‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้ สู่พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้ สู่พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มผิวเข้มหน้าคมจากปักษ์ใต้ เคยเป็นทั้งชาวประมง - บ๋อย ก่อนชีวิตพลิกผัน กลายมาเป็นพระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

KEY

POINTS

  • ถึงจะอยู่ไกลถึงแดนใต้ ความคมเข้มของเมฆก็เป็นที่เลื่องลือมาถึงกรุงเทพฯ เพราะแทบทุกครั้งที่มีการออกกองที่กระบี่ เมฆก็จะถูกคนในกองถ่ายชักชวนให้เขาวงการ ซึ่งเขาก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะกลัวจะถูกหลอก และไม่เชื่อว่าตัวเองจะหล่อถึงขั้นเป็นดาราได้ 
  • ปี 2542 นับเป็นปีที่ทำให้ชื่อของ ‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร กลายเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศ หลังจากเขาได้รับบทเป็น ‘พี่มาก’ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘นางนาก’ ประกบคู่กับ ‘ทราย เจริญปุระ’ ผลงานกำกับของ ‘อุ๋ย’ นนทรีย์ นิมิบุตร
  • เขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจ จึงได้รับการวินิฉัยว่าเป็น ‘โรคตุ่มน้ำพอง’ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่สามารถระบุสาเหตุได้

แม้ในช่วง 5 – 6 ปีมานี้ รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปจากเดิม หลังป่วยด้วยโรคตุ่มน้ำพอง แต่เมื่อใดที่เอ่ยชื่อ ‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร ภาพของ ‘พี่มาก’ ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าคมเข้ม รูปร่างบึกบึนสไตล์ชายไทยยุคโบราณ ในภาพยนตร์ระดับตำนาน ‘นางนาก’ จะลอยขึ้นมาในหัวแฟนหนังทันที

พ่วงด้วยนามสกุลต่อท้ายโดยอัตโนมัติว่า “พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย” 

ในช่วงยุคทองของเส้นทางอาชีพนักแสดง เขาลอยตัวขึ้นสูงสมชื่อ ‘เมฆ’ สะสมชื่อเสียงและเงินทอง รายล้อมด้วยหญิงสาวมากมาย 

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เมฆ’ วันหนึ่งก็ต้องกลั่นตัวเป็นหยดน้ำร่วงหล่นลงมาเป็นฝน ชีวิตมีขึ้นมีลงเป็นสัจธรรม ถึงกระนั้นเมฆก้อนนี้ก็ยังไม่หมดความพยายามในการลอยขึ้นฟ้าให้ได้อีกครั้ง แม้อาจจะสูงได้ไม่เท่าเดิม 

โชคดีที่ระหว่างการเดินทาง เมฆก้อนนี้ไม่ได้ลอยขึ้นไปเพียงลำพัง หากแต่มี ‘สภาพอากาศที่เป็นใจ’ คอยโอบอุ้มประคับประคองด้วยความห่วงใยทะนุถนอม 

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของ ‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร ตำนานพระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย ที่ได้จากไปอยู่บนท้องฟ้าตลอดกาล ทิ้งไว้เพียงผลงาน ความรัก และสัจธรรมชีวิต 

หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้

วินัย ไกรบุตร หรือ เมฆ เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ปี 2512 ที่อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดีนัก พอจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล เขาก็เข้าเรียนต่อ ปวช. ที่วิทยาลัยเทคนิคกระบี่ ก่อนจะมาเรียนต่อปริญญาตรีและโทที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาในภายหลัง

เมื่อปี 2560 เขาเล่าถึงชีวิตวัยเด็กก่อนในรายการ ‘แฉ’ ทางช่อง GMM25 ว่า เขาต้องช่วยพ่อแม่ทำนา และเลี้ยงควาย ตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ พอโตเป็นหนุ่มก็ทำงานหลากหลายอาชีพ เคยเป็นมาแล้วทั้งชาวประมง ไกด์ดำน้ำ กรรมกร และพนักงานโรงแรม

แต่แม้จะอยู่ไกลถึงแดนใต้ ความคมเข้มของเมฆก็เป็นที่เลื่องลือมาถึงกรุงเทพฯ เวลาที่มีการออกกองที่กระบี่ เมฆจะถูกคนในกองถ่ายชักชวนให้เขาวงการ ซึ่งเขาก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะกลัวจะถูกหลอก และไม่เชื่อว่าตัวเองจะหล่อถึงขั้นเป็นดาราได้ 

แต่เมื่อถูกคนทักบ่อย ๆ ว่า เขาไม่ควรหยุดตัวเองที่การเป็นเด็กยกกระเป๋าในโรงแรม เขาจึงเริ่มหวั่นไหวแล้วกลับมานั่งคิดว่า เขาจะมีชีวิตอยู่บนเกาะแบบนี้ไปตลอดเลยเหรอ? ทีนี้พอมีเพื่อนจากกรุงเทพฯ มาชวนไปกรุงเทพฯ เขาจึงตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน ลุยเป็นลุย!

ถึงจะเป็นหนุ่มฮอทที่กระบี่ แต่เมื่อมาอยู่กรุงเทพฯ ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ง่าย เมฆจำได้ว่าเขากับเพื่อนรวม 7 – 8 คน ต้องไปเช่าห้องอยู่รวมกันแถวพระรามสอง แต่เนื่องจากห้องเช่าให้อยู่ได้แค่ 4 คน พวกเขาจึงต้องสลับกันเข้าไปนอนที่ห้องครั้งละ 4 คน แบ่งเป็นช่วงกลางวัน - กลางคืน โดยตัวเขาได้นอนช่วงกลางวัน พอตกกลางคืนก็ออกไปหางานแถวมาบุญครอง ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรับจ้างล้างจาน 

ช่วง 1 – 2 เดือนแรกที่เข้ามาหางานในกรุงเทพฯ เขาเจอแมวมองเยอะมาก ได้นามบัตรจากแมวมองเพียบ แต่ก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ สุดท้ายจึงใจอ่อนกับแมวมองสาวที่ชื่อ ‘รุ่งระวี’ เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่น่าจะหลอกกัน

เจอกันวันแรก คุณรุ่งระวีก็ขอถ่ายรูปเมฆ แล้วชวนไปเล่นโฆษณา ‘แบงก์กรุงเทพ’ ซึ่งเมฆก็เอะใจทันที “หน้าอย่างกูเนี่ยนะ” แล้วยิ่งตอนไปแคสต์ คู่แข่งของเขาก็มีแต่ลูกครึ่งฝรั่งหล่อ ๆ เขาจึงเริ่มถอดใจ

ผ่านไป 10 วัน จึงมีการติดต่อกลับมาที่เมฆ ผลก็คือเขาได้เล่นเป็น ‘เมน’ (main หรือตัวหลัก) ซึ่งทำเอาเขาถึงกับงงหนัก เพราะตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่า เมน หมายถึงอะไร รู้แต่ว่าได้ค่าตัว 3 หมื่นบาท 

“ก็มีความรู้สึกว่าอยู่กรุงเทพฯได้อีก 6 เดือนละ ถ้าใช้เดือนละ 5 พัน ก็เฮเลย แล้วสักพักพอโฆษณาออกก็ได้ถ่ายงานอีกเยอะเลย” เมฆเล่าความหลังในรายการแฉ

ในช่วงปี 2535 เมฆพลิกชีวิตจากหนุ่มอาชีพรับจ้างไปเป็นนายแบบ ถ่ายโฆษณา เล่นมิวสิกวิดีโอ จากนั้นจึงได้แสดงละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ราว 4 - 5 เรื่อง เช่น หอบรักมาห่มป่า (พ.ศ. 2537) ผู้ชายหัวใจไม่พายเรือ (พ.ศ. 2538) เป็นต้น 

ชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเริ่มดีขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าชีวิตจะพุ่งไปได้สูงกว่านั้น

‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้ สู่พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย 

ปี 2542 นับเป็นปีที่ทำให้ชื่อของ ‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร กลายเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศ หลังจากเขาได้รับบทเป็น ‘พี่มาก’ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘นางนาก’ ประกบคู่กับ ‘ทราย เจริญปุระ’ ผลงานกำกับของ ‘อุ๋ย’ นนทรีย์ นิมิบุตร

ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์ที่เน้นความสมจริงทางประวัติศาสตร์มากขึ้นกว่าทุกฉบับที่เคยสร้างกันมา นางนากจึงประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ กวาดรายได้ไปมากกว่า 150 ล้านบาท ขึ้นแท่นภาพยนตร์ไทยร้อยล้านเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ และสามารถโค่น ‘Titanic’ ที่ทำสถิติรายได้สูงสุดของประเทศไทยอย่างไม่มีใครคาดคิด กลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญของวงการภาพยนตร์ไทยตราบจนถึงทุกวันนี้ 

‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้ สู่พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

แน่นอนว่าองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จคือฝีมือการแสดงของสองนักแสดงนำ ที่หลังจากนั้นก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และได้ร่วมงานกันในเวลาต่อมาอีกหลายเรื่อง ทั้งอตีตา, รอยไถ และเสือสั่งฟ้า

ทราย เจริญปุระ โพสต์ความทรงจำที่มีต่อเมฆว่า “ยังจำวันที่เด๋อ ๆ ด๋า ๆ ไปนั่งรอแคสต์บทที่ออฟฟิศพี่อุ๋ยแล้วเจอพี่เมฆที่มาแคสต์เหมือนกัน ได้อวยพรกันให้ต่างคนต่างโชคดี ขอให้ได้งานนี้กันนะ 

“ในช่วงเวลานั้น ถ้าได้เล่นนางนากก็จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราทั้งสองคนได้มีผลงานที่แปลกออกไป เราเองไม่เคยเล่นหนังเลย ทำงานมาได้ 3 – 4 ปี จะเป็นเด็กสาวน่ารักก็ไม่ได้ จะไปต่อทางไหนก็ยังมองไม่เห็นทาง พี่เมฆเองยังพูดขำ ๆ ว่า จะออกจากวงการแล้วเนี่ย ไม่มีใครเรียกแล้ว

“จริง ๆ ตอนแรกบทอ้ายมากจะหลุดจากพี่เมฆไปเป็นนักแสดงท่านอื่นแล้ว ขนาดไปเทสฟิล์มกันแล้วเรียบร้อยกับอีกคน แต่สุดท้ายพี่อุ๋ยก็ตัดสินใจให้เป็นพี่เมฆ ทำงานกันไป ปลอบใจกันเองไป ว่านึกไม่ออกเลยนะ ว่าใครจะมาดูหนังที่คนตัวดำ ๆ ผมสั้น ๆ นุ่งห่มสีมอ ๆ เล่นกันอยู่แทบจะสองคนทั้งเรื่อง แต่ถ้าจะมีคนมาดู จะบังเอิญซื้อตั๋วหรือได้แจกฟรีมา ก็อย่าให้เขาด่าได้ ว่าพระนางมันเล่นแสนจะห่วยแตก เราก็เต็มที่กันเนอะ

“พี่เมฆเป็นคนเต็มที่จริง ๆ ไม่เกี่ยงงอน ตั้งแต่ตอนนางนากแล้ว และแกบอกว่าทุกเรื่องหลังจากนางนากคือของขวัญสำหรับแก สำหรับคนที่คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้เล่นอะไรในวงการแล้ว จะเรื่องอะไรเข้ามาแกสู้หมด

“เต็มที่แล้วจริง ๆ นะพี่นะ ขอบคุณมาก ๆ และดีใจอย่างยิ่งที่เราได้ร่วมงานกัน”

หากตีความจากข้อความของทรายจะเห็นว่า สำหรับเมฆแล้ว นางนากไม่เพียงแต่ชุบชีวิตวงการภาพยนตร์ไทยให้กลับมาคึกคัก แต่ยังได้ชุบชีวิตในวงการบันเทิงของเขาให้กลับมาอีกครั้ง 

“ฟลุกมาก โชคดีตรงที่ว่าพอนางนากร้อยล้าน เรื่องที่สองคือบางระจัน มันต่อจิ๊กซอว์พอดีเป๊ะ” เมฆเล่าในรายการแฉ และบอกอีกว่า ต่อมางานละครก็ติดต่อเข้ามาเยอะจนเขารับไม่หวาดไม่ไหว บางช่วงที่งานล้นมากเขาถึงกับเหนื่อยจนร้องไห้

“5 ปีทำงานทุกวัน ทำจนไปหาหมอ หมอบอกว่าคุณหน่ะ หุ่นข้างนอกดูดีนะ แต่ข้างในกลวงหมดแล้ว ตกใจเลย เพราะเราตื่นตี 4 ตื่น 6 โมงเช้า เดินทางอีก 3 ชั่วโมง เรารู้เลยว่าชีวิตมันไม่ใช่อย่างนี้”  

“ตอนนั้นมีคนบอกว่าคุณเป็นพระเอกที่เยอะมาก ลืมตัวเลย” ‘มดดำ’ คชาภา ตันเจริญ พิธีกรรายการแฉ เอ่ยปากถามด้วยความอยากรู้ ซึ่งเมฆก็ยอมรับตามตรงว่า “อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ลืมตัวหรอก เป็นคนอารมณ์ร้อน หงุดหงิด เสียงดัง พูดจาภาษาเถื่อน ๆ มีโมโห เวลาใครช้า ใครเลท ถามว่าตอนนั้นเยอะไหม ก็เยอะนะ ผมมาย้อน ๆ ดู เออ เยอะเว้ย ไม่อดทน คุณผิดเวลา ผมก็ไม่อดทน” 

‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้ สู่พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

แต่ถึงจะโหมทำงานจนเสียสุขภาพ และถูกใคร ๆ มองว่าเรื่องเยอะ หลังจากนั้นเมฆก็ไม่มีผลงานเรื่องไหนประสบความสำเร็จเทียบเท่านางนาก และบางระจัน อีกเลย แล้วต่อมาผลงานการแสดงจึงค่อย ๆ ลดลง 

“เป็นข้อต่อชีวิตเลย เราเป็นพระเอกอยู่ ผ่านไป 5 ปี พอปีที่ 6 เงียบไป แล้วอยู่ ๆ ต้องเป็นตัวสองนะ ตัวร้ายนะ สักพักเป็นตัวดี ตามพระเอกทุกตอนเลย ก็เกิดคำถามว่าทำไมต้องเป็นผู้ร้าย ทำไมได้บทนี้ ทำไมไม่ได้เป็นพระเอก จังหวะนั้นพอเจอสัก 4 - 6 เรื่อง เลยบุกธุรกิจ ตัดสินใจไปทำปุ๋ยเลย

“ผมจะบอกว่าใครไม่อยู่โมเม้นต์ตรงนั้นคงไม่เข้าใจ แล้วผมเองเป็นคนต่างจังหวัด อยู่คนเดียว มันสับสนมากว่าจะเดินยังไงดี ถ้าจะรอต้องรออีกนานแค่ไหน ยังรับไม่ได้ ชีวิตมันแปลก ๆ” 

ลุยธุรกิจหาอาชีพเสริม

ในช่วงที่เริ่มรู้ว่างานแสดงจะไม่จีรังยั่งยืน เมฆเริ่มหาอาชีพเสริมทั้งทำปุ๋ย ทำร้านอาหาร ผับ ร้านสปา ร้านกาแฟ แต่สุดท้ายเงินที่ลงไปก็เจ๊งหมด ทั้งที่เขาทุ่มเทลงไปมาก โดยเฉพาะธุรกิจปุ๋ย ที่ต้องตระเวนเดินทางเองทุกจังหวัด ทำทุกอย่างคนเดียว 

เขาเล่าด้วยว่า ตอนแรกธุรกิจปุ๋ยมีแนวโน้มดีมาก แต่จู่ ๆ ราคาปุ๋ยก็ลดลงจากกระสอบละ 1,500 บาท เหลือ 600 บาท ทำให้ลูกค้าที่ซื้อปุ๋ยจากเขาไปอยู่ไม่ได้ เจ๊งไปตาม ๆ กัน 

เขาจึงต้องกลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่งานก็ไม่ได้ชุกทุกวันเหมือนเดิม 

ผู้หญิงคือยาพิษ?

ในรายการ ‘Club Friday Show’ เมฆให้สัมภาษณ์ในปี 2561 ขณะวัยเฉียด 50 ปีว่า ตอนยังไม่เข้าวงการบันเทิง ช่วงที่ทำงานเป็นบ๋อย เป็นพนักงานต้อนรับในโรงแรม เขามีสาวเข้ามาติดพันเยอะมาก แต่ไม่ยอมตกลงคบใครเป็นแฟนจริงจัง เพราะไม่อยากผูกมัด

และเพราะความเจ้าเสน่ห์นี่เอง ยังเกือบทำให้เขาสิ้นชื่อตั้งแต่อยู่กระบี่ เขาเล่าว่าตอนนั้นคบกับนักร้องคนหนึ่งที่ขี้หึงมาก พอนักร้องคนนี้เห็นเขาพาสาวขึ้นลิฟต์ที่โรงแรม เธอก็หยิบมีดขึ้นมา แต่โชคดีที่ลิฟต์ปิดไปก่อน และเขาหาทางหนีทีไล่ได้ทัน 

“ตอนนั้นนึกถึงคำที่พ่อสอนเลยว่าผู้หญิงคือยาพิษ” 

แต่พอเข้าวงการแล้ว เมฆก็ยังไม่ทิ้งนิสัยนี้ ช่วงที่เปิดผับเขาก็ยังคงเป็นหนุ่มป๊อบปูลาร์ วันหนึ่งพาผู้หญิงขึ้นรถ ปรากฏว่าผู้หญิงอีกคนเห็นเข้า เช้ามาก็มีข่าวว่าผู้หญิงคนนั้นวิ่งข้ามถนนแล้วโดนรถชน 

อีกเคสที่เขาจำไม่ลืมคือผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกกับเขาว่า เลิกกับสามีแล้ว แต่จู่ ๆ สามีของผู้หญิงก็โทรแล้วขู่ว่า “เดี๋ยวกูจะตามมึงไปที่กองถ่าย” 

ปัญหาสาว ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เมฆยอมรับว่าเกิดจากความเห็นแก่ตัว อ่อนไหว และอ่อนแอ ของเขาเอง ที่ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองไปถึงจุดที่มีความสัมพันธ์จริงจัง 

แต่หลังจากเริ่มเหนื่อยกับการสับราง เขาก็ลองใช้ชีวิตนิ่ง ๆ ประมาณ 2 ปี จนถึงจุดที่ตกผลึกกับตัวเองว่า “อยากมีครอบครัวแล้ว” 

แต่วิธีการหา ‘คนที่ใช่’ สำหรับพระเอกร้อยล้าน จะธรรมดาไม่ได้ 

เมฆตั้งสเปคว่า คนที่จะมาเป็นภรรยาของเขาจะต้องเป็นคนที่ ‘ใจกล้า’ เพราะต้องอยู่สู้ด้วยกันไปตลอดชีวิต 

สาเหตุเพราะเขาได้เรียนรู้แล้วว่า ตอนมีชื่อเสียง ใครต่อใครก็จะรุมเข้าหาเขา แต่ยามที่เขาตกอับ ไม่มีใครอยากเข้าหา 

เขาเปลี่ยนกลยุทธ์จากการหว่านเสน่ห์ไปใช้วิธีที่ตัวเองเรียกว่า ‘หยาบคาย’ 

ไม่ได้หมายความว่าพูดหยาบคาย แต่หมายความว่าไม่อ่อนหวาน ถ้าอยากจีบก็ถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม 

ผู้หญิงที่เจอวิธีจีบแบบหยาบคายของเมฆคือ ‘คุณเอ๋’ อรชัญญาช์ ที่ทำงานด้านการดูแลเส้นผม

ทั้งคู่เจอกันผ่านการคุยงาน ตอนแรกคุณเอ๋ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ชายผู้ใช้นามแฝงว่า ‘อินดี้ ฮาร์เกอร์’ คือ ‘วินัย ไกรบุตร’ 

หลังจากเริ่มแชตกันถี่ขึ้น วันหนึ่งแม่ของคุณเอ๋ก็เดินผ่านมาเห็น แล้วทักว่า “คนนี้เป็นดารานี่” พอคุณเอ๋เสิร์ชข้อมูลในกูเกิล จึงได้รู้ความจริงว่าคนที่เธอคุยด้วยนั้นคือระดับพระเอกดัง 

ทั้งคู่เล่าในรายการ Club Friday ว่า ช่วงที่คุยกันแรก ๆ เมฆแสดงความเถื่อนใส่คุณเอ๋ ด้วยการบอกว่า อย่ามาตื๊อ อย่ามาตามนะ แต่คุณเอ๋ก็ตอบกลับว่า ไม่ตามหรอก เพราะชีวิตนี้มีแต่คนมาตาม 

คุยกันเป็นปีจึงได้เจอกันตัวเป็น ๆ ที่ออฟฟิศของคุณเอ๋ แล้วเมฆก็โชว์ความเถื่อนใส่ด้วยการถามต่อหน้าลูกน้องของคุณเอ๋ว่า “จีบได้ไหม” ซึ่งคุณเอ๋ก็ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า “จีบได้ แต่อย่ามาเล่นนะ เอ๋อายุเยอะแล้ว” 

ความรักของทั้งคู่ก่อตัวขึ้นแบบไม่หวาน ไม่มีโปรโมชั่น แต่เป็นลักษณะการเข้ามาเป็นเพื่อน คุยกันเรื่องปัญหาธุรกิจ เพราะตอนนั้นเมฆเริ่มประสบปัญหากับธุรกิจปุ๋ย หลังจากนั้นคุณเอ๋ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความรับผิดชอบ และความกตัญญู ที่เมฆมีอย่างเต็มเปี่ยม เขาย้อนกลับดูแลให้พี่น้องทุกคนเรียนจบ ตัวเองไม่มีไม่เป็นไร แต่ที่บ้านต้องมี

ในวันที่คุณเอ๋พาเมฆเข้าไปพบครอบครัวครั้งแรก เมฆก็ลองใจอีกครั้งด้วยการใส่กางเกงขาสั้น ใส่ต่างหูใหญ่ ๆ เล่นเอาพ่อแม่ของคุณเอ๋ถึงกับนิ่ง แต่พอได้คุยกันแล้ว ผู้ใหญ่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจและจริงจังของทั้งคู่ สองหนุ่มสาวจึงได้เดินเข้าสู่ประตูวิวาห์กันในปี 2554 

ช่วงก่อนจะได้ครองคู่กัน คุณเอ๋ก็เจอบททดสอบจิตใจหลายครั้ง ทั้งข้าวของของผู้หญิงที่วางเกลื่อนกลาดเต็มบ้านของเมฆ ไหนจะบรรดาสาว ๆ ที่ขับรถหวังมาหวังเซอร์ไพรส์เมฆตอนกลางคืน 

โชคดีที่เมฆได้เจอกับผู้หญิงที่แสนจะหนักแน่น

“เอ๋บอกตัวเองว่า วันไหนที่เราจะจากเขาไป มีวันเดียวคือเราไม่มีความสุขในชีวิตแล้ว การที่ผู้หญิงสักคนจะไม่มีความสุขในชีวิต มันเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้ มันต้องหยุด ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ ก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความถึงแค่เรื่องความรัก แต่ในทุก ๆ เรื่อง แต่เหมือนกับทุกวันนี้ที่เรายังอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกว่าตื่นมาแล้วเรามีความสุขในทุกวันที่เราจะก้าวต่อไป ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไร เรารู้สึกว่าเราสู้ไปด้วยกันได้ เพราะว่าเราเลือกเขาเป็นคู่ชีวิตของเราแล้ว

“เราพร้อมที่จะเสี่ยงตั้งแต่วันที่เราจับมือเขาไปด้วยกันแล้ว” 

ก่อนจะแต่งงาน ครอบครัวของทั้งคู่ต่างเอาวันเดือนปีเกิดของอีกฝ่ายไปให้หมอดูตรวจสอบ แล้วก็ได้คำตอบว่าทั้งสองคือคู่ชีวิตที่จะอยู่กันไปจนตายจาก

ปัจจุบัน ทั้งคู่มีพยานรักด้วยกัน 3 คน เป็นลูกชาย 1 คน ลูกสาว 2 คน 

ในช่วงท้ายรายการ เมฆกล่าวว่า หลังแต่งงาน เขาพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เขากลายเป็นคนที่เลิกงานปุ๊บ อยากกลับบ้านไปอยู่กับลูกกับเมีย ในขณะที่ผู้ชายหลาย ๆ คน เลิกงานแล้วยังไม่อยากกลับบ้าน นอกจากนี้ยังได้พูดถึงเรื่องบาปกรรมเอาไว้ว่า

“ผมว่าผู้ชายเจ้าชู้ก็เจ้าชู้ได้ แต่อย่าไปทำให้ใครเจ็บ มันจะเป็นบาปกรรม ผมบอกตรง ๆ เลย ผมบอกตัวเอง ผมคงบาปหนามาก ที่ทำให้คนโน้นคนนี้เสียใจโดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมไม่ได้คิดอะไร แต่คนอื่นเขาคิด มันก็เป็นบาป ต้องยอมรับว่ามันเป็นบาปแน่นอน แต่ว่าสิ่งที่ผมทำไว้ ผมบอกทุกคนตรงนี้เลยว่า บาปอะไรที่ผมทำไว้ กรรมมันย่อมตามสนองคนคนนั้น คุณหนีไม่พ้น ผมก็ยอมรับในชะตากรรมที่มันเกิดขึ้น” 

เมื่อพิธีกรถามย้ำว่า ทุกวันนี้ผู้หญิงยังเป็นยาพิษสำหรับเขาอยู่หรือไม่ เขามองไปที่ภรรยาและลูกสาวด้วยความรัก ก่อนจะตอบว่า “ผู้หญิงคงไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมตอนนี้” 

โรคตุ่มน้ำพอง

ปี 2562 เมฆไปอกรายการเลขอวดกรรมทางช่อง WorkPoint เป็นครั้งที่ 2 ด้วยรูปลักษณ์ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ใช่หนุ่มร่างกำยำเหมือนในอดีต แววตาก็ไม่ค่อยสดใสขี้เล่นเหมือนเดิม 

เขาเล่าให้ ‘แมทธิว ดีน’ และ ‘ริว จิตสัมผัส’ ฟัง ถึงอาการป่วยที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

โดยเขาเริ่มมีอาการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 หลังกลับจากทำงานก็เริ่มคันที่ฝ่ามือ พอเกาแล้วก็กลายเป็นตุ่มขึ้นมา ลุกลามไปเกือบทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่หัว หน้าอก แขน ขา ที่ทรมานสุดคือในปาก เพราะมันทำให้กลืนน้ำลายไม่ได้ หายใจไม่สะดวก เขาพยายามรักษามาเกือบ 2 เดือน ไปหาหมอเกือบสิบคน แต่ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นโรคอะไร หนักเข้าเขาถึงกับต้องฉีดสเตียรอยด์

“ถ้าพูดแบบตามที่คิดก็เหมือนกำลังโดนโยนใส่กระทะทองแดง มันร้อน มันแสบคอ คุณนึกดูสิ แผลเต็มตัว ผมราดน้ำเกลือแต่ละที ผมร้องโหยหวนในห้องน้ำคนเดียว น้ำเกลือ 3 ขวด ผมร้องลั่นเลย” เมฆบรรยายความเจ็บปวดที่ร่างกายของเขาต้องเผชิญ 

กระทั่งเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจ จึงได้รับการวินิฉัยว่าเป็น ‘โรคตุ่มน้ำพอง’ ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่สามารถระบุสาเหตุได้

แม้ในวันที่มาออกรายการ อาการของเขาจะเริ่มทุเลาลง แต่เขาก็ทำใจแล้วว่า อาการอาจจะกลับมาได้อีกครั้ง สิ่งเดียวที่เขาจะทำคือ ‘สู้’ 

หลังจากถูกทักเรื่องเจ้ากรรมนายเวร 7 คน เมฆก็ตระเวนไปขอขมากรรม ทำบุญทำทาน เพื่อความสบายใจ อาการของเขาเริ่มดีขึ้นจนสามารถขับรถไปรับลูกได้ 

ปี 2566 เมฆเปลี่ยนชื่อจาก ‘วินัย ไกรบุตร’ เป็น ‘หัฒศนัย ไกรบุตร’ เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘เปิดปากกับภาคภูมิ’ ทางช่องไทยรัฐทีวีว่า “วินัย ไกรบุตร ตายไปแล้ว เหลือแต่ หัฒศนัย ไกรบุตร” 

‘เมฆ’ วินัย ไกรบุตร หนุ่มเจ้าเสน่ห์จากปักษ์ใต้ สู่พระเอกร้อยล้านคนแรกของไทย

ต่อมาในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2567 บนช่องติ๊กต๊อก @winaikraibutr มีการแชร์คลิปวิดีโอ พร้อมแคปชั่น “ผ่อนคลายด้วยมือ น้องแมม รักลูกครับ” เป็นคลิปที่เมฆนอนพักอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล โดยมีลูกสาวคือน้องแมมคอยดูแลใกล้ชิด ขณะที่ก่อนหน้านั้นเมฆอัพเดตอาการว่า ตนมีเลือดออกทุกวันวันละนิดวันละหน่อย เป็นเวลา 3 เดือนกว่า เป็นลมหมดสติในห้องน้ำ 3 รอบ จนขาดเลือด ชาดธาตุเหล็ก ขาดเกลือแร่ ขาดน้ำ ขาดทุกอย่างที่เป็นสารอาหารในร่างกาย จึงต้องมาโรงพยาบาล และต้องแอดมิท 

“ไม่รู้เหมือนกันว่ากี่วัน น่าจะหลายวันเหมือนกัน สัก 10 วัน เพราะต้องให้ร่างกายฟื้น ถึงจะกลับบ้านได้ ขอบคุณครับ” 

คืนวันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 23.49 น. “เมฆ วินัย ไกรบุตร” ได้จากไปอย่างสงบ ด้วยภาวะความดันต่ำ และติดเชื้อในกระแสเลือด โดยมีภรรยาคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง

ขอให้การเดินทางครั้งนี้ของก้อนเมฆ ราบรื่นและสุขสงบ  

 

เรื่อง : พาฝัน ศรีเริงหล้า

ภาพ : หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) 

อ้างอิง :

แฉ - วินัย ไกรบุตร I ร้าน Crab Shack Bangkok วันที่ 6 มิถุนายน 2560
Club Friday SHOW วินัย ไกรบุตร [EP.154] วันที่ 10 มีนาคม 2561
เลขอวดกรรม | วินัย ไกรบุตร | 10 ต.ค. 62 Full HD
“เมฆ วินัย” เปลี่ยนชื่อเป็น “เมฆ หัฒศนัย” บอกคนเก่าเป็นศพ ตายไปแล้ว เหลือแต่คนใหม่
"วินัย ไกรบุตร" คลิปล่าสุด! ซูบผอม ร่างกายขาดสารอาหาร ลูกสาวดูแลไม่ห่าง
ย้อนประวัติ ‘วินัย ไกรบุตร’ ร่วมอาลัย พระเอกหนังไทยร้อยล้านเรื่องแรก นางนาก
นางนาก | หอภาพยนตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) 
‘นางนาก’ ฉลองครบรอบ 20 ปี เตรียมคืนจอภาพยนตร์อีกครั้งกรกฎาคมนี้
ประวัติ "เมฆ วินัย ไกรบุตร" พระเอกร้อยล้าน ผู้พบวิบากกรรมจากอาการป่วย