25 ก.พ. 2566 | 14:00 น.
คุ้น ๆ หน้านักแสดงหน้าโหดคนนี้กันหรือเปล่า แน่นอนว่าคงมีใครหลายคนที่เคยเห็นแต่อาจจะนึกชื่อไม่ออก แต่ก็คงพอจะจินตนาการได้ว่าเขาน่าจะเล่นเป็นวายร้ายสุดโหดในภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่องอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากใครที่เคยได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Machete (2010) มาก่อนแล้วก็คงจำชื่อเขาได้อย่างแน่นอน ‘แดนนี เทรโฮ’ (Danny Trejo)
เห็นว่าหน้าโหด ๆ แบบนี้ ปูมหลังของแกก็โหดไม่แพ้กันเลยแม้แต่น้อย เพราะก่อนจะมาเป็นพระเอกหน้าโหดดังที่เราเห็นทุกวันนี้ เทรโฮได้คลุกคลีกกับเส้นทางสายอาชญากรรมและยาเสพติดจนเข้าคุกจำตารางจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่วันหนึ่งชีวิตเขาต้องเปลี่ยนไปเมื่อถูกลงโทษ ‘ขนานหนัก’
คุณอากิลเบิร์ท
ในเดือนพฤษภาคม ปี 1944 เด็กคนหนึ่งที่จะเติบใหญ่มาเป็นชายกร้านโลกที่เคยเป็นทั้งนักโทษประหารและดาราที่มีหน้าตาโหดเป็นเอกลัษณ์จนฮอลลีวูดจะต้องจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ได้ถือกำเนิดขึ้น เขามีนามว่า แดนนี เทรโฮ (Danny Trejo)
เกิดมาท่ามกลางครอบครัวเม็กซิกัน - อเมริกันที่ฐานะไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่นัก ในเมืองลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนียร์ พ่อของเขาเป็นกรรมกรก่อสร้าง เทรโฮใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพ่อ เหตุเพราะแม่ของเขาแท้จริงมีสามีอยู่แล้ว แต่ในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 สามีของเธอจำต้องเดินทางไปรบ พ่อของเทรโฮจึงเข้าแทนที่และเกิดเป็นเทรโฮขึ้น
แต่แม้จะอยู่กับพ่อ ก็ใช่ว่าพ่อของเขาจะเป็นบุคคลตัวอย่างหรือพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่อุ้มชูเทรโฮมาอย่างดี กลับกัน เทรโฮมักถูกพ่อทารุณอยู่เป็นประจำ แต่ปีศาจร้ายในคราบบิดาคงอยู่ในชีวิตของเขาไม่นาน เพราะอยู่กันไปไม่นาน พ่อของเขาก็ถูกจับในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นด้วยการเอามีดแทง เทรโฮจึงต้องย้ายไปอยู่ที่บ้านญาติ และต่อจากนั้นไม่นานเขาก็จะได้พบกับชายที่จะปูฐานให้เดินเส้นทางสายอาชญากรรมในอนาคต ‘คุณอากิลเบิร์ท’ (Uncle Gilbert)
แม้จะเรียกขานด้ววคำนำหน้าว่า ‘อา’ แต่เทรโฮกับอากิลเบิร์ทก็อายุต่างกันไม่มากนัก กิลเบิร์ทเป็นน้องคนสุดท้องที่อยู่ในรุ่นของพ่อกิลเบิร์ท ซึ่งเทรโฮเคยให้สัมภาษณ์กับ Amazon Book Review เอาไว้ว่า ด้วยความที่กิลเบิร์ทเป็นลูกคนสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ กับตัวของเทรโฮเองที่ไม่ค่อยได้รับการดูแลจากทั้งพ่อและแม่ ทั้งสองจึงเจอจุดร่วมที่เข้าใจกันและกัน จนมันกลายเกิดเป็นมิตรภาพระหว่าง ‘อา - หลาน’ ที่มองแล้วแทบไม่ต่างอะไรจาก ‘พี่ชาย - น้องชาย’ เลยแม้แต่น้อย
หากมีคำถามเกิดขึ้นในหัวว่า “แล้วเทรโฮไปเสพยาตอนอายุ 8 ขวบ เมื่อไหร่?” คำตอบก็คือตอนนี้นี่แหละครับ กิลเบิร์ทเปรียบเสมือนเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา และผู้ชี้นำทางของในการใช้ชีวิตไปแล้ว คุณอาสุดห่ามกร้านโลกที่ยื่นกัญชาให้เทรโฮได้ลองตั้งแต่ตอนอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าความอยากรู้อยากลองของเทรโฮที่ผสานเข้ากับความอยากแนะอยากนำของกิลเบิร์ทไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น เพราะเมื่อเทรโฮอายุครบหนึ่งรอบนักษัตร เขาก็ได้ลิ้มลองไปตั้งแต่กัญชา โคเคน รวมถึงเฮโรอีนด้วย
ลืมเล่าไปหนึ่งอย่าง นอกจากจะได้นำเอาสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายตอนอายุ 8 ขวบแล้ว เทรโฮก็เริ่มส่งยาตั้งแต่เขาอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น จนกระทั่งมาถูกจับกุมตอนอายุเข้าเลขสองหลักเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งเข้าสู่สถานพินิจ และจากจุดนี้ที่ทำให้การก่ออาชญากรรมทำผิดและการเข้า - ออกสถานพินิจและเรือนจำกลายเป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาของเทรโฮ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าคุณอากิลเบิร์ทดูจะเป็นส่วนสำคัญที่ชี้นำและปูรากฐานชีวิตสายอาชญากรรมให้กับเทรโฮ แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่สอนให้เทรโฮสามารถใช้ชีวิตและเอาตัวรอดภายใต้สังคมที่โหดร้ายได้ นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นคนที่สอนให้กิลเบิร์ทชกมวยเป็น ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญเมื่อถึงคราวที่ต้องอยู่ในเรือนจำ แถมยังเป็นทักษะสำคัญที่จะสร้างโอกาสให้กับเขาในอุตสาหกรรมภาพยนตร์อีกด้วย
ท่ามกลางความมืดมิด ยังมีพระเจ้าที่เห็นใจ
การก้าวเท้าเข้าคุกตารางถือเป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาในชีวิตของ แดนนี เทรโฮ ไม่เพียงแค่เขาชินชากับการก่ออาชญากรรมจนเข้าเลือดไปแล้ว แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่หลังตาราง มันก็ไม่ได้แย่เสียเท่าไหร่นัก เพราะด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเกรงขาม บุคลิกกร้านโลก รวมถึงเชิงมวยที่ช่ำชองของเขา กลายเป็นว่าการเข้าไปอยู่ในเรือนจำก็เสมือนกลับบ้านไปอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูงมิตรสหาย (เพราะตอนเทรโฮอยู่ในเรือนจำก็ค่อนข้างป็อปปูลาร์ในหมู่นักโทษด้วยกันเลยทีเดียว)
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือเรือนจำขังรวมยังมีห้องขังเดี่ยว… ชีวิตและแนวคิดของเทรโฮจะเปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่อเขาถูกส่งไป ณ ที่แห่งนั้น ที่ ๆ ไม่มีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้าไป ที่ ๆ รายล้อมไปด้วยเสียงอันเงียบกริบ มีเพียงตัวเขาและเสียงในหัวกับความมืดสนิทที่รายร้อมและคอยเป็นเพื่อนยามทุกข์ทรมาน
ตลอดชีวิตสายอาชญากรรมของเทรโฮ โทษส่วนใหญ่ของเขาคือการถูกศาลตัดสินจำคุก เข้า ๆ ออก ๆ อยู่อย่างนั้น แต่วันหนึ่งเทรโฮก็ได้เจอกับบทลงโทษที่จะเปลี่ยนเขาไปตลอดกาล เมื่อเรือนจำที่เขาอยู่เกิดเหตุการณ์จลาจลจากเหล่านักโทษขึ้น และเทรโฮผู้เป็นหัวโจกก็ถูกลงโทษเพิ่มเติมในข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยการเอาหินทุบหัว แต่บทลงโทษนี้ไม่เหมือนบทลงโทษอื่น ๆ เพราะมันคือ ‘โทษประหารชีวิต’
เทรโฮถูกส่งเข้าไปขังเดี่ยวในอีกเรือนจำหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหด เมื่อก้าวเข้าไปในนั้น สิ่งแรกที่เขาจะเห็นคือแสงไฟที่สลับไปมาระหว่างสองสี — เขียวและแดง — หากเป็นสีแดงปรากฎขึ้น หมายความว่ามีนักโทษกำลังถูกประหารชีวิต เทรโฮถูกส่งตัวมาขังเดี่ยว (Solitary Confinement) ณ เรือนจำแห่งนี้เพื่อเฝ้ารอบทลงโทษ
เขาต้องทุกข์ทนอยู่ในความมืดยาวนานกว่าสามเดือน ไม่มีแสงตะวัน ไม่มีเพื่อนมิตร ไม่มีเสียงอะไร ดังที่เรากล่าวไปก่อนหน้าว่ามีเพียงความมืดกับเสียงในหัวของตัวเองเท่านั้น เทรโฮเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากจนถึงขั้นกล่าวร้องขอกับพระเจ้าว่า หากเขาตายขอให้ตายอย่างสมศักดิ์ศรี แต่หากเขารอดพ้นไปได้ เขาจะเอ่ยนามพระเจ้าทุกวันและจะอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถ
เมื่อวันพิพากษาเคลื่อนมาถึง ศาลตัดสินยกฟ้องคดีของเทรโฮเนื่องจากไม่มีพยานมากพอที่จะตัดสินได้ แดนนี เทรโฮ จึงได้โอกาสครั้งใหม่ของชีวิตที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม เพื่อที่จะเป็นคนใหม่ที่สามารถ ‘ตายอย่างสมศักดิ์ศรี’ ได้
ผู้ร้ายในอุดมคคติ - พระเอกหน้าโหด
หลังจากที่ได้เสรีภาพกลับคืนมา แดนนี เทรโฮ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มก่อร่างสร้างชีวิตใหม่ ตั้งแต่ไปย้อนเรียนจนได้วุฒิมัธยมปลาย ทำงานที่สุจริต ทำงานก่อสร้างและทำสวน รวมถึงเป็นที่ปรึกษาชี้แนะให้กับวัยรุ่นที่พัวพันกับยาเสพติดและคาดหวังที่จะออกมาจากวังวนอันเลวร้ายนี้ให้ได้
แต่ไม่นานนักชีวิตของเขาก็เดินมาถึงจุดที่จะต้องก้าวข้ามไปสู่บทใหม่ เมื่อเขาได้ถูกทาบทามให้ไปช่วยชี้แนะและแก้ไขปัญหาการเสพติดโคเคนในเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Runaway Train (1985) แต่หลังจากเข้าไปช่วยงานภายในกองถ่ายก็มีคนตระหนักได้ว่าเทรโฮสามารถต่อยมวยได้ และในเรื่องก็ต้องมีฉากการชกมวยบนสังเวียน เทรโฮจึงได้หน้าที่เพิ่มอีกตำแหน่งนั่นก็คือผู้ฝึกสอนเรื่องมวยให้กับนักแสดง แต่ด้วยความที่เทรโฮทุ่มเทมาก ๆ แถมยังดูมีศักยภาพที่จะอยู่หน้ากล้องได้ เขาจึงถูกทาบทามให้มาเล่นเป็นตัวประกอบเป็นคู่ชกมวยที่ต้องพ่ายให้แก่ตัวเอก… Runaway Train จึงกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของ แดนนี เทรโฮ
Runaway Train (1985)
หลังจากสำเร็จงานกับกองถ่ายแรกไปได้อย่างราบรื่น เขาก็ตระหนักได้ว่าการทำงานแบบนี้มันให้ค่าตอบแทนเขาอย่างมหาศาลแถมยังสุจริตและทำอย่างสบายใจอีกด้วย ผสานกับรูปร่างบุคลิกของเขาที่ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก เทรโฮจึงได้เล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์อีกมากมายหลายเรื่อง รวมถึงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Heat (1995) และ Con Air (1997) อีกด้วย
ต่อมาไม่นานคนก็เริ่มคุ้นเคยกับใบหน้าอันโหดเหี้ยมของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนผู้กำกับภาพยนตร์นามว่า โรเบิร์ต โรดริเกซ (Robert Rodriguez) ทาบทามเขามาเป็นตัวละครหลักในภาพยนตร์ที่จะกลายเป็นภาพจำที่ลบไม่ลืมของเขาอย่าง Machete (2010) เสียเลย จนมันได้กลายเป็นภาพยนตร์ที่เมื่อนึกถึง แดนนี เทรโฮ ก็ต้องเป็นเรื่องนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้
Machete (2010)
นอกจากเรื่องราวในเส้นทางการแสดงแล้ว ชีวิตด้านอื่น ๆ ของเทรโฮก็ยังคงดำเนินไปตามครรลองสุจริต ไม่ดื่มเหล้า ไม่เสพยา ไม่ก่ออาชญากรรมเหมือนในอดีต แถมยังช่วยสร้างประโยชน์อย่างไม่หยุดยั้ง แถมยังเป็นคนรักสุนัขอีกด้วย เขาได้รับอุปถัมภ์สุนัขมากมาย รวมถึงช่วยสนับสนุนผูที่กำลังอยู่วกวนอยู่ในปัญหายาเสพติดอีกด้วย
นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ สำหรับคน ๆ หนึ่งที่ก้าวเดินลงไปจุดต่ำสุดและทะยานขึ้นถึงจุดสูงสุดได้เหมือนเขา
ภาพ:
Getty Images
IMDb
อ้างอิง:
https://faroutmagazine.co.uk/danny-trejo-life-story/
https://www.amazon.com/amazonbookreview/read/B098JXZHLD?ref=tsm_1_tw_s__5115180897