‘แมนดี มัวร์’ คนดังที่เติบโตในครอบครัว LGBTQIA+ แม่เป็นเลสเบี้ยน พี่ชาย-น้องชายเป็นเกย์

‘แมนดี มัวร์’ คนดังที่เติบโตในครอบครัว LGBTQIA+ แม่เป็นเลสเบี้ยน พี่ชาย-น้องชายเป็นเกย์

‘แมนดี มัวร์’ นักร้องและนักแสดงดัง ผู้เติบโตมาในครอบครัวที่แม่ทิ้งพ่อไปอยู่กับผู้หญิง ส่วนพี่ชายกับน้องชายก็เป็นเกย์ทั้งคู่

  • ตอนที่แมนดีอายุ 23 ปี เธอบังเอิญไปเห็นร่างจดหมายที่แม่ตั้งใจจะส่งให้เธอกับพี่ชายและน้องชาย ทำให้เธอรู้ว่าแม่กำลังตกหลุมรักเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งและกำลังจะทิ้งพ่อไป 
  • หลังจากสมาชิก 3 คนในครอบครัวประกาศตัวเป็น LGBTQIA+ พ่อชอบยิงมุกกับแมนดีว่า “ลูกมีอะไรจะบอกพ่ออีกคนไหม” 

‘แมนดี มัวร์’ รับบทเป็น ‘รีเบคกา เพียร์สัน’ คุณแม่ลูกสามในซีรีส์อเมริกันเรื่อง This Is Us ที่กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของลูก ๆ ภายหลังการจากไปของสามี ขณะที่ในชีวิตจริง แมนดีก็เติบโตมาในครอบครัวที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นไม่แพ้คุณนายเพียร์สัน แถมยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่เหมือน ๆ กันอีก

คุณหนูที่ฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่ 6 ขวบ 

แมนดี หรือชื่อจริงว่า ‘อแมนดา ลี มัวร์’ เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 1984 ที่เมืองแนชัว รัฐนิวแฮมเชอร์ แต่ไปเติบโตที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่นและค่อนข้างมีฐานะ พ่อของเธอชื่อ ‘โดนัลด์ มัวร์’ เป็นนักบินพาณิชย์ ส่วนแม่ของเธอชื่อ ‘สเตซี มัวร์’ เคยทำงานเป็นผู้สื่อข่าว สองสามีภรรยาช่วยกันดูแลลูก ๆ ทั้งสามคน ได้แก่ สก็อต, แมนดี และไคลี อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 

หลังจากได้ดูละครเพลงเรื่อง Guys and Dolls เมื่อตอนอายุ 6 ขวบ แมนดีก็ใฝ่ฝันอยากจะจับไมค์เป็นนักร้องให้ได้ พ่อแม่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงินเลยพาเธอไปลงคอร์สร้องเพลงและคอร์สการแสดง แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายเพราะคิดว่าเธอไม่ได้จริงจัง แต่กลายเป็นว่ายิ่งนานวันไป เธอยิ่งสนุกกับการร้องเพลงตามงานแข่งขันกีฬาต่าง ๆ จนได้รับฉายาว่า ‘The National Anthem Girl’

เดินสายร้องเพลงแสดงความสามารถไปทั่วก็ยังไม่แจ้งเกิดสักที กระทั่งแมนดีอายุได้ 13 ปี พนักงานส่งของของ FedEx บังเอิญได้ยินเสียงของเธอแล้วเกิดความประทับใจ เขาเลยพาเธอไปทำความรู้จักกับเพื่อนของเขาที่ทำงานใน Sony Music เธอจึงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่แห่งนี้ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยม

หลังจากนั้นแมนดีเลือกที่จะจบชีวิตวัยรุ่นด้วยการออกจากโรงเรียนและหันไปเรียนทางไปรษณีย์เพื่อทุ่มเทให้กับงานบันเทิง ซึ่งเธอก็ตัดสินใจไม่ผิด ปีต่อมาเธอก็ได้ออกซิงเกิ้ลชื่อ Candy ซึ่งฮิตจนติดชาร์ต Billboard Hot 100 ไม่นานแมนดีก็ออกอัลบั้มของตัวเองที่ชื่อว่า So Real กลายเป็นนักร้องเต็มตัว ทั้งที่ไม่ได้อินอะไรกับเพลงรักเพราะยังไม่เคยอกหักด้วยซ้ำ ต่อมาก็ออกอัลบั้มอีกหลายอัลบั้มทั้ง Mandy Moore ในปี 2001, Coverage ปี 2003, Wild Hope ปี 2007, Amanda Leigh ปี 2009 และ Silver Landing ในปี 2020 

แต่ถึงจะมีเพลงดังหลายเพลง รวมถึงเพลง I Wanna Be With You ซึ่งหลายคนยังร้องตามกันได้จนถึงทุกวันนี้ ในช่วงแรก ๆ ก็ยังมีคนมองว่าเธอไม่สามารถก้าวออกจากเงาของนักร้องดังอย่าง ‘คริสตินา อากีเลรา’ และ ‘บริทนีย์ สเปียร์ส’ ได้

นอกจากจะประสบความสำเร็จในฐานะนักร้อง แมนดียังเข้าสู่วงการการแสดงด้วยการรับบทนักแสดงสมทบในภาพยนตร์เรื่อง The Princess Diaries เมื่อปี 2001 ที่นำแสดงโดย ‘แอนน์ แฮททาเวย์’ และโด่งดังจากการรับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง A Walk to Remember ในปี 2002 นอกจากนี้เธอยังเคยให้เสียง ‘ราพันเซล’ ในภาพยนตร์เรื่อง Tangled เมื่อปี 2010 ด้วย หลังจากนั้นก็มีผลงานการแสดงตามมาอีกหลายเรื่อง ล่าสุดยังกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีในซีรีส์เรื่อง This Is Us ตั้งแต่ปี 2016-2022 ซึ่งทำให้เธอได้รับคำชมอย่างล้นหลาม

ระหว่างการเดินทางอันแสนยาวนานในวงการบันเทิง ครอบครัวยังคงอยู่เคียงข้างเธอในทุกย่างก้าว แม้ในช่วงที่พวกเขาต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชีวิต

เมื่อแม่กลายเป็นเลสเบี้ยน 

ตอนที่แมนดีอายุ 23 ปี เธอซื้อแล็ปท็อปส์เป็นของขวัญให้พ่อกับแม่ และตอนที่เธอเข้าไปตั้งค่าบัญชีอีเมลให้แม่บนอุปกรณ์ใหม่ เธอบังเอิญไปเจอเข้ากับร่างจดหมายที่แม่ตั้งใจจะส่งให้เธอกับพี่ชายแล้วน้องชาย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงคลิกเข้าไปดู จนพบข้อความที่น่าตกใจว่า แม่กำลังตกหลุมรักเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง และกำลังจะทิ้งพ่อไป 

หลังอ่านอีเมลจบ แมนดีเก็บความเจ็บปวดไว้เพียงลำพัง เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศของครอบครัวที่กำลังพักผ่อนด้วยกันในช่วงวันคริสต์มาส 

ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจจากพ่อและลูกทั้งสามไปจริง ๆ แมนดีรู้สึกเศร้ามากที่พ่อแม่แยกทางกันหลังจากครองรักกันมานาน 30 ปี แต่เธอก็ไม่ได้โกรธแม่เลยที่ไปมีใจให้ผู้หญิงด้วยกัน แมนดียังได้ไปพบกับคนรักใหม่ของแม่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ก่อนที่แม่และคนรักจะย้ายไปอยู่ด้วยกันที่รัฐแอริโซนา

สี่คนพ่อลูกต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะสามารถทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายทุกคนก็ค้นพบว่าการเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่สิ่งที่ผิด และเมื่อพ่อทำใจได้ เขาก็ไปแต่งงานใหม่และมีความสุขอีกครั้ง 

“ทุกคนอยู่ในจุดที่ดีกว่าเดิมมาก พ่อแม่ได้อยู่กับคนที่เหมาะกับพวกเขามากกว่า ทั้งหมดนี้เป็นตอนจบที่แสนสุข ซึ่งไม่ได้มาโดยปราศจากความพยายาม” แมนดีกล่าว

พี่ชาย-น้องชายประกาศตัวว่าเป็นเกย์

จะว่าไปแล้วแม่ไม่ใช่คนแรกในครอบครัวของแมนดีที่ประกาศตัวว่าเป็น LGBTQIA+ เพราะก่อนหน้านั้น พี่ชายคนโตอย่างสก็อต ได้เปิดใจกับครอบครัวว่าเขาเป็นเกย์ในมื้ออาหารค่ำวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งครั้งนั้นทุกคนในบ้านสนับสนุนเขาเต็มที่ โดยเฉพาะแมนดี

สก็อตเล่าว่า สิ่งที่ช่วยให้เขาค้นพบรสนิยมทางเพศของตัวเองคือการได้อยู่ใกล้ชิดกับแมนดีและเพื่อนในวงการของเธอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกย์ที่เปิดเผยตัวตนด้วยความภาคภูมิใจ 

สก็อต ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์และพิธีกรรายการพอดแคสต์ ยังพูดถึงแม่ด้วยว่า “ผมภูมิใจในตัวแม่ที่ตัดสินใจอย่างยากลำบากที่จะทิ้งชีวิตครอบครัวและออกตามหาความสุขของตัวเอง” 

น้องชายคนเล็กของบ้านอย่างไคลีก็เป็นเกย์เช่นกัน นั่นทำให้พ่อชอบยิงมุกกับแมนดีว่า “ลูกมีอะไรจะบอกพ่ออีกคนไหม” ซึ่งเธอจะตอบกลับไปว่า “ไม่” ทุกครั้ง 

การเปิดเผยความจริงครั้งแรก

ชีวิตครอบครัวที่ไม่ค่อยเหมือนใครนี้ถูกเปิดเผยครั้งแรกเมื่อปี 2016 ซึ่งเป็นช่วงที่แมนดีเดินสายโปรโมตซีรีส์เรื่อง This is Us ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัว

ตอนนั้นแมนดีเจอคำถามว่า เธอเคยรู้สึกกดดันบ้างไหมที่ต้องใช้ชีวิตครอบครัวทั่วไป ที่ต้องมุ่งมั่นสร้างเนื้อสร้างตัว แต่งงาน มีลูก ฯลฯ ซึ่งเธอตอบว่า “ไม่” โดยไม่ลังเล พร้อมขยายความว่า “ครอบครัวของฉันห่างไกลคำว่าทั่วไปมากที่สุด”

“ฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยจริง ๆ แต่พ่อแม่ของฉันหย่าร้างกัน แม่ทิ้งพ่อไปหาผู้หญิงคนหนึ่ง และพี่ชายกับน้องชายของฉันก็เป็นเกย์” 

อย่างไรก็ตามแมนดียังคงยกย่องพ่อแม่เรื่องที่พวกเขาช่วยกันทำงานเลี้ยงเธอกับพี่น้องเป็นอย่างดีกระทั่งผ่านพ้นวัยเด็ก ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อสามพี่น้องเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ แต่แมนดีก็ยืนยันว่าเธอได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก แม้จะมีชีวิตครอบครัวที่วุ่นวายอยู่บ้างก็ตาม 

แมนดียืนยันด้วยว่าเธอทั้งรักและสนับสนุนพี่ชาย น้องชาย รวมถึงแม่ อย่างสุดหัวใจ และไม่มีอะไรจะทำให้เธอมีความสุขมากไปกว่าการได้เห็นคนในครอบครัวซื่อสัตย์ต่อตนเองและเลือกความรักเหนือสิ่งอื่นใด 

“ถ้าใครได้พบกับความรัก ฉันขอสนับสนุนและยินดีด้วย ฉันยินดีกับความรักนั้น” แมนดีกล่าว

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ให้เธอออกมาเป็นปากเป็นเสียงเพื่อสนับสนุนการสมรสของคนเพศเดียวกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา เช่น ปี 2009 เธอเคยออกมาวิจารณ์ที่บางรัฐไม่สนับสนุนการสมรสของคนเพศเดียวกัน โดยพูดว่า “น่าผิดหวัง”

ความรักของแมนดี มัวร์

แมนดีผ่านการสมรสมาแล้ว 2 ครั้ง สามีคนแรกของเธอคือ ‘ไรอัน อดัมส์’ นักร้องและนักแต่งเพลง ซึ่งใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเพียง 6 ปี ก่อนจะแยกทางกันในปี 2016 ซึ่งแมนดีออกมายอมรับในภายหลังว่า ตอนนั้นเธออยู่ในช่วงอยากแสวงหา “ความปกติ” ในแบบของตัวเอง จึงตัดสินใจแต่งงานตั้งแต่อายุแค่ 24 ปี กระทั่งพบว่าอดีตสามีมักทำร้ายจิตใจเธอเสมอ 

แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะการหย่าร้างครั้งนั้นทำให้เธอได้พบกับ ‘เทย์เลอร์ โกลด์สมิธ’ ทั้งคู่แต่งงานกันที่สวนหลังบ้านเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 หลังจากเดตกัน 2 ปี แมนดีบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่เข้าใจและให้กำลังใจเธอ ปัจจุบันทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 2 คน 

“ฉันยินดีจะฝ่าฟันทุกสิ่งทุกอย่างอีกล้านครั้ง หากมันจะทำให้ฉันได้พบกับเทย์เลอร์อีกครั้ง” 

 

ภาพ: Getty Images
อ้างอิง: 

glamour

huffpost

biography

amomama

thefamouspeople

usmagazine

eonline