16 ม.ค. 2567 | 17:00 น.
/คำเตือน - เรื่องราวต่อไปนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ผู้ที่มีสภาวะอารมณ์หดหู่ ซึมเศร้า ควรหลีกเลี่ยงการอ่านบทความชิ้นนี้/
“เสียใจด้วย คุณสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว”
คือถ้อยคำที่ ‘จอห์น เฟอร์นิส’ (John Furniss) ในวัย 16 ปีได้รับหลังจากพยายามจบชีวิตตัวเอง ทำเอาเขาตกอยู่ในภวังค์ เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่า การจะจากโลกใบนี้ไป เพราะไม่อาจทนต่อสภาพแวดล้อมและภาวะจิตใจที่แหลกสลายจะทำให้ชีวิตต่อจากนี้ทรมานขึ้นอีกเท่าตัว
เขาเป็นแค่วัยรุ่นคนหนึ่งที่ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็น และไม่พร้อมเผชิญกับโลกที่โหดร้าย แล้วทำไมโลกที่เขาอยู่จึงทำร้ายเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมการพยายามจากไปอย่างเงียบ ๆ ถึงไม่สำเร็จ แต่กลับฉุดรั้งไว้ราวกับไม่ต้องการให้เขาได้มีชีวิตหลังความตายที่สงบสุข
“ผมรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกมาตลอด รู้สึกไม่เข้าพวก รู้สึกว่าทุกคนเมินเฉยต่อการมีตัวตนของผม พอคิดแบบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกกังวลและเริ่มหดหู่มากขึ้นเรื่อย ๆ”
ครอบครัวเฟอร์นิสไม่มีใครรู้ว่าลูกชายของตัวเองมีภาวะซึมเศร้า กระทั่งลูกชายตัดสินใจลั่นไกปืนขึ้นในเช้าวันหนึ่งระหว่างที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของญาติที่อยู่ต่างรัฐ
แม้ผู้คนรอบกายจะมีความสุขมากเพียงใด แต่เฟอร์นิสกลับรู้สึกว่าโลกที่ตัวเองรู้จักนั้นช่างห่างไกลจากความเป็นจริง เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนนอกของครอบครัว คนนอกที่ไม่รู้สึกกลมกลืนกับสถานที่ใดเป็นพิเศษ ซึ่งการย้ายบ้านมาอยู่ในต่างถิ่นต่างแดน ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกเข้าไปอีก
“ผมไม่อยากทนมันอีกต่อไป ไม่อยากแม้แต่จะมีชีวิตอยู่”
เช้าวันที่ 10 เมษายน 1998 มือของเด็กหนุ่มก็คว้าเอากระบอกปืนมาจ่อศีรษะก่อนลั่นไก หวังจบทุกอย่างที่เผชิญมาทั้งหมดในชั่วพริบตา
แต่ประตูแห่งความตายไม่ทันได้แง้มออก เฟอร์นิสถูกนำส่งโรงพยาบาลไวโอมิง เขาตื่นมาพร้อมกับอาการมึนงง แม้พยายามลืมตาขึ้นเท่าไรก็เห็นแต่ความมืดมิด เขามองไม่เห็นสภาพตัวเองว่าย่ำแย่เพียงใด แต่สิ่งที่กระจ่างชัดทันทีที่ลืมตาตื่นคือ เขาสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวร
“ผมได้ยินหมอพูดว่าเสียใจด้วย คุณสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว”
การเผชิญหน้ากับความจริงของเด็กหนุ่มวัย 16 ปีทำเขารวดร้าว เขาไม่คาดคิดว่าความพยายามในการปลิดชีพตัวเองจะทำให้เขากลายเป็นคนตาบอด หลังจากใช้เวลาทำใจระยะหนึ่ง เขาคิดว่านี่คือชะตาลิขิต ฟ้าคงต้องการให้โอกาสเขามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อ
เฟอร์นิสเรียนอ่านอักษรเบรลล์ เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตโดยปราศจากดวงตา และพยายามทำให้จิตใจที่แหลกสลายกลับมาเข้มแข็งในเร็ววัน น่าแปลกที่อาการซึมเศร้าทั้งหมดกลับทุเลาลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่หนึ่งเดือนเขาก็คุ้นชินกับโลกมืดบอด เขาสามารถเปลี่ยนยางล้อรถได้โดยตัวคนเดียว
“ผมโตมากับพ่อที่ขลุกตัวอยู่แต่ในโรงรถ ผมเลยคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ผมจะสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวคนเดียว เหมือนกับยัง ‘เห็น’ มันอยู่ตรงหน้าอยู่เลย ถึงตอนนี้ผมจะมองไม่เห็นมันแล้วก็ตาม”
แม้จะปรับตัวได้เร็วเพียงใด แต่เขาก็พบว่ามันยากที่จะใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาอยู่ดี “สำหรับคนตาบอดส่วนใหญ่เขามักจะพึ่งพาคอมพิวเตอร์เป็นหลัก ถูกไหม แต่สำหรับผม ผมว่าการทำคอมพ์มันยากกว่าการทำงานฝีมือเยอะ ผมชอบซ่อมแซมของ ผมชอบทำงานฝีมือ นั่นแหละอุปสรรคแรกสำหรับผม”
จนกระทั่งปี 2005 เขาเข้าร่วมโครงการพัฒนาอาชีพสำหรับผู้พิการทางสายตาในซอลต์เลกซิตี้ ที่นั่นทำให้เขาหลงรักงานไม้เข้าอย่างจัง เขาตัดสินใจลงเรียนวิชางานไม้ต่อ แม้ว่าจะมีหลายคนคัดค้านเพราะสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยในการทำงานเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ แต่เฟอร์นิสไม่สน เขาแค่อยากจะลองทำมันดูสักครั้ง
และได้เข้าเรียนต่อที่ School of Piano Technology for the Blind ในวอชิงตัน เพื่อเรียนรู้วิธีการจูนเปียโน แต่เขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ยังไม่ใช่ชีวิตที่เขาใฝ่หา เขาไม่อยากเลี้ยงชีพด้วยเงินสำหรับผู้พิการ ไม่อยากทำอาชีพที่ไม่ได้ใช้ทักษะมากเท่าที่ควร ระหว่างที่คิดวนเวียนเช่นนั้น เขาได้พบกับผู้หญิงที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล...
เธอชื่อ แอนนี่ หญิงสาวผู้ที่ก้าวมาเป็นคู่ชีวิตและเพื่อนที่พร้อมสนับสนุนทุกความฝันของเขาจนชั่วชีวิต
“เธออยู่ในห้องทำงานเดียวกับผม กำลังซ่อมเปียโนตัวหนึ่งอยู่ และผมก็เข้าไปในห้องพอดี”
ทั้งคู่รู้จักกันผ่านชั้นเรียน และในปี 2016 เธอตัดสินใจซื้อเครื่องกลึงไม้ให้เฟอร์นิสเป็นของขวัญ และของชิ้นนี้ก็เป็นอุปกรณ์คู่ใจช่วยให้เขากลายเป็นช่างไม้ผู้ยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้
อันที่จริงเฟอร์นิสเริ่มเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์หลังจากแอนนี่โพสต์ภาพผลงานไม้ของเขาบนอินสตาแกรม เพียงแค่ไม่กี่ภาพก็ดึงความสนใจของทุกคนได้อยู่หมัด ออเดอร์กระหน่ำเข้ามาถล่มทลาย ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดร้าน Blind Woodsman ขึ้นมา
“บางครั้งคนก็เข้ามาคอมเมนต์บอกว่ารู้สึกเสียใจที่ผมไม่ได้เห็นผลงานที่แสนวิเศษนี้ด้วยตาตัวเอง แต่คุณรู้ไหม ผมน่ะ เห็นมันก่อนที่คุณจะเห็นเสียอีก”
ปัจจุบันเฟอร์นิสในวัย 41 ปียังคงทำงานไม้ที่เขารักต่อไป และออกเดินทางส่งต่อความหวังและแรงบันดาลใจให้คนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เขาไม่เคยรู้สึกเศร้าที่จะพูดถึงการกระทำของตัวเองในอดีตที่ผ่านมา เพราะตระหนักได้อย่างกระจ่างชัดว่า เรื่องราวที่เขาเคยเผชิญมานั้นไม่ได้สลักสำคัญจนทำให้โลกแตกสลาย
“ผมอยากจะบอกตัวเองในช่วงวัยเยาว์ว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น วันพรุ่งนี้จะมาถึงเสมอ และทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงในสักวันหนึ่ง อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อน หรือผู้เชี่ยวชาญ ขอแค่พูดกับใครสักคน เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่จะยอมรับว่าเราอ่อนแอแค่ไหน”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : The Blind Woodsman /Instagram
อ้างอิง