‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’ เคยตกอับถึงขั้นขายหมาแลกเงิน ได้เงินจากหนังปุ๊บ รีบซื้อหมาคืนปั๊บ

‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’ เคยตกอับถึงขั้นขายหมาแลกเงิน ได้เงินจากหนังปุ๊บ รีบซื้อหมาคืนปั๊บ

ช่วงชีวิตสุดขมขื่นของ ‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’ เคยตัดใจขาย ‘บัตคัส’ สุนัขตัวโปรด เพื่อหาเงินประทังชีวิต

  • ‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’ เคยมีช่วงชีวิตที่มืดมน ถึงขั้นตัดใจขาย ‘บัตคัส’ สุนัขตัวโปรด เพื่อหาเงินประทังชีวิต
  • ชีวิตของเขาพลิกผันเมื่อไปชมการชกมวยระหว่าง ‘มูฮัมหมัด อาลี’ และ ‘ชัค เวปเนอร์’ จนเกิดแรงบันดาลใจในการเขียนบทหนังเรื่อง ‘ร็อกกี้’ ซึ่งท้ายที่สุดทำให้เขามีเงินไปซื้อบัตคัสคืน

ทั่วโลกจดจำ ‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’ (Sylvester Stallone) ในฐานะพระเอกหนังแอ็กชันแถวหน้าของฮอลลีวูด เจ้าของมาดนิ่งสุขุมที่จับปืนทีไรต้องบู๊ระห่ำตายกันไปข้างหนึ่ง ดังสุดขีดจากหนังเรื่อง ‘ร็อกกี้’ (Rocky) และ ‘แรมโบ้’ (Rambo) โกยทั้งเงินทั้งรางวัลนับไม่ถ้วน

แต่ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลก ชายผู้นี้ก็เคยผ่านเรื่องราวน่าขมขื่น ต้องอดทนทำงานหลายอย่างแลกเงิน ทำแม้กระทั่งขายเพื่อนรักสี่ขาของตัวเอง ก่อนจะสามารถนำมันกลับมาสู่อ้อมกอดได้อีกครั้ง 

เหตุการณ์สุดซึ้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ‘ความบังเอิญ’ หรือ ‘โชคดี’ ทว่าเกิดจากการกัดฟันต่อสู้ ที่แม้ไม่มีการกราดกระสุนเหมือนในหนัง แต่ก็สนุกและตื่นเต้นไม่แพ้กัน 

ชีวิตสุดตกต่ำของ ‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’

ก่อนที่สตอลโลนจะกลายมาเป็นดาราดังเหมือนทุกวันนี้ เขาทำงานมาแล้วหลายอย่าง ทั้งพนักงานทำความสะอาดกรงสิงโตที่สวนสัตว์ คนขายหนังสือ รับบทเล็ก ๆ ในละครและหนังหลายเรื่อง ทั้งยังเคยเล่นหนังสำหรับผู้ใหญ่ด้วย 

สาเหตุที่ต้องทำงานหนักขนาดนั้น เป็นเพราะเขาต้องการหาเงินเลี้ยงดูภรรยาที่กำลังตั้งท้อง รวมถึงเลี้ยงดูอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด นั่นคือสุนัขพันธุ์บุลล์แมสติฟฟ์ที่ชื่อว่า ‘บัตคัส’ (Butkus) 

ส่วนความฝันที่แท้จริงของสตอลโลนคือการเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่เวลานั้นไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหน เขาก็ยังไม่ดังมากพอที่จะมีเงินดูแลครอบครัวและสุนัขแสนรัก 

ชีวิตของเขาเคยตกต่ำถึงขีดสุด จนต้องขโมยเครื่องประดับของภรรยาไปขาย แต่ก็ยังไม่ได้เงินมากพอที่จะช่วยให้ครอบครัวพ้นเส้นความยากจน และเมื่อถึงจุดหนึ่ง สตอลโลนก็กลายเป็นคนไร้บ้าน เพราะเหลือเงินในธนาคารแค่ 106 ดอลลาร์ ไม่พอแม้จะจ่ายค่าเช่าอะพาร์ตเมนต์ ต้องไปอาศัยนอนที่สถานีขนส่งนิวยอร์กนานถึง 3 วัน 

เมื่อแทบไม่เหลืออะไรในชีวิตที่มีค่าพอจะขาย สตอลโลนตัดใจเขียนป้ายแสดงราคา 100 ดอลลาร์ เดินจูงเจ้าบัตคัสอย่างสิ้นหวังไปที่หน้าร้านสะดวกซื้อ 

ใช่แล้ว เขาตัดสินใจขายสุนัขที่เป็นดั่งเพื่อนรัก คอยอยู่เคียงข้างกันมาตลอดไม่ว่ายามทุกข์หรือยามสุข 

ไม่ว่าจะเป็นเพราะต้องการเงินต่อลมหายใจ หรือเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเพื่อนรักอีกต่อไป สุดท้ายสตอลโลนก็ขายเจ้าบัตคัสได้สำเร็จ คนที่ซื้อบัตคัสไปคือชายที่ชื่อว่า ‘ลิตเติ้ล จิมมี่’ (Little Jimmy) ซึ่งเสียเงินแลกสิทธิ์เจ้าของบัตคัสแค่ 40 ดอลลาร์ 

หลังจากรับเงินมาด้วยความกล้ำกลืนฝืนทน สตอลโลนเดินจากจุดนั้นมาในสภาพน้ำตาไหลนองหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้นตลอดทางกลับบ้าน 

คู่ชกเปลี่ยนชีวิต

เมื่อเผชิญความทุกข์หลายอย่างในชีวิต จนดูเหมือนไร้ทางออก ในที่สุดชีวิตของสตอลโลนก็พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่พลิกชะตากรรมของเขาไปตลอกาล 

จุดเปลี่ยนนี้เกิดขึ้น 1 - 2 สัปดาห์หลังจากที่เขาขายบัตคัส เมื่อเขาไปชมการแข่งขันชกมวยระหว่าง ‘มูฮัมหมัด อาลี’ (Muhammad  Ali) และ ‘ชัค เวปเนอร์’ (Chuck  Wepner) ซึ่งใคร ๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อาลีจะต้องชนะมวยรองอย่างเวปเนอร์แน่นอน 

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อเวปเนอร์ชกเข้าชายโครงอาลี จนอาลีร่วงลงไปกองกับพื้น แฟนมวยพากันตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดปรากฏต่อสายตาของสตอลโลนที่คิดในใจว่า นี่คือจังหวะที่ผู้คนจะจดจำไปตลอดกาล

แม้ในการชกครั้งนั้น เวปเนอร์จะเป็นฝ่ายพ่ายให้กับอาลีตามคาด แต่เสี้ยวนาทีที่น่าประทับใจบนสังเวียนได้จุดประกายให้สตอลโลนเขียนบทหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา 

บทหนังที่ว่า สตอลโลนก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่ 3 วัน จนได้บทหนังความยาว 90 หน้า ที่กลายเป็นจุดกำเนิดตัวละครนักชกสู้ชีวิตที่มีนามว่า ‘ร็อกกี้ บัลบัว’ (Rocky Balboa) ซึ่งเขาหมายมั่นว่าจะแสดงด้วยตัวเอง

สตอลโลนนำบทหนังนี้ไปเสนอกับค่ายหนังต่าง ๆ ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม กระทั่ง ‘United Artists’ ตกลงซื้อบทหนังด้วยเงิน 350,000 ดอลลาร์ พร้อมเงื่อนไขที่ทำให้สตอลโลนอึดอัดใจ 

สตอลโลนจะต้องยกบทนำให้นักแสดงคนอื่น!

ในเวลานั้น United Artists มองว่า สตอลโลนเป็นเพียงนักแสดงโนเนม และทางค่ายต้องการนักแสดงที่มีชื่อเสียงมารับบทนี้ อาจจะเป็น ‘ไรอัน โอ’นีล’ หรือไม่ก็ ‘เบิร์ต เรย์โนลส์’ 

สตอลโลนยืนกรานปฏิเสธเงื่อนไขนี้ เขาต่อรองจน United Artists ใจอ่อน ยอมให้เขารับบทตัวเอกที่เขียนขึ้นมาเอง โดยมีข้อแม้ว่า สตอลโลนต้องยอมลดราคาบทหนังจาก 350,000 ดอลลาร์ เหลือ 35,000 ดอลลาร์ และรับเงินทุนในการทำหนังแค่ 1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าน้อยมากสำหรับหนังฮอลลีวูด แม้จะเป็นยุค 1970s ก็ตาม

สำหรับสตอลโลนที่ใช้ชีวิตแบบคนไร้ต้นทุนมานาน แน่นอนเขาตอบรับเงื่อนไขนี้

ได้เงินปุ๊บ ซื้อหมาคืนปั๊บ

แทบจะทันทีที่ได้เงิน 35,000 ดอลลาร์ สตอลโลนกำเงินตรงดิ่งไปยังจุดที่เขาขายบัตคัสให้กับลิตเติ้ล จิมมี่ 

เขายืนรอแล้วรอเล่าด้วยความหวังว่า ลิตเติ้ล จิมมี่ จะจูงบัตคัสออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง แต่รอทั้งวันก็ยังไร้วี่แววที่จะได้เจอบัตคัส กระทั่งตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า เขาเลยต้องเดินคอตกผิดหวังกลับบ้านไป

สตอลโลนรออยู่อย่างนี้ 2 วัน เข้าสู่วันที่ 3 การรอคอยอันแสนยาวนานของเขาก็สิ้นสุดลง 

ลิตเติ้ล จิมมี่ เดินมาพร้อมกับบัตคัส ทันทีที่เพื่อนรักพบกันอีกครั้ง ทั้งสองต่างพุ่งเข้าหากันด้วยความดีใจ

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นสตอลโลน ชีวิตของเขาไม่เคยได้อะไรมาง่าย ๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะมีเงินมากพอที่จะซื้อบัตคัสกลับมา แต่ลิตเติ้ล จิมมี่ ก็ไม่ยอมขายคืนให้

ลิตเติ้ล จิมมี่ ปฏิเสธเงิน 100 ดอลลาร์ ที่สตอลโลนเสนอให้ในครั้งแรก และเบือนหน้าหนีไม่ยอมรับเงินที่ถูกเสนอเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จำนวนเงินที่สตอลโลนเสนอจะพุ่งไปสูงถึง 1,000 ดอลลาร์ 

ลิตเติล จิมมี่ ที่กำลังมีแต้มต่อ ให้เหตุผลกับสตอลโลนว่า “ลูก ๆ ของผมรักเจ้าบัตคัสมาก” สตอลโลนที่เริ่มหัวเสียจึงตอบไปว่า “ให้ตายเถอะ คุณเพิ่งจะเอามันไปเลี้ยงแค่สัปดาห์เดียวเองนะ” 

การต่อรองทวีความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบจะมีการวางมวยกัน กระทั่งสตอลโลนเสนอให้ลิตเติ้ล จิมมี่ มารับบทเล็ก ๆ ในหนัง พร้อมเงิน 15,000 ดอลลาร์ 

ได้ทั้งเล่นหนัง ได้ทั้งเงินที่จำนวนมากกว่าตอนซื้อบัตคัสถึง 374 เท่า มีหรือที่ลิตเติ้ล จิมมี่ จะปฏิเสธ

“จำได้ไหมในหนัง จะมีผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งถามผมว่า เฮ้ นายชนะไหม? แล้วผมตอบไปว่า แกเป็นอะไร หูหนวกเหรอ? และเขาก็ตอบกลับว่า เปล่า ฉันเตี้ยเว้ย! นั่นแหละเขา” สตอลโลนเปิดเผยในภายหลัง 

บัตคัสกลับสู่อ้อมอกของสตอลโลนอีกครั้ง และสตอลโลนที่ลงทุนไปมากเพื่อนำมันกลับมา ได้จัดการถอนทุนคืนด้วยการจับมันร่วมแสดงในหนังด้วยเช่นกัน

หนังเปลี่ยนชีวิต

หนังเรื่องร็อกกี้ใช้เวลาในการถ่ายทำเพียง 28 วัน ด้วยเงินทุนที่ไม่มาก ฉากส่วนใหญ่จึงถ่ายแค่เทคเดียวเพื่อประหยัดฟิล์ม นักแสดงก็อาศัยเพื่อนและคนในครอบครัวของสตอลโลนมาช่วยแสดง

ถึงจะดูอัตคัดเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่น แต่สตอลโลนก็ใส่ความตั้งใจลงไปเต็มที่ ด้วยหวังว่าหนังเรื่องนี้จะพลิกชีวิตเขาสำเร็จ 

ในที่สุดวันชี้ชะตาก็มาถึง

ในวันที่หนังฉายบนเวทีสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกา สตอลโลนรอลุ้นปฏิกิริยาของผู้ชม 900 คน ด้วยใจระทึก

เมื่อหนังเริ่มฉาย ปรากฏว่าทั้งโรงเงียบสงัด ใบหน้าผู้ชมเรียบเฉย สตอลโลนเริ่มนั่งไม่ติด 

หนังดำเนินถึงกลางเรื่องก็แล้ว ภายในโรงยังมีเพียงความเงียบงัน ราวกับมีสตอลโลนเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในนั้น แม้แต่ในฉากที่เรียกเสียงหัวเราะ บรรยากาศในโรงก็ยังเงียบเป็นป่าช้า จนถึงฉากชกต่อยที่น่าตื่นเต้น ผู้ชมก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แสดงอาการลุ้นใด ๆ 

กระทั่งหนังจบ สตอลโลนที่รู้สึกเสียหน้าเริ่มคิดว่า เส้นทางอาชีพของเขาคงจะจบลงเป็นแน่แท้ เขาคงต้องกลับไปอยู่ห้องเช่าเก่า ๆ อดมื้อกินมื้อไปกับบัตคัสอีกครั้ง  

เขาเตรียมเดินออกจากโรงพร้อมความผิดหวัง แต่ทันใดนั้น ผู้ชมก็พร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือเสียงดัง 

ขณะที่สตอลโลนกำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเริ่มหันไปมองผู้ชมที่ใบหน้าเรียบเฉยระหว่างดูหนัง แล้วพบว่าตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความยินดีและชื่นชม  

นั่นคือช่วงเวลาที่เขาจะจดจำไปตลอดชีวิต ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จในการเบิกทางสู่การเป็นดารานักบู๊เต็มตัว 

ร็อกกี้เปิดตัวในปี 1976 ได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม ทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปี 1976 และคว้ารางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และตัดต่อยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ร็อกกี้ยังได้รับการยกย่องจากหอทะเบียนภาพยนตร์แห่งชาติให้เป็นหนึ่งในหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สตอลโลนจึงเริ่มมีชื่อเสียงในวงการมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาต่อยอดความสำเร็จด้วยการสร้างภาคต่อของร็อกกี้ และไม่ลืมที่จะนำเจ้าบัตคัสมาร่วมแสดงเช่นเคย 

เพื่อนรักสี่ขาที่คอยอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด

เป็นเวลา 5 ปี ที่บัตคัสได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับสตอลโลน ก่อนที่มันจะจากโลกนี้ไปด้วยอาการหัวใจวายจากโรคไขมันในเลือดสูงในปี 1981

แต่บัตคัสไม่เคยจากไปจากหัวใจของสตอลโลนเลย หลังเพื่อนรักไร้ลมหายใจ พระเอกนักบู๊ตัดสินใจสักรูปหน้าของบัตคัสแทนที่รอยสักรูปหน้าภรรยาอย่าง ‘เจนนิเฟอร์ ฟลาวิน’ (Jennifer Flavin) ที่บริเวณไหล่ขวาของเขา

“เขาเปรียบเหมือนเพื่อนสนิทของผม พวกเราเป็นเพื่อนกันมา ตั้งแต่ตอนที่บัตคัสยังเป็นลูกหมา เราทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายมาด้วยกัน เราทั้งคู่ต่างผอมแห้ง หิวโซ และอาศัยอยู่ในบ้านเก่า ๆ ที่อยู่เหนือสถานีรถไฟใต้ดิน อะพาร์ตเมนต์นี้มันเก่ามาก ๆ มีแมลงสาบวิ่งไปมาอยู่ในห้องตลอด พวกเราใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ผมไม่ออกไปไหนเลย เขาคือเพื่อนที่คอยอยู่ข้าง ๆ ผม และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเขียนบทหนังขึ้นมา

“แต่เหมือนเหตุการณ์ในชีวิตมันแย่ลงเรื่อย ๆ จนผมต้องจำใจขายเพื่อนรักของผมไปในราคา 40 ดอลลาร์ที่หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพราะผมมีเงินไม่มากพอที่จะซื้ออาหาร

“มันราวกับเป็นปาฏิหาริย์ ที่บทหนังเรื่องร็อกกี้ของผมขายได้ และผมสามารถนำเงินก้อนนั้นไปซื้อเพื่อนรักของผมกลับคืนมา ด้วยเงินจำนวน 15,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินที่สูงมาก แต่มันก็คุ้มค่าที่จะเสียไป เพื่อให้ได้เพื่อนของผมกลับคืนมา”

ทุกวันนี้ สตอลโลนประสบความสำเร็จอย่างสูงในฮอลลีวูด หลังแจ้งเกิดจากหนังเรื่องร็อกกี้ และแรมโบ้ ตามด้วยการกวาดรางวัลกลับบ้านมากมาย และได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูก ๆ (โดยไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่า จะหาอะไรในบ้านไปขายอีก)

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ชายที่เคยใช้ชีวิตเป็นคนไร้บ้าน และต้องขายสุนัขตัวโปรด เพื่อหาเงินประทังชีวิต วันนี้จะกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก 

เรื่องนี้คงต้องขอบคุณ ‘เลือดนักสู้’ ที่มีอย่างเต็มเปี่ยมทั้งในจอและนอกจอของ ‘ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน’ 

 

เรื่อง : กรัณย์กร วุฒิชัยวงศ์ (The People Junior)

ภาพ : Officialslystallone / Instagram 

อ้างอิง :

ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน: จากเด็กที่ถูกส่งไปโรงพยาบาลทางจิต กลายมาเป็นดาราสร้างภาพยนตร์ทำรายได้รวมกว่า 4 พันล้าน | The People

Sylvester Stallone shares memory of dog he sold 'to buy food' and bought back for £15k | Yahoo News 

SYLVESTER STALLONE AND HIS DOG BUTKUS | Pethealthcare

The Amazing Story Of The Making Of 'Rocky' | Forbes

Sylvester Stallone was left sobbing after being forced to sell dog for Rocky | Express