20 ธ.ค. 2567 | 13:02 น.
KEY
POINTS
ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2426 ณ เมืองเซสโต ฟิออเรนติโน เมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยโบสถ์ ปราสาทราชวังอายุหลายร้อยปี และเป็นแหล่งผลิตเครื่องกระเบื้องชั้นดีส่งไปขายทั่วยุโรป ‘คาร์โล ริโกลี’ (Carlo Rigoli) ได้ลืมตาดูโลก เด็กชายริโกลีเติบโตขึ้นมาพร้อม ๆกับพี่น้องอีก 4 คนในครอบครัวที่มีอันจะกิน ริโกลีได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีโดยพ่อกับแม่ตั้งใจว่าเมื่อลูกชายนายนี้เติบใหญ่จะให้ไปบวชเป็นบาทหลวง แต่ริโกลีกลับอยากจะเอาดีทางด้านศิลปะมากกว่า ไม่อยากเดินตามเส้นทางชีวิตในแบบที่ครอบครัวคาดหวัง
ริโกลีจึงเลือกเดินตามความฝันของตัวเองด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นจิตรกรให้ได้ จนโชคชะตานำพาให้ไปพบกับ ‘กาลิเลโอ คินี’ (Galileo Chini) ศิลปินรุ่นอาวุโสกว่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการแสดงผลงานทั่วยุโรป ซึ่งก็รวมถึงงานใหญ่ระดับโลกอย่างเทศกาลศิลปะ ‘เวนิส เบียนนาเล่’ ครั้งที่จัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2450 ในช่วงเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอยู่ระหว่างการเสด็จฯประพาสยุโรปครั้งที่ 2 พอดิบพอดี จึงทรงเสด็จฯไปร่วมเทศกาลศิลปะ เวนิส เบียนนาเล่ ในครั้งนั้นด้วย ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดผลงานของคินี จึงทรงมีพระราชดำริให้ทาบทามตัวมาช่วยวาดภาพประดับพระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งกำลังมีแผนจะก่อสร้างกันอยู่ในขณะนั้น ราชสำนักสยามเจรจากับคินีได้สำเร็จ แต่ด้วยปริมาณงานอันมากมายทำคนเดียวให้เสร็จสิ้นในเวลาที่กำหนดคงเป็นไปไม่ได้ คินีจึงตัดสินใจชักชวนริโกลีให้มาร่วมงานด้วย
ในปี พ.ศ. 2453 ริโกลี จึงใช้เวลาหลายเดือนล่องเรือเดินสมุทรที่ออกเดินทางจากยุโรป ลัดเลาะไปตามชายฝั่งทวีปแอฟริกา ต่อไปยังอินเดีย มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายคือราชอาณาจักรสยามที่อยู่ห่างไกลไปทางตะวันออก ถึงจะไม่รู้ว่าสถานการณ์ในภายภาคหน้าในดินแดนที่ไม่คุ้นเคยจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยการเดินทางที่ไกลที่สุดในชีวิตของริโกลีก็น่าจะเป็นไปด้วยดี เพราะชายชาวสยามผู้เชื้อเชิญศิลปินฝรั่งให้มาปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน
ที่กรุงเทพฯ ริโกลีกลายเป็นศิลปินเต็มตัวสมใจ งานหลักของริโกลีคือวาดภาพพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีขนาดใหญ่ยักษ์บนเพดานโดมพระที่นั่งอนันตสมาคมร่วมกับคินี ริโกลีกลายเป็นศิลปินที่มีงานชุก ทั้งวาดภาพตกแต่งตำหนัก พระที่นั่ง วัด และสถานที่อื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งตอนหลังคินีต้องกลับประเทศอิตาลีไปก่อนเพื่อดูแลภรรยาที่ป่วย ริโกลีเลยยิ่งมีงานราษฎร์งานหลวงให้วาดเยอะขึ้นไปอีก
ผลงานของริโกลีในช่วงแรก ๆ ที่มาถึงสยามนั้นยังดูเป็นฝรั่งจ๋า จนได้มีโอกาสถวายงานกับสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ริโกลีถึงได้เริ่มวาดภาพแนวใหม่โดยการนำตัวละครในวรรณคดี พุทธประวัติ เทพยดา รวมถึงลวดลายแบบไทย มาวาดในสไตล์ตะวันตกที่ตัวเองถนัด ถ้าอยากเห็นว่าผสมผสานกันแล้วออกมาลงตัวแค่ไหนไปดูฝีไม้ลายมือริโกลีได้ที่วัดราชาธิวาสฯ เพราะที่นั่นน่าจะเป็นวัดเดียวในเมืองไทยที่ใช้ฝรั่งเป็นผู้วาดจิตรกรรมฝาผนัง ภายในพระอุโบสถเราจะไม่เห็นภาพวาดจิตรกรรมไทยประเพณีแบบ 2 มิติตัดเส้นสีดำกับสีทองอย่างที่เราคุ้นตาเหมือนตามผนังวัดอื่น ๆ แต่เราจะได้เห็นภาพแบบสามมิติที่มีระยะใกล้ไกล เน้นแสงเงา และหลักกายวิภาค รูปแบบเดียวกับปราสาทราชวังในยุโรป ในขณะที่เรื่องราวในภาพที่เกี่ยวกับพระเวสสันดรชาดกนั้นเป็นเรื่องแบบไทย ๆ
มีสถานที่สำคัญอื่น ๆ ที่ริโกลีได้ฝากฝีมือในการวาดจิตรกรรมฝาผนังเอาไว้อีกมากมายเช่น ภาพเหล่าเทพยดาในพระที่นั่งบรมพิมาน พระที่นั่งแบบตะวันตกในพระบรมมหาราชวังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้เป็นที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ หรือภาพเรื่องรามเกียรติ์ในบ้านพิบูลธรรม ที่เดิมเป็นบ้านของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี แต่ตอนนี้กลายเป็นสำนักงานของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 นอกเหนือจากจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ผลงานศิลปะอีกประเภทที่เริ่มเป็นที่นิยมคือภาพเหมือนบุคคลที่วาดด้วยสีน้ำมันแบบยุโรป ศิลปินชาวไทยที่สามารถวาดภาพประเภทนี้ได้ดีนั้นมีจำนวนน้อยนิดจนแทบจะนับนิ้วได้ ที่มีชื่อหน่อยก็มีแค่ท่านสองท่านอย่าง พระสรลักษณ์ลิขิต และพระยาอนุศาสน์จิตรกร ในขณะที่จิตรกรฝรั่งส่วนใหญ่ที่อยู่ในกรุงเทพฯรวมถึงริโกลีนั้นสามารถวาดภาพเหมือนบุคคลได้คล่องกว่ามากเพราะฝึกฝนร่ำเรียนมาโดยตรงจากสถาบันศิลปะในยุโรป ด้วยเหตุนี้ริโกลีจึงถูกมอบหมายให้วาดพระบรมสาทิสลักษณ์สีน้ำมันขนาดน้อยใหญ่ของ ในหลวงรัชกาลที่ 5, รัชกาลที่ 6, และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงภาพเหมือนเจ้านายชั้นผู้ใหญ่อยู่เสมอ ๆ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมสาธารณชนถึงไม่ค่อยเห็นงานของริโกลีในพิพิธภัณฑ์ หรือคอลเลกชันสะสมส่วนตัวของบุคคลทั่วไป เพราะผลงานที่หลงเหลือส่วนใหญ่นั้นอยู่ในรั้วในวังกันแทบทั้งหมด
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากริโกลีได้ทำงานทั้งหมดเสร็จสิ้นบรรลุตามเป้าหมาย เป็นที่พอพระราชหฤทัยของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จนกลายเป็นชาวต่างชาติเพียงไม่กี่ท่านในประวัติศาสตร์ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก เหรียญตรา รวมถึงเกียรติบัตรอื่น ๆ อีกมากมาย ริโกลีก็ตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดที่อิตาลี และยังคงใช้ชีวิตเยี่ยงศิลปิน สร้างสรรค์ผลงานศิลปะอย่างต่อเนื่อง จนเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2507
คาร์โล ริโกลี ลงหลักปักฐานรับใช้ราชสำนักสยามอยู่นานนับสิบปี เป็นหนึ่งในฝรั่งไม่กี่ท่านที่ได้ถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้ฝากผลงานอันทรงคุณค่าเพื่อเป็นมรดกทางศิลปะไว้ให้เราชาวไทยมากมาย อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับศิลปินไทยรุ่นต่อ ๆ มาได้ใช้ศึกษาเป็นแบบอย่างเพื่อพัฒนาฝีไม้ลายมือ และแนวคิดให้ทันยุคทันสมัยไร้พรมแดน
เรื่อง: ตัวแน่น
ภาพ: https://theartauctioncenter.com