22 เม.ย. 2566 | 08:09 น.
- สมาชิกของตระกูลเมดีชีได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สนับสนุนความก้าวหน้าอย่างสูงในด้านศิลปะ, การธนาคาร และงานสถาปัตยกรรมที่ยังคงส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
- 'เลโอนาร์โด ดา วินชี' ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เอกบุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์’ และเป็นหนึ่งในสามศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้รับฉายาว่าเป็น ‘ตรีเอกภาพผู้ศักดิ์สิทธิ์’ (Holy trinity) แห่งยุคทองของเรอเนสซองส์
- ดา วินชี เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวในปี 1515 ว่า “ตระกูลเมดีชี สร้างฉันขึ้นมา และทำลายฉันจนย่อยยับในภายหลัง”
ถ้าจะพูดถึงยุคสมัยอันรุ่งเรืองที่สุดของประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง ‘ยุคเรอเนสซองส์’ (Renaissance) หรือ ‘ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ’ ที่เริ่มขึ้นในปลายศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 17
ศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ เจริญก้าวหน้าได้อย่างสุดขีด อันเป็นผลจากการขุดพบซากเมืองโบราณของกรีกและโรมัน ซึ่งถือเป็นยุคทองของศิลปะและอารยธรรมของมวลมนุษยชาติ โดยศิลปินและนักสร้างสรรค์ในยุคนั้นนำศิลปวิทยาการที่ค้นพบมาปรับปรุง ดัดแปลง ตีความใหม่ จนทำให้ยุโรปในยุคนั้นมีความเจริญก้าวหน้าในด้านศิลปะและศาสตร์ทุก ๆ สาขาเป็นอย่างมาก
แต่การเจริญก้าวหน้าของยุคเรอเนสซองส์นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเหล่าบรรดาศิลปินแต่เพียงลำพัง เพราะนอกจากศิลปินจะต้องกินต้องอยู่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป การทำงานศิลปะเองก็เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทรัพยากรและเงินทองอยู่ไม่ใช่น้อย ไหนจะค่าวัสดุอุปกรณ์ วัตถุดิบอย่าง สี, กระดาษ, ผ้าใบ, หินอ่อนชั้นดี
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ร่วงหล่นมาเองจากฟ้า หรือผลิดอกออกผลจากต้นไม้ให้ศิลปินได้หยิบฉวยไปใช้สอยกันตามใจชอบเสียเมื่อไหร่ หากไม่มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำชู, เลี้ยงดู, จ้างวาน หรือให้อามิสสินจ้าง ศิลปินเหล่านี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ทำงานสร้างสรรค์กับเขา หนักเข้าก็อาจอดอยากปากแห้งกันเลยด้วยซ้ำ มิพักต้องพูดถึงว่าผลงานของศิลปินเหล่านั้นจะได้กลายเป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยมและกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของโลกจวบจนทุกวันนี้หรือเปล่าน่ะนะ?
การอุปถัมภ์ค้ำชูเหล่านี้เอง ที่เป็นส่วนช่วยให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางศิลปวิทยาการและความเจริญงอกงามทางวัฒนธรรมในยุโรปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการอุปถัมภ์ค้ำชูจากเหล่าบรรดาผู้มีอำนาจอย่างศาสนจักร, พระสันตะปาปา, ขุนนาง, พ่อค้า, คหบดี, ชนชั้นสูง และเหล่าเศรษฐีตระกูลใหญ่ ผู้มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลอย่างสูงในยุคนั้น ที่คอยให้การสนับสนุนเหล่าศิลปินและนักสร้างสรรค์ทั้งหลาย อาทิเช่น ตระกูลวิสคอนตี, ตระกูลสฟอร์ซา แห่งมิลาน, ตระกูลกอนซากา แห่งแมนทัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อุปถัมภ์ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดอย่าง ตระกูลเมดีชี (House of Medici) แห่งฟลอเรนซ์
สมาชิกของตระกูลเมดีชี เป็นที่รู้จักในฐานะบุคคลสำคัญแห่งยุคเรอเนสซองส์ จากการที่พวกเขาได้วางรากฐานให้แก่ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของฟลอเรนซ์ สมาชิกของตระกูลเมดีชีได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สนับสนุนความก้าวหน้าอย่างสูงในด้านศิลปะ, การธนาคาร และงานสถาปัตยกรรมที่ยังคงส่งอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในสมาชิกของตระกูลคนสำคัญอย่าง ‘โลเรนโซ เดอ เมดีชี’ (Lorenzo de’ Medici) นั้น เป็นรัฐบุรุษคนสำคัญของฟลอเรนซ์ในยุคเรอเนสซองส์ เขาเป็นผู้อุปถัมภ์เหล่าบรรดาปัญญาชน ศิลปิน และกวี จนกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนร่วมในการสร้างยุคสมัยที่รุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมที่สุดแห่งยุคเรอเนสซองส์
เขาให้การสนับสนุนและชุบเลี้ยงศิลปินอย่าง บรูเนลเลสกี (Brunelleschi), บอตตีเชลลี (Botticelli), ไมเคิลแองเจโล (หรือ ‘มีเกลันเจโล’) (Michelangelo), ราฟาเอล (Raphael) หรือแม้แต่นักปรัชญาอย่าง มาคิอาเวลลี (Nicolo Machiavelli) และนักวิทยาศาสตร์อย่าง กาลิเลโอ (Galileo) และหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคเรอเนสซองส์ที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเมดีชีก็คือ ‘เลโอนาร์โด ดา วินชี’ (Leonardo da Vinci) นั่นเอง
เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นศิลปินเอกแห่งยุคทองของเรอเนสซองส์ ผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการหลากสาขา ทั้งงานจิตรกรรม, ประติมากรรม, วาดเส้น, เขียนแบบ, สถาปัตยกรรม วิทยาศาสตร์และทฤษฎีต่าง ๆ
มีเพียงศิลปินไม่กี่คนเท่านั้นในประวัติศาสตร์ศิลปะโลกที่จะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเทียบเคียงเลโอนาร์โด ดา วินชี ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เอกบุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์’ เขาเป็นหนึ่งในสามศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้รับฉายาว่าเป็น ‘ตรีเอกภาพผู้ศักดิ์สิทธิ์’ (Holy trinity) แห่งยุคทองของเรอเนสซองส์ ร่วมกับ ไมเคิลแองเจโล และราฟาเอล
ดา วินชียังเป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าของผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง Mona Lisa, The Last Supper และภาพกายวิภาคมนุษย์อันลือลั่นอย่าง Vitruvian Man ที่ต่างก็เป็นผลงานที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกตลอดกาล
ผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังในโลกศิลปะอย่าง Mona Lisa (1503 - 1505) หรือ La Gioconda นั้น เป็นภาพเหมือนของ ‘ลิซา เกอราร์ดีนี’ ภรรยาของ ‘ฟรานเชสโก เดล โจกนโด’ ขุนนางใหญ่แห่งเมืองฟลอเรนซ์ ภาพวาดนี้ครองใจนักวิจารณ์และผู้รักศิลปะทั่วโลก ด้วยรอยยิ้มอันเป็นปริศนา และการใช้เทคนิคการวาดภาพที่เรียกว่า ‘สฟูมาโต’ (Sfumato) หรือ ‘การใส่ควัน’ ซึ่งเป็นการเกลี่ยขอบและองค์ประกอบของบุคคลและวัตถุให้พร่าเลือนกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบข้างและธรรมชาติเบื้องหลัง เพื่อสร้างความสมจริงเช่นเดียวกับที่ตามนุษย์มองเห็น ซึ่งเทคนิคสฟูมาโตนี่เองที่เป็นส่วนสำคัญในการถือกำเนิดของยุคทองของเรอเนสซองส์
หรือผลงานชิ้นเอกที่เป็นที่เลื่องลืออีกชิ้นของเขาอย่าง The Last Supper (1495 - 1498) ภาพวาดฝาผนัง พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ท่ามกลางอัครสาวกทั้งสิบสอง ก่อนที่จะทรงถูกนำตัวไปตรึงกางเขน ถือเป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก
เดิมทีภาพวาดนี้ ดา วินชี ได้รับการว่าจ้างจาก ‘ลูโดวีโก สฟอร์ซา’ ดยุคแห่งมิลาน ซึ่งเป็นผู้อุปภัมถ์ของเขา ให้วาดภาพจิตรกรรมบนฝาผนังโบสถ์ ซานตา มาริอา เดลเล กราซี ในเมืองมิลาน ดา วินชี เริ่มต้นวาดภาพนี้ในปี 1495 และแล้วเสร็จในปี 1498 โดยไม่ได้วาดอย่างต่อเนื่อง
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าผลงานชิ้นนี้ของดา วินชี เป็นภาพจิตรกรรมแบบปูนเปียก (Fresco) (ที่ใช้สีฝุ่นผสมน้ำแล้ววาดลงบนปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แห้งซึ่งทาไว้บาง ๆ บนผนัง เมื่อปูนแห้งก็จะทำให้สีซึมลงในเนื้อปูนและติดผนังอย่างถาวรโดยไม่ต้องเคลือบสี) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพวาด The Last Supper ของ ดา วินชี เป็นภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนแห้ง (Fresco-secco หรือ a secco) ซึ่งเป็นวิธีวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ตรงกันข้ามกับเทคนิคการวาดแบบปูนเปียก
เทคนิคการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบปูนแห้ง จะทำโดยการผสมสีกับสารที่ทำให้ติดผนัง เช่น ปูนขาว, ไข่, กาว, น้ำนม หรือน้ำมัน เพื่อให้สียึดติดกับผนังปูนที่แห้งแล้ว
ที่ ดา วินชี เลือกใช้เทคนิคปูนแห้งวาดภาพแทนที่จะใช้เทคนิคปูนเปียก เหตุเพราะบางสีไม่สามารถทำได้สวยจากการวาดภาพแบบปูนเปียก ด้วยความที่ปฏิกิริยาเคมีที่เป็นด่างของปูนจะทำให้สีหมอง ไม่สดใส โดยเฉพาะสีน้ำเงิน จิตรกรสมัยเรอเนสซองส์ตอนต้นหลายคนจึงมักจะใช้เทคนิคปูนแห้ง เพื่อให้ได้สีสันที่สดใสและหลากหลายกว่าเทคนิคปูนเปียก
ดา วินชีเองก็ไม่ใช้เทคนิคปูนเปียกวาดภาพ The Last Supper เพราะอยากให้ภาพนี้มีสีสันสดใสเรืองรองกว่า ที่สำคัญ เขาไม่ชอบเทคนิคปูนเปียก เพราะเขามองว่ามันทำให้เขาต้องรีบเร่งวาดภาพให้เสร็จก่อนที่ปูนจะแห้งนั่นเอง ซึ่ง ดา วินชี เป็นจิตรกรที่ขึ้นชื่อว่าทำงานเชื่องช้าอ้อยอิ่งที่สุดในยุคเรอเนสซองส์เลยก็ว่าได้
มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับภาพนี้ว่า ในขณะกำลังวาดภาพ รองเจ้าอาวาสของโบสถ์ที่ ดา วินชี วาดภาพอยู่ ได้ตำหนิเขาเกี่ยวกับความล่าช้าในการวาดภาพนี้ จนทำให้เขาฉุนขาด เลยร่อนจดหมายไปหาเจ้าอาวาส ใจความว่า “เขากำลังกลุ้มใจ เพราะว่ายังหาใบหน้าเหมาะ ๆ สำหรับเป็นแบบให้ ยูดาส อิสคาริโอท อัครสาวกผู้ทรยศด้วยการขายพระเยซูคริสต์ไม่ได้ ถ้ามาเร่งเขามากนัก เขาจะเอาหน้าของรองเจ้าอาวาสมาเป็นแบบเสียเลยดีไหม?”
สุดท้ายเสียงบ่นก็เงียบหายไปโดยปริยาย...
แต่การใช้เทคนิคปูนแห้งนี่เอง ก็ส่งผลให้ภาพวาด The Last Supper เสื่อมสภาพและสูญหายไปเกือบหมดจากผลกระทบจากกาลเวลา, สภาพแวดล้อม และศัตรูที่สำคัญที่สุดอย่าง ความชื้น เพราะสีไม่ได้ซึมลงไปอยู่ในเนื้อปูน แต่เกาะอยู่แค่บนพื้นผิวปูนเท่านั้น ทำให้เกิดความเสียหายกับภาพ จนองค์ประกอบดั้งเดิมของภาพวาดภาพนี้ เช่น ฝีแปรง หรือรายละเอียดที่ ดา วินชี วาดไว้ เหลืออยู่ไม่มากในปัจจุบัน ถึงแม้จะมีความพยายามบูรณะอย่างมากมายจวบจนกระทั่งครั้งสุดท้ายในปี 1999
อย่างไรก็ดี ภาพวาดชิ้นนี้ก็ถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุคเรอเนสซองส์ ที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในภาพวาดที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก เทียบเคียงได้กับภาพวาดปูนเปียกบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีน (Sistine Chapel) ที่เล่าเรื่องราวการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้า ผลงานชิ้นเอกของศิลปินยิ่งใหญ่ในยุคเรอเนสซองส์อีกคนอย่าง ไมเคิลแองเจโล เลยก็ว่าได้
ยังมีผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของ ดา วินชี ที่เพิ่งค้นพบหลักฐานว่าเป็นผลงานของเขาในปี 2012 อย่าง Salvator Mundi (1500) (เป็นภาษาละตินแปลว่า ‘Savior of the World’ หรือ ‘พระผู้ช่วยให้รอดของโลก’ ซึ่งหมายถึง พระเยซู นั่นเอง)
ภาพวาดนี้นอกจากจะแสดงภาพพระเยซูคริสต์ชูนิ้วเป็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนแบบที่ปรากฏบ่อยครั้งในภาพวาดของพระเยซูคริสต์ทั่ว ๆ ไปแล้ว รายละเอียดอันโดดเด่นอีกประการในภาพนี้ก็คือ มืออีกข้างของพระองค์ยังถือลูกแก้วซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทรงกลมแห่งสรวงสวรรค์ (Celestial sphere) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนบทบาทของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้นั่นเอง
ภาพวาดสีน้ำมันบนแผ่นไม้วอลนัตภาพนี้ ถูกประมูลขายไปโดยสถาบันประมูลคริสตี้ส์ นิวยอร์ก ในราคา 450.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 13,608 ล้านบาท ซึ่งถูกซื้อไปโดย ‘มุฮัมมัด บิน ซัลมาน’ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ทำให้กลายเป็นภาพวาดราคาแพงที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีการขายมา
ภาพวาดนี้เป็นหนึ่งในภาพวาดจำนวนน้อยกว่า 20 ชิ้น ที่คาดว่าเป็นผลงานของ ดา วินชี ถึงแม้จะมีปริศนาและข้อโต้แย้งบางอย่างเกี่ยวกับหลักฐานและที่มาที่ไปของภาพก็ตามที
นอกจากงานศิลปะแล้ว ความสงสัยใคร่รู้ทางปัญญาและจินตนาการของ ดา วินชี ก็ยังทำให้เกิดไอเดียและสิ่งประดิษฐ์มากมาย ที่จดและร่างภาพเอาไว้ในสมุดบันทึกจำนวนมหาศาลของเขา ทั้งแผนภาพทางวิทยาศาสตร์ (ที่เป็นเหมือนต้นธารของสิ่งประดิษฐ์ในอนาคตอย่าง ร่มชูชีพ, เฮลิคอปเตอร์ และรถถังทหาร) ภาพร่างและภาพวาดทางกายวิภาค, พฤกษศาสตร์ และทฤษฎีเกี่ยวกับการวาดภาพ ดังเช่นที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะชื่อดังอย่าง อี. เอช. กอมบริช (E. H. Gombrich) กล่าวเอาไว้ว่า “ยิ่งเราได้อ่านบันทึกเหล่านี้มากเท่าไร เราก็ยิ่งไม่เข้าใจว่ามนุษย์คนหนึ่งสามารถเป็นเลิศในศิลปวิทยาการอันยิ่งใหญ่และแตกต่างหลากหลายเหล่านี้ทั้งหมดได้อย่างไร”
ดา วินชี ยังออกแบบงานสถาปัตยกรรมอันเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานมากมาย ทั้งทางส่งน้ำระยะทาง 32 ไมล์ ที่เชื่อมเมืองมิลานกับทะเลสาบโคโม ได้อย่างชาญฉลาด หรือการออกแบบบันไดเวียนเกลียวคู่อันงดงาม เปี่ยมทักษะทั้งทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ด้วยความสามารถของเขาในการผสมผสานวิสัยทัศน์แห่งการสร้างสรรค์เข้ากับทักษะการแก้ปัญหาที่ทำให้สิ่งประดิษฐ์ใช้งานได้จริง ดา วินชีช่วยสร้างหลักการทางสถาปัตยกรรมที่ส่งอิทธิพลสืบต่อกันมาหลายศตวรรษ
ถึงแม้ เลโอนาร์โด ดา วินชี จะได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากตระกูลเมดีชีเช่นเดียวกับศิลปินคนอื่น ๆ ในยุคเรอเนสซองส์ โดยเขาได้รับการศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นผ่านเครือข่ายของตระกูลเมดีชี โดย ‘อันเดรอา เดล แวร์รอกกีโอ’ (Andrea del Verrocchio) ศิลปินชั้นครูผู้อยู่ในอุปถัมภ์ของตระกูลเมดีชี รับดา วินชีเป็นเด็กฝึกงานตั้งแต่เขายังเป็นวัยรุ่นในช่วงปี 1460 - 1470
โดยแวร์รอกกีโอทำงานเป็นช่างแกะสลักและศิลปินผู้สร้างสุสานให้ ‘เปียโร ดิ โคสิโม เดอ เมดีชี’ (Piero di Cosimo de’ Medici) และหนุ่มน้อย ดา วินชีก็ได้ฝึกฝนเรียนรู้การแกะสลัก การวาดภาพ งานโลหะ และงานวิศวกรรมจากศิลปินชั้นครูผู้นี้เป็นเวลาสิบปี แต่ ดา วินชี กลับไม่ถูกรวมอยู่ในลิสต์รายชื่อของศิลปินผู้โดดเด่นของ ‘โลเรนโซ เด เมดีชี’ ที่นำไปเสนอตัวถวายงานให้พระสันตะปาปา ในปี 1481 ซึ่งทำให้เขาเจ็บช้ำน้ำใจอย่างมาก ดังที่เขาเขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวในปี 1515 ว่า “ตระกูลเมดีชี สร้างฉันขึ้นมา และทำลายฉันจนย่อยยับในภายหลัง”
แต่ในภายหลัง เลโอนาร์โด ดา วินชี ก็กอบกู้ชื่อเสียงและสถานภาพของตัวเองจนกลายเป็นศิลปินเอกผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์และของโลกได้ในท้ายที่สุด
เรื่อง: ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
ภาพ: (ซ้าย) ภาพวาด ดาวินชี (ขวา) ภาพวาด โลเรนโซ เด เมดีชี โดย บรอนซิโน (Bronzino) ประกอบกับ ตราประจำตระกูลเมดีชี
อ้างอิง:
หนังสือ Leonardo’s legacy: how Da Vinci reimagined the world โดย Stefan Klein
หนังสือ Leonardo da Vinci: Renaissance man โดย Alessandro Vezzosi
เว็บไซต์ theartstory.org
เว็บไซต์ artincontext