เข้ามาสำนักโหราศาสตร์ถึงจะรู้จริง ๆ ว่ามันแบบ จริง ๆ แล้วของสำนักของเราเนี่ยก็มีผู้คนรู้จักเยอะมาก ๆ เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้เนี่ยก็ไม่ค่อยรู้จักเลย แล้วก็พอกลับมาเนี่ยก็ ซึ่งจริง ๆ แล้วพอได้เริ่มศึกษาได้เกี่ยวกับด้านโหราศาสตร์เนี่ยก็มีความ ก็ค่อนข้างชื่นชอบเหมือนกัน เพราะในส่วนของตรงนี้พอเหมือนแบบ จริง ๆ ก็เอามาเหมือนตอนแรกเนื่องจากเรียนจบมานะครับ โหราศาสตร์มันคืออะไรวะ ทำไมมันแบบ ทำไมมันดูฟังแล้วมันงมงาย
แต่พอเข้ามาศึกษาจริง ๆ ว่าในส่วนของด้านแต่ละด้านของที่เราได้เรียนมาเนี่ย ก็จะ พอเริ่มเข้าใจไปกับมันเนี่ย ก็จะรู้แล้วว่า อ๋อ จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เป็นเรื่องที่งมงาย แต่เป็นเหมือนสถิติที่ตั้งแต่ คนสมัยก่อนเนี่ยได้เก็บสะสมมาตั้งนานแล้ว แล้วก็เอามาเหมือนปรับให้เข้ากับสังคมมากขึ้น เป็นเหมือนพื้นฐานของ คือในด้านโหราศาสตร์ก็คือเป็นพื้นฐานของชีวิตของแต่ละคน แล้วเห็นได้ว่าคน ๆ นี้เนี่ยเป็นมีดวงยังไง แล้วก็ควรทำอะไร แล้วก็ถนัดในด้านไหน ด้านนี้อาจจะไม่ถนัดนะ ด้านนี้อาจจะถนัดมาก ๆ ซึ่งพอเรา พอมาเข้าใจปุ๊บเนี่ย แล้วก็สามารถแนะนำให้กับเขาได้ สามารถนำให้เขาไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ แล้วก็เหมือนเอามาเริ่มต้นจากตัวเองก่อนที่ว่าผมคิดว่าพอเข้าใจตรงนี้แล้วเนี่ย เอามาประยุกต์ใช้กับตัวเองแล้วเห็นว่า เฮ้ย มันดีขึ้นจริง ๆ ก็เลยเนี่ย ก็เลยมีความสนใจ แล้วก็ศึกษามาเรื่อย ๆ มันต้องมีเวลานะครับ ไม่ใช่แบบ อยู่ดี ๆ แบบ เอ้ย ไปเรียนแบบคลาสออนไลน์ 2 คลาสแล้วจบ มันไม่ใช่ครับ มันใช้เวลาแล้วก็ต้องค่อย ๆ ฝึกฝนด้วยครับผม
The People : แสดงว่าความฝันตั้งแต่แรกคือไม่ได้อยากเข้ามาทำด้านนี้หรือเปล่า
กิตติธัช : ความฝันแรก ๆ เลยผมคิดว่าก็จริง ๆ ด้วยเป็นลูกคนโต ลูกชายคนโตอยู่แล้วด้วย แล้วก็เห็นว่า อ๋อ ก็ถูกปลูกฝังมาว่าเนี่ยยังไงเรียนจบมานะต้องกลับมาช่วยที่บ้าน ผมคิดว่ายังไงก็ต้องกลับมาช่วยที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้ว่าโหราศาสตร์คืออะไร ก็ด้วยที่มีความกลับมาปุ๊บเนี่ย ก็มีความสงสัยด้วแหละครับว่าเหมือนแบบ เฮ้ย โหราศาสตร์มันสรุปว่ามันงมงายหรือมันเป็นเรื่องอะไรที่มันเข้าใจได้วะเนี่ย แล้วก็เริ่มจากตรงนั้นปุ๊บ แล้วพอได้มาศึกษาจริง ๆ ได้มาเข้าใจกับมันจริง ๆ ก็เลยมีความชอบมากขึ้น
The People : เล่าช่วงที่ไปเรียนที่ต่างประเทศให้ฟังหน่อย ตอนนั้นคุณไปเรียนอะไร
กิตติธัช : ตอนแรกเลยที่ไปเนี่ยก็เรียน เป็นเรียนไฮสคูลนี่แหละครับที่ไปที่จีน ไปตั้งแต่ ม.3 ครับ เรียนไฮสคูลมาเรียนตอนแรกไปก็อยู่ไป 4 ปี แล้วก็มหา’ลัยอีก 2 ปี อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แล้วก็หลังจากนั้นค่อยย้ายไปเรียนที่อังกฤษอีก 2 ปีครับ ก็เรียนด้านบริหารธุรกิจนี่แหละครับ ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับด้านโหราศาสตร์นะครับ (หัวเราะ)
The People : การใช้ชีวิตที่อังกฤษ ด้วยความที่เขาค่อนข้างมีความวิทยาศาสตร์เข้ามาอยู่ในสังคมมาก อยากจะทราบว่าสังคมเขามีความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์การดูดวงอะไรพวกนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้าเทียบกับไทย
กิตติธัช : ครับ ถ้าเทียบกับไทยผมคิดว่าน้อยมาก ๆ นะครับในต่างประเทศ คือเหมือนแบบด้านโหราศาสตร์อะไรพวกนี้มันจะไม่ได้เป็นเรื่องที่เหมือนแบบเป็นเรื่องสำคัญหรือไปอยู่ในวัฒนธรรมของชาวอังกฤษขนาดนั้น แล้วก็ชาวยุโรปด้วย ผมเชื่อว่าครับ แต่ในส่วนของแบบของถ้าย้ายกลับมาที่เอเชียเนี่ยผมคิดว่ามันมีมาก ๆ แล้วก็ในส่วนของประเทศจีน ณ ตอนนั้นที่ไปเรียนจีนเนี่ย ก็ยังไม่ค่อยเห็นว่ามันแบบจะเยอะขนาดนี้ แต่พอเนี่ยตอนนี้พอเริ่มมีเพื่อนคนจีนแล้วพออายุถึงค่อนข้างใกล้ ๆ ใกล้เคียงกันกับช่วงนี้เนี่ย ก็เริ่มมาคุยกันแล้วว่า เฮ้ย แบบดู แบบอันนี้คือเราเข้าใจด้านแบบด้านโหราศาสตร์หรือเปล่า อะไรพวกนี้ที่แบบปกติที่เราขึ้นดวงกันอะไรพวกนี้ครับว่าเข้าใจไหมอะไรพวกนี้ ทุกคนก็จะบอกว่า อ๋อ โอเคแบบเข้าใจ แล้วก็เหมือนแบบมีความคิดว่า เออ ดวงมันเป็นอย่างนี้ ก็พอเริ่มโตแล้วเนี่ยเรียนจบมหา’ลัยก็เริ่มมี topic อันนี้เริ่มเข้ามา แต่ผมคิดว่าก่อนหน้านั้นก็คือมันไม่ได้เป็นอะไรที่เหมือนแบบผมคุยกับเพื่อนแล้วจะรู้เรื่องกันขนาดนั้นด้วย
The People : คิดว่าเพราะอะไรทำไมยิ่งโตขึ้นเรื่องการดูดวงหรือโหราศาสตร์ต่าง ๆ ถึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนรอบข้างรวมถึงตัวเรามากขึ้น
กิตติธัช : เพราะว่าพอได้เริ่ม พอเราเหมือนได้เริ่มทำงานเนี่ย แล้วก็ได้เริ่มทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมือนแบบเริ่มต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นเนี่ย แล้วก็ในส่วนของสังคมด้วยคิดว่าในส่วนของตรงนี้มันก็ มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างนะครับที่มันค่อนข้างยาก มันไม่ใช่แบบเหมือนแบบอยู่ในโรงเรียนแล้วแบบตัดสินใจว่า เออ โอเควันนี้จะทำอย่างนี้แล้วจบ มันเป็นอะไรที่เหมือนแบบสิ่งหลาย ๆ อย่างที่เราต้องเอาในส่วนของตรงนี้มาพึ่งในการตัดสินใจด้วย ซึ่งเพราะว่าคือตรงนี้เรามีความเชื่อว่าในส่วนของด้านโหราศาสตร์เนี่ยจะมาทำให้ชีวิตของเราเนี่ยราบรื่นมากขึ้นด้วย แล้วก็หลักของสูตรของมัน หลักการของมันเนี่ย คือจริง ๆ มันก็เป็นสถิติที่เก็บมายาวนานมากแล้วด้วย เพื่อทำให้คนในสังคมเนี่ยได้มีความได้เข้าใจตัวเอง แล้วก็ได้มาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วก็ทำให้ชีวิตราบรื่นมากขึ้น
The People : ช่วงที่คุณเข้ามารับช่วงต่อ มีการปรับเปลี่ยนอะไรบ้างไหมในการบริหารธุรกิจ หรือว่ามีส่วนไหนที่ยังคงเดิมไว้บ้าง
กิตติธัช : ก็ในส่วนของการที่หลังจากเรียนจบนะครับกลับมาเนี่ย เนื่องด้วยเราเป็นคนรุ่นใหม่ดีกว่าครับ กลับมาเสร็จปุ๊บแล้วก็กลับมาก็ตอนแรกก็งงอยู่เหมือนกันครับ คือพอได้เข้ามาช่วยบริหารอะไรอย่างนี้ก็จะแบบ เออ ปฏิทินมันยังมีคนใช้เยอะอยู่เหรอ เพราะว่าหลังจากที่ได้กลับมาเนี่ย โทรศัพท์คือมีบทบาทในชีวิตมาก ๆ พอคนได้มาใช้โทรศัพท์มากขึ้น ผมคิดว่าโอ้ตายแล้วอย่างนี้แบบจะทำยังไงน้อ จะทำให้แบบในส่วนของปฏิทินเนี่ยอยู่ต่อไปได้ครับ กลับมาตอนแรกเลยนะครับ กลับมาช่วยด้านที่โรงงานก่อน โรงงานก็คือโรงพิมพ์เนี่ยแหละครับ
โรงพิมพ์ก็จริง ๆ ในส่วนของการบริหารพนักงานก็มีอะไรหลาย ๆ อย่าง มันค่อนข้างยากเลยนะครับ เพราะว่ามันเหมือนรุ่นก็จะเป็นรุ่นคุณพ่อคุณแม่ที่บริหารมาก่อน พอเรากลับมา เราก็จะเห็นรูปแบบที่ว่า เฮ้ย เราจะทำยังไงให้มันมีความ efficient มากขึ้น จะทำไงให้การทำงานเนี่ยของพนักงานทำให้สะดวกแล้วก็ทำให้ง่ายมากขึ้นด้วย แล้วก็มีการจดบันทึกต่าง ๆ เพื่อมาวิเคราะห์ เหมือนแบบวิเคราะห์ในปีถัดไปว่าปฏิทินของเราเนี่ยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มยอดหรือลดยอดอีกทีนึง เพราะว่าคือก่อนหน้านี้คือมันก็จะไม่มีเหมือนแบบไม่ได้จด เอาข้อมูลมาจด แล้วเอามาเหมือนมาวิเคราะห์อีกที แต่เราตอนนี้ก็ทำให้มันมีระบบระเบียบมากขึ้น
แล้วก็สามารถวิเคราะห์ว่าคาดคะเนว่าปีหน้าเนี่ยในส่วนของปฏิทินเนี่ยจะเป็นยังไง แล้วก็ด้านในส่วนของสำนักโหราศาสตร์นะครับ ก็ปกติแล้วเนี่ยที่เรารับดูบริการดูฤกษ์มงคลแล้วก็ดูดวงเนี่ย เราจะทำเป็นออฟไลน์ทั้งหมดเลย ก็คือให้คนมาดูที่สำนัก แต่พอหลังจากที่ว่ากลับมาแล้วเนี่ยเจอช่วงวิกฤตโควิด-19 พอดีด้วย ก็เลยเห็นมาเนี่ยต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ไม่งั้นเรานี่แย่แน่นอน ก็ปรับให้มีการดูฤกษ์บริการต่าง ๆ เนี่ยเข้ามาในออนไลน์มากขึ้น ตอนนี้ก็ออนไลน์ 100% เลยครับในส่วนของตอนนี้ก็ย้ายเข้ามาให้เหมือนลูกค้าที่สมัยก่อนคือเขาก็มีมาเหมือนแบบมาขอเรียกว่า เฮ้ย ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัดเนี่ยช่วยดูผ่านโทรศัพท์ได้ไหม แบบเหมือนแบบส่งรูป คืออย่างน้อยคือบอกวันเดือนในปีเกิดไปพรุ่งนี้ค่อยโทรฯ มาบอกก็ได้
แล้วก็มีลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศเหมือนกันก็บอกเหมือนกันว่าแบบ เอ้ย จะทำยังไงแบบอยากเข้ามาขอคำปรึกษา อยากเข้ามาดูดวง แต่คือไม่ได้ เพราะว่าเนื่องจากเหตุผลด้วยการเดินทาง แต่เราก็เห็นด้วยว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่เนี่ยก็สามารถติดต่อกันง่ายครับ เดี๋ยวนี้แบบมีทั้ง LINE ทั้ง มีทั้ง Social Network ต่าง ๆ แล้วก็มี email อะไรพวกนี้ก็สามารถทำได้ ก็เลยคิดว่าเนี่ยทำเจอช่วงวิกฤตโควิด-19 พอดี ปรับเลย ปรับ flow ใหม่ทั้งหมด การทำงานทั้งหมดก็คือเปลี่ยนใหม่ แล้วก็จะทำเหมือนแบบสร้างทีมงานทีมงานเหมือนแบบรุ่นใหม่ ๆ ขึ้นมาด้วย เพื่อมาเข้ามา Support ด้านนี้ ก็เดี๋ยวนี้ก็จะมีแอดมินคอยให้คำปรึกษาต่าง ๆ แล้วคนที่ดูเนี่ยก็ยังเป็นอาแปะเป็นซินแสคนเดิมอยู่ แต่คือเราก็ทำให้เหมือนแบบทำให้ตรงนี้มันง่ายมากขึ้น แล้วก็จัดรูปแบบทำให้มันสวยมากขึ้นด้วย แล้วให้สะดวกมากขึ้นด้วย
The People : ทำไมถึงอยากทำแอปพลิเคชัน
กิตติธัช : ก็หลังจากที่ได้ปรับปรุงทั้งสินค้าและบริการ ให้มัน more digitalized มากขึ้น ก็เห็นว่าในส่วนของจริง ๆ แล้ว ปกติแล้วเป็นปฏิทินใช่ไหมครับ ออกไปไหนก็คงไม่พกปฏิทินเป็นเล่มไปด้วย ไปต่างจังหวัดก็คงพกปฏิทินไปเหมือนกัน ก็เลยคิดว่าเดี๋ยวนี้มันมีมือถือแล้ว เราจะทำยังไงให้ในส่วนของสิ่งที่เราทำ ณ ปัจจุบัน ทำให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ทำให้เข้ากับคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วย เนี่ยก็เลยคิดว่าต้องทำแล้ว Mobile Application
Mobile Application คือเป็นปฏิทินมีเกี่ยวกับด้านดูฤกษ์มงคลต่าง ๆ อยู่ในมือถือด้วย ก็เป็นเหมือนให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาในแต่ละวันด้วย โดยที่ว่าเรานำหลักโหราศาสตร์จีน ก็คือสามารถใส่วันเดือนปีและเวลาเกิดเข้าไป แล้วเราก็มีการคำนวน นำเอาหลักโหราศาสตร์จีนมาคำนวน ขึ้นมาเสร็จปุ๊ป แล้วเราก็นำเอาข้อมูลตรงนี้ แนะนำให้กับทาง User ในแต่ละวัน ว่าวันนี้ ควรใส่สีอะไร ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมอะไร ควรทำอะไรบ้าง
จริง ๆ แล้วมีความตั้งใจว่า ด้วยหลักโหราศาสตร์ตรงนี้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการเข้าใจดวงตัวเอง เราก็นำหลักการของโหราศาสตร์นี้มาปรับประยุกต์ใช้ ทำให้เหมือนกับพอเราเข้าใจตัวเองแล้ว แล้วก็มีจุดยืนของตัวเองแล้ว ก็สามารถนำตรงนี้มาปรับประยุกต์ใช้ แล้วก็ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขมากขึ้น มีความราบรื่นมากขึ้นด้วย ก็เลยออกมาเป็น Mobile Application
The People : สมัยนี้ก็เห็นคนใส่เสื้อตามสีมงคล อันนี้นี่คือมงคลจริงๆ ใช่ไหม
กิตติธัช : พวกสีมงคลต่าง ๆ เรายึดหลัก 5 ธาตุ ก็คืออู่สิง (五行) ของโหราศาสตจร์จีนอยู่แล้ว แต่คือจริงๆ แล้วคนสมัยก่อนก็ไม่ได้ออกมาเป็นสีนี้สีนี้เลยนะครับ แต่ด้วยหลักการเวลาเข้าใจส่วนของ 5 ธาตุตรงนี้แล้วเนี่ย เราจะทำยังไงที่จะทำให้มัน blend in เข้ากับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น เหมือนประเทศไทยมากขึ้นด้วย
เราก็นำหลักการตรงนี้มาคำนวนด้วยจากดวงเสร็จปุ๊ปเนี่ย พอขึ้นดวงมาเสร็จปุ๊ป ดวงของเราก็จะเป็นวันเดือนปีเกิดเวลาเกิด เป็น blueprint ของเรา แล้วในส่วนของ ในแต่ละวัน กคือจะมีเหมือน nature ของวันนั้นอยู่แล้ว เราก็เอาทั้งดวงเกิดของเขาและวันนั้นๆ ใาผนวกเข้าหากัน แล้วก็มาดูว่าธาตุไหนที่เยอะไป ธาตุไหนที่น้อยไป แล้วก็มาดูหลักความสมดุลในแต่ละวัน
ด้วยความเชื่อของจีน เราอยากจะให้ทุกอย่างมันบาลานซ์ ไม่มีอะไรที่เยอะมากไป ไม่มีอะไรที่น้อยเกินไป ก็เป็นหลักหยิง-หยางนี่แหละครับ ก็เลยนำหลักนี้เข้ามาปรับใส่ในส่วนของสีมงคลอีกทีหนึ่ง ว่าจะทำอย่างไร เวลาถ้ามีดวง หรือธาตุแต่ละธาตุที่สมดุลแล้วเนี่ย ก็จะมีชีวิตที่ราบรื่น ก็เลยเอาส่วนของหลักการตรงนี้มาประยุกต์ใช้อีกทีหนึ่ง ทำให้ชีวิตมีความราบรื่นมากที่สุด
The People : ดังนั้นถ้าคนเกิด วัน เดือน ปี เวลา เดียวกัน พื้นดวงก็จะเหมือนกัน
กิตติธัช : หลักพื้นดวงก็จะคล้ายกันครับ แต่คือด้วยความหลักของโหราศาสตร์จีน มันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวดวงอย่างเดียวนะครับ เวลาการจะดูดวงใครสักคน ก็ต้องดูเหมือนหลักดวงที่เป็น destiny chart ของเรา เป็น blueprint ของเรา ดูพื้นที่ หรือที่เขาเรียกว่า เทียนก็เป็นอะไรที่ฟ้าลิขิตมาแล้ว เหรินก็คือในส่วนของตัวเรา ตี้นี่ก็คือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา หรือเป็นเกี่ยวกับด้านฮวงจุ้ยหรือที่ๆ เราอยู่อาศัย
ก็คือ 3 อันนี้มันเป็นแกนหลักของชีวิต แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือในตัวของเราเองนี่แหละครับ ว่าตัวเราเองจะตัดสินใจหรือเป็นคนกระทำ มีสติอย่างไรในการตัดสินใจต่าง ๆ คือจริง ๆ ดวงนี่เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งถ้าเราเข้าใจแล้ว เราจะนำมันมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้มัรนง่ายมากขึ้น เข้าใจตัวเองดีมากขึ้น แต่ทั้งคนรอบข้างด้วยและตัวเราเองด้วย ก็มีบทบาททั้งหมดในชีวิตครับ
The People : ความท้าทายนับตั้งแต่คุณเข้ามารับช่วงต่อคืออะไร
กิตติธัช : ความท้าทายก็ค่อนข้างเยอะมากอยู่เหมือนกันครับ เพราะว่าเนื่องด้วยตัวสินค้าของเราด้วย ก็สินค้าของเราคือ ตอนนั้นที่ออกเป็นตัวสินค้าใหม่เป็นปฏิทินตั้งโต๊ะเพราะว่าคิดว่ามันต้องปรับเปลี่ยนแล้ว รูปแบบเก่าๆ เนี่ยคนเห็นมานานมาแล้ว ถามว่าจะเปลี่ยน Pattern มันได้ไหม เปลี่ยนไม่ได้แล้วครับ มันเป็นเหมือน brand identity ของโหราศาสตร์น่ำเอี๊ยงของเราแล้ว อันนี้มันเป็นภาพจำที่ทุกคนจำได้ว่าเป็นของน่ำเอี๊ยงนะ
แต่ในส่วนของ ผมคิดว่าคุณภาพและหลักข้อมูลข้างในจะทำอย่างไรให้มันเข้าใจได้ง่ายมากขึ้นด้วย ในส่วนของตรงนี้ก็เป็น challenge มาตลอดว่าจะทำยังไงให้มันเข้ากับคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วย แล้วก็ในส่วนของบริการเหมือนกัน ตอนแรกกลับมาก็อย่างที่บอกว่าบริการของเรามัน offline ทั้งหมดเลย จะทำอย่างไรให้ตลาดมันกว้างมากขึ้น จะทำอย่างไรให้เข้าถึงผู้คนที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างประเทศได้ ก็มาปรับบริการเข้าในส่วนของ online
แล้วก็ในส่วนของ จะทำอะไรใหม่ๆ ที่เข้ากับคนรุ่นใหม่ได้เนี่ย มันก็ต้องมีทีมงานนะครับ เริ่มต้นกลับมานี่ไม่มีประสบการณ์เลย พูดตรงๆ ว่ากลับมาปุ๊ปก็มาช่วยที่บ้านเลย พอไม่มีประวบการณ์ ทำอะไรก็ขอคำปรึกษาจากทางรุ่นพี่ค่อยข้างเยอะ หรือแบบคนที่มีประสบการณ์แล้ว หรือคนที่บริหารธุรกิจรุ่นใหม่อะไรแบบนี้ ก็เหมือนกับทั้งไปอ่านหนังสือ ทั้งไปเทคคอร์สอะไรพวกนี้เพื่อทำให้เราได้มีความรู้และให้เราได้เริ่มทำอะไรบางสิ่งที่มันแตกต่างจากยุคเก่าแล้ว transform ตัวเองให้เข้าสู่ยุคใหม่มากขึ้น มัน challgenge มากๆ
แล้วก็ด้วยยุคใหม่ด้วยนะครับ อะไรมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พวก social media ต่างๆ ข้อมูลต่างๆ นี่ก็ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากกว่าสมัยก่อนเยอะเลย ก็เป็น challenge ในระดับหนึ่งเลยครับ
The People : ช่วงแรกที่เข้ามาดูแล คุณพ่อมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
กิตติธัช : พูดตรงๆ เลยว่ามองกันคนละเจน มองกันคนละรูปแบบ เพราะว่าผมว่าหลายๆ ท่านก็น่าจะเจอเหมือนกัน เหมือนหลักการการบริหารเนี่ย ในรุ่นของคุณพ่อคุณแม่ก็จะมีประสบการณ์อีกประสบการณ์หนึ่งที่เขาผ่านมา ของผมจบมาก็จะเห็นมุมมองที่เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เราจะทำยังไงให้สองรุ่นนี้ คือตอนแรกผมก็ว่า ในส่วนความคิดของผมมันถูกต้องแน่นอน ในรุ่นใหม่มันต้องเป็นแบบนี้สิ รุ่นใหม่มันต้องปรับปรุงให้มันเป็นแบบนี้สิ มันถึงจะเข้ากับสังคมสมัยใหม่
แต่พอได้กลับมาแล้วเนี่ย พอได้มาเห็นจริงๆ แล้ว ผมคิดว่ามันควรจะดำเนินไปด้วยกัน ในส่วนของเราเราก็มีการรับฟังความคิดเห็นของเขา และคำแนะนำต่างๆ ของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งหลายๆ อย่างก็มี เอ้ย ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเป็นอย่างนู้นบ้าง แต่ผมคิดว่าพอได้คุยกันแล้ว เราก็ได้แสดงให้เขาเห็นด้วยครับว่า ในสิ่งที่เราทำมันเปลี่ยนแปลงและมันจะมีผลดีต่อบริษัทนะ ในส่วนของสำนักของเราก็จะมีบริการมากขึ้นด้วย ปรับปรุงบริการให้มันดีมากขึ้น เอาใจลูกค้ามากขึ้น แบบนี้ครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือการทำให้โหราศาสตร์เป็นเรื่องที่เข้าใจได้มากขึ้นด้วย เข้าใจได้ง่ายมากขึ้นด้วย จะย่อยยังไงไป social media ไปโพสต์ในเฟสบุ๊ก ในอินสตาแกรม ให้คนเข้าใจหลักโหราศาสตร์ ก็ในส่วนของตรงนี้ก็เป็น challenge มากๆ พอบอกไปกับคุณพ่อคุณแม่ เขาก็จะแบบ ทำทำไม เธอทำอะไรอยู่ แต่พอได้ทำมาในระยะหนึ่งก็ได้กระแสตอบรับที่ดีมากขึ้น เขาก็ได้เห็นภาพ และพอเพื่อนเขามาคุยมันก็เริ่มค่อยๆ ปรับกัน และเขาก็เชื่อใจเรามากขึ้นด้วย
The People : น่ำเอี๊ยงอยู่คู่คนไทยมาเป็นเวลาแปดสิบกว่าปี มีคู่แข่งบ้างมั้ย
กิตติธัช : คือในสิ่งที่เราตั้งใจทำอะครับ เราไม่ได้โฟกัสว่าเราจะไปแข่งกับใคร เราโฟกัสในส่วนของลูกค้ามากกว่า ว่าเราจะพัฒนาสินค้าและบริการอย่างไรให้เข้ากับผู้คนมากที่สุด จะบริการอย่างไรให้เขาดีที่สุด จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจด้านโหราศาสตร์ให้ได้มากที่สุด คือตรงนี้คือผมตั้งใจจริง ๆ ว่า เนื่องด้วยสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าของมันอยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นอะไรที่เราตั้งใจทำเพื่อทำให้สังคม เพื่อให้กับผู้คนได้มีชีวิตที่ราบรื่นมากขึ้น มีความสุขมากขึ้นด้วย
เน้นแต่ตรงนี้แหละครับ คือจริง ๆ แล้วไม่ได้ไปเน้นว่าจะไปแข่งคู่แข่งกับใครเลย แต่เน้นในส่วนของเราที่ว่าเราพัฒนาคอนเทนต์ พัฒนาข้อมูลด้านต่างๆ ทำให้ผู้คนชอบสินค้าเรามากขึ้น ทำให้สินค้าเราดีมากขึ้น ทำให้บริการของเราดีมากขึ้น
The People : คุณคิดว่าหากสังคมไทยไม่ได้นำเอาปฏิทินน่ำเอี๊ยงมาใช้ในชีวิตประจำวัน สังคมนั้นจะเป็นอย่างไร
กิตติธัช : คิดว่าตรงนี้คือจริง ๆ สังคมของเราถ้าไม่มีหลักการตรงนี้จะคงอยู่ไปได้ไหม ก็คงอยู่ไปได้แหละครับ แต่ในส่วนของเราเข้ามาเราก็เหมือน ความตั้งใจของเราตั้งแต่แรกก็อยากจะทำให้วันแต่ละวันมีความที่เราสามารถ มีเป็นเครื่องมือหรือเป็นอะไรที่เราสามารถเอามาทำความเข้าใจกับมันได้ และเอามายึดเหนี่ยวให้วัน ๆ นั้นเป็นวันที่ดีขึ้น สร้างความราบรื่นและความสุขในแต่ละวันมากขึ้นด้วยครับ
สำหรับผู้ที่สนใจอยากเข้าใจความเป็นมาของโหราศาตร์น่ำเอี๊ยงพร้อมดื่มด่ำกับงานศิลปะ ซึ่งได้ศิลปินมากความสามารถอย่าง 'HiFly' เด็กหนุ่มวัย 24 ปีที่มีพลังล้นเหลือ สามารถเข้าชม นิทรรศการ 'The Gate to Prosperity' ต้อนรับปีมะเส็ง 2025 ด้วยพลังแห่งความมงคล 乙巳年 ภายในงานจะพาคุณสัมผัสพลังแห่งโชคลาภ ความสำเร็จ และความสุข ผ่านปฏิทินจีนน่ำเอี๊ยงและตำนาน 4 สัตว์เทพแห่งทิศทั้งสี่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งและการปกป้อง
• สถานที่: River City Bangkok Room 248
• วันที่: 20 มกราคม – 16 กุมภาพันธ์ 2025
• เวลา: 10.00 น. – 20.00 น.
• สามารถเข้าชมนิทรรศการได้ ฟรี!