‘อาเรีย มีอา โลแบร์ตี’ นักแสดงหญิงผู้เฉิดฉายบนพรมแดงงานลูกโลกทองคำพร้อมสุนัขนำทาง

‘อาเรีย มีอา โลแบร์ตี’ นักแสดงหญิงผู้เฉิดฉายบนพรมแดงงานลูกโลกทองคำพร้อมสุนัขนำทาง

‘อาเรีย มีอา โลแบร์ตี’ นักแสดงหญิงผู้จุดประกายให้ผู้ทุพพลภาพกล้าที่จะฝัน กับการปรากฏตัวบนพรมแดงงานลูกโลกทองคำพร้อมสุนัขนำทาง

  • อาเรีย มีอา โลแบร์ตี เป็นนักแสดงตาบอดคนแรกที่เดินพรมแดงงานลูกโลกทองคำ พร้อมสุนัขนำทาง
    ก่อนจะมาถึงจุดนี้เธอเคยขังตัวเองเอาไว้ด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
  • จนวันหนึ่งที่ทลายกำแพงออกมา เธอค้นพบว่าความแตกต่างคือความสวยงามบนโลกใบนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะแตกต่างอย่างไร ทุกคนสามารถมีความฝันของตนเองได้

ใครที่ติดตามงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 81 ประจำปี 2024  อาจสะดุดตาเข้ากับนักแสดงหญิงคนหนึ่ง ที่เดินพรมแดงไปพร้อมกับสุนัขตัวหนึ่ง

หากไม่ใช่แฟนคลับหรือติดตามผลงานของเธอมาก่อนก็คงไม่รู้ว่าเธอจูงเจ้าสี่ขาตัวนี้มาด้วยทำไม บางคนอาจพาลคิดไปว่านี่เป็นแฟชัน หรือไม่ก็คอนเทนต์? 

ความจริงแล้ว นักแสดงสาวผู้นี้มีชื่อว่า ‘อาเรีย มีอา โลแบร์ตี’ (Aria Mia Loberti) เธอไม่เพียงเป็นนักแสดงจากซีรีส์ ‘ดั่งแสงสิ้นแรงฉาน’ (All the Light We Cannot See) แต่ยังเป็นนักแสดงหญิงตาบอดคนแรกที่ได้เดินบนพรมแดงของงานลูกโลกทองคำ พร้อมการนำทางจากเจ้า ‘อิงกริด’ (Ingrid) เพื่อนรักสี่ขาตัวนี้ 

แต่กว่าจะได้มาเดินเฉิดฉายในงานประกาศรางวัลระดับโลก เส้นทางชีวิตของโลแบร์ตีนั้นไม่ง่ายเลย เธอต้องอาศัยความพยายามมากกว่าคนปกติหลายเท่า เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า “เราทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้” 

ความฝัน ความแตกต่าง

หนูน้อย ‘อาเรีย มีอา โลแบร์ตี’ (Aria Mia Loberti) เกิดเมื่อปี 1994 พร้อมกับ ‘ภาวะเสียการระลึกรู้สี’ (Achromatopsia) ซึ่งทำให้เธอมองไม่เห็นโดยสมบูรณ์ในบางสภาวะแวดล้อม หมายความว่าเธอเป็นหนึ่งในชาวอเมริกันประมาณ 6 ล้านคนที่ถูกระบุว่าเป็นคนตาบอดหรือสายตาเลือนราง

ถึงกระนั้นหนูน้อยในวัย 4 ขวบก็เป็นเด็กสดใส ร่าเริง ชอบท่องจำบทภาพยนตร์ และร้องเล่นเต้นโชว์เพลงของ ‘จูดี การ์แลนด์’ (Judy Garland) หรือ ‘Phantom of the Opera’ ให้ครอบครัวดู และมีความฝันอยากเป็นนักแสดง

แต่เมื่อเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โลแบร์ตีกลับรู้สึกว่า ไม่มีใครต้องการเธอ เพราะทันทีที่เธอเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับตัวเองที่แตกต่างออกไป แม้ว่าเธอจะดูไม่แตกต่าง เธอก็จะถูกมองว่าแตกต่างอยู่ดี 

โลแบร์ตีจึงเก็บความฝันนักแสดงเข้ากรุ แล้วหันไปตั้งใจเรียนแทน จนสามารถเข้าเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยโรดไอร์แลนด์ได้ ก่อนที่จะได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยรอยัล ฮอลโลเวย์ ในประเทศอังกฤษ และกลับมาเรียนต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเพนน์สเตต โดยศึกษาด้านประวัติศาสตร์การสื่อสารโบราณ

แม้ว่าจะไปสุดในด้านการศึกษาขนาดนี้ แต่โลแบร์ตีกลับรู้สึกว่าทั้งหมดยังไม่สามารถเติมเต็มความสุขของเธอได้ เธอยังไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

ทลายกำแพงที่ขวางกั้น

ในขณะที่ยังมีบางอย่างติดอยู่ในใจ จู่ ๆ เธอก็ได้รับข้อความจากครูว่า ‘ชอว์น เลวี’ (Shawn Levy) ผู้กำกับคุณภาพที่อยู่เบื้องหลังซีรีส์ดังอย่าง ‘Stranger Things’ กำลังตามหานักแสดงที่จะมารับบท ‘มารี’ ในซีรีส์ที่ดัดแปลงจากนวนิยายคุณภาพเรื่อง ‘ดั่งแสงสิ้นแรงฉาน’ (All the Light We Cannot See) 

แม้ว่าการแสดงจะเป็นสิ่งที่โลแบร์ตีใฝ่ฝันมาตลอด แต่เธอก็ลังเลเล็กน้อย และเอาแต่คิดว่านี่เป็นความฝันที่เธอไม่อาจเอื้อม เพราะที่ผ่านมามีแต่คนพูดใส่หัวเธอว่า คนตาบอดทำอะไรได้ไม่ได้บ้าง จนเธอหลงเชื่อไปตามคำพูดของคนเหล่านั้น 

แต่ด้วยความรัก ความฝัน รวมถึงในฐานะแฟนตัวยงของนวนิยายเรื่องนี้ โลแบร์ตีตัดสินใจทลายกำแพงที่ขวางกั้นเธอเอาไว้ แล้วปลดปล่อยความกังวลของตัวเอง

โลแบร์ตีไปรื้อค้นเสื้อในยุค 1940 ของคุณยายมาสวมใส่ แต่งหน้าและถักเปียสองข้าง จากนั้นก็ตั้งกล้องบันทึกเทปออดิชันในห้องของเธอเอง

เธอใช้เวลาอัดวิดีโอออดิชันเพียงเทคเดียวเท่านั้น และเมื่อคลิปเดินทางไปถึงมือของผู้กำกับเลวี เขาก็รู้ทันทีว่า โลแบร์ตีคือนักแสดงที่ยอดเยี่ยม 

เลวีถึงขนาดซูมดูคลิปของโลแบร์ตี 2 - 3 ครั้ง เขาแทบจะทนรอให้ทุกคนได้ดูคลิปนี้ไม่ไหว เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าโลแบร์ตีเหมาะสมมากที่จะถ่ายทอดบทบาทของ ‘มารี’ 

เกิดมาเพื่อกันและกัน

ตัวละคร ‘มารี ลอร์ เลอบลังก์’ (Marie Laure Leblanc) คือเด็กสาวตาบอดชาวฝรั่งเศส ที่จัดรายการวิทยุเพื่อสื่อสารกับปู่และพ่อในช่วงสงคราม จึงไม่แปลกเลยที่โลแบร์ตีจะนำเสนอเรื่องราวของเธอได้อย่างสมจริงถูกใจเลวีที่สุด

โลแบร์ตีรู้ซึ้งดีว่า การมีชีวิตอยู่โดยมองไม่เห็นนั้นเป็นอย่างไร เธอยังเต็มไปด้วยความหวังภายใต้ฉากหลังอันมืดมนเช่นเดียวกับมารี 

โลแบร์ตีเองยังต้องการสวมบทตัวละครนี้ เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้คนที่มีความพิการเหมือนกันกับเธอ

อาจกล่าวได้ว่า ทั้งเลวีและโลแบร์ตีต่างก็ค้นพบสิ่งที่เติมเต็มกันและกัน 

พยายามอย่างถึงที่สุด

สำหรับบทบาทแรกของโลแบร์ตี เธอพบว่าส่วนที่ยากที่สุดคือการเป็นผู้มาใหม่ เธอจึงเข้าอบรมหลักสูตรการแสดงแบบเร่งด่วน และได้รับความช่วยเหลือมากมายจากเลวี

ก่อนที่โลแบร์ตีจะถ่ายทำฉากแรก เธอตามติดผู้กำกับเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์เพื่อดูฉากการถ่ายทำของ ‘หลุยส์ ฮอฟมานน์’ (Louis Hofmann)

จากนั้นเธอก็เริ่มถ่ายทำฉากเดี่ยวของตนเองอีก 3 สัปดาห์ จนในที่สุดเธอก็ได้แสดงร่วมกับนักแสดงคนอื่น ๆ อย่าง ‘มาร์ค รัฟฟาโล’ (Marc Ruffalo), ‘ฮิว ลอรี’ (Hugh Laurie) และ ‘มาเรียน เบลีย์’ (Marion Bailey)

โลแบร์ตีเล่าว่า พวกเขาอบอุ่น และเต็มไปด้วยคำแนะนำที่ดีสำหรับนักแสดงหน้าใหม่อย่างเธอ

“ฉันไม่ได้มาจากการฝึกการแสดง ฉันเป็นนักวิชาการ” โลแบร์ตีผ่านการทำวิจัยมากมาย เกี่ยวกับปัจจัยในชีวิตที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การแสดงที่สมจริงและเข้าถึงบทบาทของเธอ

นอกจากนี้ เธอยังมีประสบการณ์การเรียนบัลเลต์และศิลปะการต่อสู้ ที่ช่วยได้มากในฉากโลดโผน ซึ่งเป็นฉากที่เธอโปรดปรานสุด ๆ  ไม่ว่าจะเป็นฉากทิ้งระเบิด หรือจมน้ำ เธอก็สามารถทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่การขับรถ 

โลแบร์ตีเล่าถึงการถ่ายทำฉากจมน้ำที่ผ่านการออกแบบท่าทาง และจัดฉากอย่างปลอดภัยโดยใช้เวลากว่า 4 วันจึงจะถ่ายทำเสร็จสมบูรณ์ เธอยังบอกอีกว่าต้องลงน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าจะผ่านพ้นฉากนี้ไปได้ สะท้อนให้เห็นว่าเธอใช้ความพยายามมากเพียงใด และความผิดปกติของตาเป็นอุปสรรคที่เธอสามารถเอาชนะได้

และแม้จะเป็นมือใหม่ แต่เธอก็สร้างความประทับใจให้กับเพื่อนนักแสดงของเธอในทันทีอย่าง มาร์ค รัฟฟาโล ที่พูดถึงโลแบร์ตีอย่างติดตลกว่า    

“ผมอิจฉานิดหน่อย เพราะผมใช้เวลา 30 ปีกว่าจะทำในสิ่งที่เธอทำได้ภายใน 2 สัปดาห์ มันน่าสนใจมากที่ได้เห็นว่าเธอเข้าถึงบทบาทได้อย่างง่ายดายเพียงใด”

ไม่เว้นแม้กระทั่งหลุยส์ ฮอฟมานน์ ซึ่งถูกมนต์เสน่ห์ด้านการแสดงของโลแบร์ตีตกเข้าอย่างจัง 

“มันน่าทึ่งมาก เพราะเธอไม่เคยอยู่ในกองถ่ายมาก่อน และเธอก็เรียนรู้เร็วมาก เธอนำความลุ่มลึก และความพิเศษมาสู่ตัวละคร”

โลแบร์ตียังบอกอีกว่า ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการตาบอด แต่เกี่ยวกับมวลมนุษย์ที่มารวมตัวกันในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก เพราะการตาบอดอาจไม่ใช่ปมด้อยอะไรเลยสำหรับมารี แต่เป็นเพียงวิธีหนึ่งในการสำรวจ และสัมผัสโลกรอบตัวของเธอเท่านั้น

ไม่ว่าจะมืดมิดเพียงใด ขอเพียงยังมีความหวัง

“ฉันหวังว่าผู้ชมจะเข้าใจว่าโลกเป็นสถานที่ที่มีผู้คนแตกต่างกัน และความพิการก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” 

การเดินทางจากสถาบันการศึกษา สู่ฮอลลีวูดของโลแบร์ตี ไม่ใช่เพียงการเอาชนะขีดจำกัดของตนเองเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าการเป็นนักแสดงของเธอสร้างความหวัง และมีความสำคัญต่อคนอื่น ๆ ในสังคมผู้ทุพพลภาพ คนชายขอบ ที่ไม่อาจยอมให้ตนเองฝันใหญ่เกินไป 

ดังเนื้อหาของซีรีส์ที่แม้จะอยู่ในยุคสงครามที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดหม่น หมองเศร้า แต่ในขณะเดียวกันก็มีแง่มุมของความหวังอันงดงาม ที่เป็นเรื่องอมตะตลอดกาลว่า “ไม่มีสิ่งใดจีรัง”

เมื่อเราต้องเผชิญกับความมืดมิด ในอนาคตเราอาจพบแสงแห่งความหวัง ความกล้า และความรักเป็นแน่ ขอแค่มีความเชื่อมั่น ดังที่ตัวละครมารีบอกว่า ‘แสงสว่างที่สำคัญที่สุด คือแสงที่เราไม่อาจเห็นได้ด้วยตา’

 

เรื่อง: นิภาภรณ์ แพงจำปา (The People Junior)
ภาพ: Getty Image
อ้างอิง:
For Aria Mia Loberti, All the Light We Cannot See Is Just the Beginning | Glamour
Aria Mia Loberti talks about starring in ‘All the Light We Cannot See’ – Rhody Today (uri.edu)
Watch Aria Mia Loberti and Nell Sutton Audition for Shawn Levy's Adaptation of 'All the Light We Cannot See' - Netflix Tudum