03 มี.ค. 2568 | 08:16 น.
KEY
POINTS
ออสการ์สาขานักแสดงนำชายที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ จากเรื่อง ‘The Pianist’ (2002) ‘เอเดรียน โบรดี’ (Adrien Brody) เดินทางมาไกลมากในเส้นทางบันเทิงฮอลลีวู้ด วงการที่ขึ้นชื่อว่าโหดหินและไม่ใช่ที่ความฝันของทุกคนจะเป็นจริง เขาเป็นเหมือนตัวแทนความฝันความหวังของลูกหลานผู้อพยพจากยุโรปที่ต้องการมีชีวิตใหม่ในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเปิดกว้างให้กับเสรีภาพ
ผ่านมา 22 ปีหลังจากที่เขาคว้าชัยชนะครั้งแรกสร้างชื่อให้เป็นที่จดจำ ในวันนี้เขาคว้าชัยชนะครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ จาก ‘The Brutalist’ (2024) ในบทบาทสถาปนิกฮังกาเรียนเชื้อสายยิวผู้รอดตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แต่ต้องมาต่อสู้กับสงครามในใจบาดแผลฝังลึกและด้านมืดของวิญญาณที่แตกสลาย การถ่ายทอดความรู้สึกนี้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับคำชมว่าเป็นการแสดงแห่ง ‘ประวัติศาสตร์’
เอเดรียน นิโคลัส โบรดี (Adrien Nicholas Brody) เกิดเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1973 ในแจ็คสันไฮท์ส ควีนส์ นิวยอร์ก เป็นบุตรของ ‘ซิลเวีย พลาชี’ (Sylvia Plachy) ช่างภาพ และ ‘เอลเลียต โบรดี’ (Elliot Brody) ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์และจิตรกรที่เกษียณอายุแล้ว พ่อของโบรดีมีเชื้อสายยิวโปแลนด์ แม่ของโบรดีเกิดในบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี และย้ายมาที่สหรัฐอเมริกาหลังจากการปฏิวัติฮังการีในปี 1956
ตั้งแต่เด็กเขารู้ตัวมาตลอดว่าชื่นชอบการแสดงและได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว ได้เรียนการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้ศึกษาด้านการละครที่ลาการ์เดีย ไฮสคูล ออฟ เดอะ เพอร์ฟอร์มิง อาร์ตส์ (Fiorello H. LaGuardia High School of Music & Art and Performing Arts) ซึ่งพ่อแม่ของเขาคิดว่าที่เรียนการแสดงจะช่วยให้เขาห่างไกลจากพวกเด็กเกเร ที่นี่เขาได้เรียนคลาสการแสดง 4 วิชาต่อวัน แต่สิ่งที่โบรดีบอกว่าช่วยเขาได้มากในการพัฒนาทักษะการแสดงก็คือการนั่งรถไฟมองผู้คนระหว่างทางนานนับชั่วโมงระหว่างไปกลับโรงเรียน
เมื่ออายุ 12 ปี โบรดีก็ได้ขึ้นแสดงละครเวที off-Broadway และมีบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์โทรทัศน์ ตอนอายุ 14 ปีซึ่งทำให้เขาได้เดินทางไปถ่ายทำหนังที่เนบราสกาเป็นครั้งแรก จากนั้นเส้นทางการแสดงของโบรดีเริ่มไปได้สวยหลังจากได้แสดงหนัง Bullet ในปี 1996 ซึ่งเรื่องนี้เขาได้ทำงานกับแร็ปเปอร์ผู้ล่วงลับ ‘ทูพัค ชาเคอร์’ (Tupac Shakur) และนักแสดงมากฝีมือ ‘มิกกี รูก’ (Mickey Rourke) และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘Independent Spirit Award’ ครั้งแรกจากเรื่อง ‘Restaurant’ ในปี 1998 ซึ่งทำให้เขาได้งานดี ๆ ของผู้กำกับดังอย่างต่อเนื่องทั้ง ‘Summer of Sam’ ของ ‘สไปก์ ลี’ และเรื่อง ‘The Thin Red Line’ ของ ‘เทอร์เรนซ์ มาลิก’ และต่อมา ผู้กำกับ ‘โรมัน โปลันสกี’ รู้สึกชื่นชอบการแสดงของเขาในภาพยนตร์เรื่อง ‘Harrison's Flowers’ (2000) ของ ผู้กำกับฝรั่งเศส ‘เอลี ชูราคี’ เลยติดต่อเสนอบทนำให้เขาใน ‘The Pianist’ (2002) ซึ่งเขาต้องรับบทเป็นนักเปียโน ‘วลาดิสลอว์ สปิลแมน’ ผู้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอดในกรุงวอร์ซอภายใต้การยึดครองของเยอรมันและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี
เพื่อเตรียมตัวสำหรับบทบาทนี้โบรดีต้องใช้เวลาหลายเดือนเรียนเปียโนวันละสี่ชั่วโมงจนกระทั่งเขาสามารถเล่นท่อนเพลงจากผลงานที่ดีที่สุดบางเพลงของ ‘โชแปง’ ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนสูงถึง 185 เซนติเมตรแต่เขาก็ยอมทุ่มเทลดน้ำหนักไป 14 กิโลกรัม จนเหลือ 59 กิโลกรัม เพื่อให้ได้รูปลักษณ์ของคนที่ต้องอดอยากในช่วงสงคราม บทบาทนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก BAFTA, Golden Globes และ SAG Awards แต่โบรดีไม่ได้รับรางวัลใด ๆ จนเมื่อเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สาขา ‘นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม’ เขาก็ไม่อยู่ในกระแสความสนใจใด ๆ เป็นเหมือนม้านอกสายตา แต่สุดท้ายแล้วเขากลับคว้ารางวัลมาได้แบบสุดเซอร์ไพรส์ ทำให้เขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยได้รับรางวัลนี้ในวัย 29 ปี และกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงไม่กี่คนที่ชนะรางวัลออสการ์ โดยที่ไม่มีรางวัลอื่นใดมาก่อนสำหรับผลงานการแสดง
สิ่งที่ทำให้การรับรางวัลออสการ์ของโบรดีเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้คือการคว้านักแสดงสาวสุดฮ็อตในตอนนั้นอย่าง ‘ฮัลลี แบร์รี’ ที่มาทำหน้าที่ตามธรรมเนียมนักแสดงหญิงมอบรางวัลให้นักแสดงชายมาจูบแบบที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว และด้วยไหวพริบของเธอทำที่เล่นตามน้ำทำให้สถานการณ์หน้างานดูกระอักกระอ่วนน้อยลง แต่เมื่อคำนึงถึงความเหมาะสมหลาย ๆ อย่างแล้ว มันก็เป็นการบังคับจูบที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้ว่าแบร์รีจะเล่นมุกจูบนักแสดงชายตอนรับรางวัลแบบเดียวกันในปี 2009 เมื่อตอนที่เธอไปรับรางวัล ‘Decade of Hotness award’ ของ ‘Spike TV's 2009 Guys Choice Awards’ โดยเธอเดินไปจูบ ‘เจมี ฟ็อกซ์’ ซึ่งเป็นการเตี๊ยมกัน เพื่อเลียนแบบจูบออสการ์
แต่ว่าในปี 2017 แบร์รี ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ ‘Watch What Happens Live’ ว่าจูบที่งานออสการ์นั้นเป็นจูบที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้ขออนุญาตก่อนจริง ๆ ซึ่งมันทำให้เธอสับสนมาก “ฉันแบบว่า อะไรเกิดขึ้นวะเนี่ย มันคือสิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้นค่ะ แต่ว่าเพราะฉันเองก็เคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อนในปีก่อนหน้าทำให้ฉันก็เข้าใจความรู้สึกที่เหมือนกับสติหลุดออกจากร่างไปเหมือนกัน ฉันก็เลยช่างมันแล้วปล่อยเลยตามเลยค่ะ แม้ว่าฉันจะคิดอยู่ตลอดว่า นี่มันบ้าอะไรเนี่ยตอนนี้”
ด้านโบรดีเคยได้พูดถึงจูบนั้นในปี 2015 กับการสัมภาษณ์ของ ‘Vanity Fair’ ว่า “แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดช่วงหนึ่ง บอกได้เลยว่ามันเหมือนเวลาเดินช้าลง แล้วในตอนนั้นผมคิดว่ามันเหมือนเดินช้าลงจริง ๆ และมันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะว่าตอนที่ผมจูบเธอเสร็จ ผู้คนก็ตั้งตัวได้แล้วพวกเขาก็ ขึ้นป้ายบอกว่าให้รีบลงจากเวทีได้แล้ว เวลาจะหมดแล้ว”
อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้เขาเพิ่งได้คุยกับ Variety ถึงจูบนั้นอีกครั้งและเขาเองก็รู้กระแสวิจารณ์ว่ามันไม่เหมาะสม เขาเลยได้แสดงความเห็นว่า “เราอยู่ในยุคสมัยที่ตระหนักรู้กันอย่างมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่วิเศษครับ แต่ว่าไม่มีสิ่งใดที่ผมทำหรือเคยทำ หรือจะทำในอนาคต ด้วยเจตนาที่จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่ดีครับ”
ซึ่งเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นมานานแล้วและนักแสดงทั้งสองก็ไม่ได้มีปัญหาต่อกัน ขณะที่แบร์รีเองก็ได้เข้าไปแสดงความยินดีกับเขาในอินสตาแกรมเมื่อตอนที่เขาคว้ารางวัล ‘ลูกโลกทองคำ’ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากเรื่อง ‘The Brutalist’ แถมล่าสุดในงานประกาศรางวัลออสการ์ 2025 แบร์รียังขออนุญาตแฟนสาวของโบรดีจูบเขาบนพรมแดงด้วย (ชมคลิปที่นี่)
ถ้าวัดกันจากผลงานหลังจากได้รับรางวัลออสการ์ เอเดรียน โบรดี ก็ไม่ได้ห่างหายไปไหนเขาก็ยังมีผลงานอยู่เรื่อย ๆ และมีผลงานเด่น ๆ เช่น The Village (2004), King Kong (2005 ), The Darjeeling Limited (2007), Predators (2010), The Grand Budapest Hotel (2014) แต่หลังจากข้ามฝั่งไปเล่นหนังจีนอย่าง ‘Dragon Blade’ (2015) หลายคนก็มองว่าผลงานหนังในฮอลลีวู้ดเขาก็ไม่ได้โดดเด่นนัก ถึงจะมีผลงานอยู่เรื่อย ๆ แทบทุกปี ยกเว้นช่วงโควิด19 ตอนปี 2019 - 2020 แต่ก็เป็นช่วงที่ทั้งโลกก็ต้องหยุดชะงักอยู่แล้ว ถึงกระนั้นการได้กลับมาคืนฟอร์มแสดงหนังที่ทำให้เขาได้เดินสายรับรางวัลอีกครั้งอย่าง The Brutalist ก็เรียกได้ว่าเป็นการนำเขากลับมาสู่พื้นที่สื่อกระแสหลักอีกครั้งอย่างแท้จริง
“เอเดรียน โบรดี ไม่เคยดูเหมือนเป็นนักแสดงนำ”
เหล่าตัวแทนคัดเลือกนักแสดงและผู้บริหารค่ายหนังต่าง ๆ มักบอกมาแบบนี้เสมอเวลาตัวแทนของโบรดีไปเสนอชื่อในโปรเจ็คต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาการทำงานในวงการกว่า 30 ปี เขารู้ตัวมาตลอดว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเขานั้นไม่เคยจะดึงดูดใจหรือทำให้ทุกคนมองว่าเขาเป็นพระเอกได้สักครั้ง “เอเจนต์ของผมเล่าให้ฟังเป็นประจำครับว่าโดนพูดมาแบบนี้ และผมก็ได้ยินจนชิน ผมต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าพระเอกสามารถเป็นคนแปลกและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ และไม่ได้หล่อเหลาแบบปกติด้วยซ้ำ แต่บ่อยครั้งที่ทางเลือกที่ดูไม่มีลักษณะอธิบายชัดเจนกลับเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่า ปลอดภัยกว่า”
เอเดรียน โบรดี รู้ดีว่าแม้เขาจะได้รางวัลออสการ์มาครองตั้งแต่อายุยังน้อยแต่เขาก็ไม่เคยได้คงสถานะดารา A-list แบบคนอื่น และไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้แสดงหนังใหญ่ ๆ แบบคนรุ่น ๆ เดียวกันอย่างแมตต์ เดมอน, เบน แอฟเฟล็ก และ เลโอนาร์โด ดิคาปริโอ เพราะออร่าความหล่อแบบพระเอกของเขาไม่เฉิดฉายแบบนั้น แต่ในที่สุด โบรดีก็ได้พบหนทางสู่บทบาทที่เป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพของเขาอีกครั้งในบทบาทของ ‘ลาสโล ท็อธ’ ในภาพยนตร์ ‘The Brutalist’ ของผู้กำกับ ‘เบรดี คอร์เบ็ท’ ซึ่งหนังเรื่องนี้มีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่อลังการและทะเยอทะยาน โดยตั้งใจเล่าเรื่อราวสามสิบปีในชีวิตของสถาปนิกหนุ่ม วิสัยทัศน์กว้างไกล และภรรยาของเขา ‘เออร์เซเบ็ท’ ซึ่งต้องอพยพจากยุโรปยุคหลังสงครามไปสร้างชีวิตใหม่ในอเมริกา
หนังมีความยาวถึง 3 ชั่วโมง 35 นาทีสร้างด้วยงบประมาณอันน้อยนิดประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทางโบรดี้ก็ยอมหั่นค่าตัวรับรับเงินเพียง 250,000 ดอลลาาร์ ผู้กำกับ เบรดี คอร์เบ็ท เผยว่า “มีเพียงนักแสดงที่ไม่ค่อยเข้าพวกกับใครเท่านั้นที่สามารถนำลาสโล ท็อธ ให้มีชีวิตขึ้นมาได้ พร้อมกับความหลงใหลที่เย้ายวน กล้าหาญ ความเย่อหยิ่ง และความเชื่อมั่นในตัวเองที่ยังคงอยู่”
“ผมอยากเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากกว่าเป็นนักแสดงที่หน้าตาดี”
เอเดรียน โบรดี ทุ่มเทให้กับการแสดงใน The Brutalist แบบสุดตัวงานนี้เป็นหนังทุนต่ำทำให้คิวถ่ายทำทุกอย่างมีเวลาไม่มาก เขาลุยถ่ายทำแบบรวดเดียวยาวนานถึง 34 วัน ซึ่งทำให้ระหว่างถ่ายทำเขาล้มป่วยไปพร้อม ๆ กับนักแสดงและทีมงานคนอื่น ๆ แต่เขาก็สู้ต่อโดยต้องมีผู้ช่วยของผู้กำกับ เบรดี คอร์เบ็ท คอยเดินถือถุงน้ำเกลือที่แขวนอยู่บนไม้แขวนเสื้อตามไปทุกที่ในกองถ่าย และสิ่งที่ยากในการรับบท ลาสโล ท็อธ ก็คือบทพูดที่นำเสนอภาษาถิ่นและสำเนียงต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงภาษาฮังกาเรียน ที่มีโมโนล็อกยืดยาวหลายหน้า เอเดรียน โบรดี และเฟลิซิตี โจนส์ ต้องเรียนภาษาฮังกาเรียนอยู่นานนับเดือนกับ ‘เทเนรา มาร์แชล’ ผู้ฝึกสอนการออกเสียง เพราะเป็นภาษาที่ขึ้นชื่อว่าเรียนให้เชี่ยวชาญได้ยาก แล้วยังต้องใส่สำเนียงฮังกาเรียนเข้าไปในไดอะล็อคที่ใช้ภาษาอังกฤษอีกด้วย
เอเดรียน โบรดี เผยที่มาของการสวมบทบาท ลาสโล ท็อธ ว่า “ผมต้องสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาจากพื้นฐานความเป็นจริง ผมดึงเอาอิทธิพลสำคัญสองอย่างในชีวิตผมมาใช้ นั่นก็คือการโตมาในฐานะลูกชายของผู้อพยพชาวฮังกาเรียนและการนำเสนออนุทินของวลาดิสลอว์ สปิลแมนตามที่ถูกบอกเล่าไว้ใน The Pianist แม้ว่าพวกเขาจะเป็นตัวละครสองตัวที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช่วงเวลาหลายเดือนที่หมดไปกับการค้นคว้าข้อมูลและการรื้อฟื้นอดีตของสปิลแมน และความสยดสยองของยุคสมัยนั้น ยังคงตามหลอนผม และทำให้ผมมีความเข้าใจในประสบการณ์ที่รวดร้าวใจและความสูญเสียที่หล่อหลอมการเดินทางของลาสโลที่มาอเมริกาในฐานะผู้อพยพน่ะครับ”
ความเชื่อมโยงระหว่างโบรดีกับฮังการีนั้นเริ่มจาก แม่ของเขาซึ่งเป็นชาวฮังการีที่ต้องกลายเป็นผู้อพยพตั้งแต่ยังเด็ก และหนีออกนอกประเทศมาอยู่อเมริกา ระหว่างช่วงปฏิวัติในฮังการีปี 1956 และเช่นเดียวกับลาสโล เธอได้ทำตามความฝันของเธอในการเป็นศิลปิน โบรดีจึงได้แม่ของเขาเป็นต้นแบบ “ผมมอง The Brutalist ว่าเป็นเรื่องราวของความพากเพียรอุตสาหะอย่างเงียบงันและความต้องการไขว่คว้าความดีเลิศ แม้แต่ในตอนที่ยากลำบากไร้แผ่นดินจะยืน
“ผมเป็นลูกของครอบครัวผู้อพยพ และความยากลำบากของแม่กับปู่ย่าตายายของผมมีความสำคัญมาก และการเสียสละของพวกเขาทำให้ผมมีจุดยืนที่มั่นคง และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ในฐานะชาวอเมริกัน และมีอาชีพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ การมาจากชุมชนชนชั้นแรงงานในควีนส์ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์”
แม้ว่าจะกวาดรางวัลมาแทบทุกสำนักแต่เส้นทางสู่ออสการ์ตัวที่ 2 ของ โบรดีก็ไม่ได้ราบรื่น เนื่องจากมีการเปิดเผยในภายหลังว่ามีการใช้ AI เพื่อปรับปรุงบทสนทนาภาษาฮังการีระหว่างโบรดีและเฟลิซิตี้ โจนส์ ในเรื่อง The Brutalist ซึ่งทำให้ถูกวิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์และมีผลกับการลงคะแนนของกรรมการเพราะ ผู้คนต่างรู้สึกว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีมาช่วยปรับปรุงการแสดงจึงไม่ยุติธรรมกับนักแสดงจากเรื่องอื่น ๆ ที่เข้าชิงรางวัล
แต่อย่างไรก็ตามผู้กำกับ เบรดี คอร์เบ็ท ได้ออกมาโต้แย้งประเด็นนี้ว่า “น่าเสียดายที่มีข้อมูลที่เป็นเท็จและข้อมูลบิดเบือนมากมายที่เผยแพร่ออกไป แต่ที่จริงแล้ว นี่เป็นงานที่ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างเหลือเชื่อและทำด้วยมือ และผมเข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมผู้คนถึงอ่อนไหวกับประเด็นนี้มาก แต่เรื่องนี้มันเกินจริงไปมากจริง ๆ ความคิดที่ว่าสิ่งนี้จะทำให้การแสดงของพวกเขาถูกด้อยค่าลงนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะมันเหมือนกับการบอกว่าการใช้สตั้นท์หรือตัวแสดงแทนในช็อตกว้างจะทำให้การแสดงของนักแสดงลดน้อยลง เพราะพวกเขาไม่ได้แสดงฉากเสี่ยงนั้นจริง ๆ พวกเขายังต้องทำงานทั้งหมดและ AI ใช้กับเสียงพากย์ภาษาฮังการีเท่านั้น และไม่มีบทสนทนาเลยในภาษาอังกฤษที่เราใช้เทคโนโลยีนี้ โดยรวมแล้วมีการใช้ AI ปรับแต่งเสียงพูดในภาพยนตร์ความยาวประมาณห้านาที”
ด้านเอเดรียน โบรดีก็ได้ออกมาตอบกลับ ว่า “ผมชื่นชมและเข้าใจเจตนาของเบรดี และเห็นคุณค่าของการสร้างภาพยนตร์อันน่าทึ่งที่เขาทำสำเร็จ” แสดงว่าเขาไม่ติดใจอะไรที่การพูดบทของเขาได้รับการปรับปรุงและเข้าใจว่าทำไปเพื่อความสมบูรณ์แบบของภาพยนตร์
เอเดรียน โบรดี ให้สัมภาษณ์กับสื่อใหญ่อย่าง Variety ไว้ว่าในวัย 51 ปี กับการได้เข้าชิงออสการ์ครั้งที่สอง ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็จะรู้สึกสบายใจในชีวิตที่แปลกประหลาดของเขา และพอใจที่จะนิยามอาชีพของตัวเองว่าเป็น “นักแสดงตัวประกอบที่สามารถเล่นเป็นพระเอกที่น่าจดจำได้ แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเพียง 1 ครั้งในทุก ๆ สองสามทศวรรษก็ตาม”
“มีบางอย่างที่ทำให้ความรักในการแสดงของผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผมคิดว่าสถาณการณ์ช่วง COVID เป็นตัวเตือนใจว่าสิ่งต่าง ๆ อาจเลวร้ายได้แค่ไหน และโลกนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากแค่ไหน ในสมัยเด็ก ๆ ผมเคยมองข้ามสิ่งต่าง ๆ มากมายไปกับการที่อายุมากขึ้นเตือนให้คุณตระหนักว่าเวลาของคุณมีค่าแค่ไหน และคุณเลือกใช้เวลาอย่างไร และใช้เวลากับใคร”
หลายปีผ่านไป ชีวิตและอาชีพการงานของเขามีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงมากมาย และมันทำให้เขามองเห็นอะไรใหม่ ๆ และซาบซึ้งกับช่วงเวลานี้มากขึ้น เพราะทุกสิ่งมันสามารถผ่านไปได้ และก็รู้สึกขอบคุณที่ตอนนี้ยังมีโชคในด้านการงาน การหางานที่มีความหมายทำยังคงเป็นความท้าทายอยู่ การที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอีกครั้งถือเป็นเรื่องที่ดีและคุ้มค่าที่จะอดทนรอ
เรื่อง: เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง
Adrien Brody and Halle Berry's controversial Oscars kiss explained, Entertainment Weekly, เข้าถึงเมื่อ 3 มีนาคม 2025, https://ew.com/adrien-brody-and-halle-berry-controversial-oscars-kiss-11686590
Adrien Brody drew on his family's immigration story for his role in 'The Brutalist', NPR, เข้าถึงเมื่อ 3 มีนาคม 2025, https://www.npr.org/2025/02/28/nx-s1-5311950/adrien-brody-drew-on-his-familys-immigration-story-for-his-role-in-the-brutalist
Inside Adrien Brody’s Private World: How ‘The Brutalist’ Pushed Him to the Limit — and Just Might Win Him Another Oscar, Variety, เข้าถึงเมื่อ 3 มีนาคม 2025, https://variety.com/2025/film/news/adrien-brody-oscars-the-brutalist-interview-1236295356/
‘The Brutalist’ Director Brady Corbet Responds to AI Backlash, HollywoodReporter, เข้าถึงเมื่อ 3 มีนาคม 2025, https://www.hollywoodreporter.com/movies/movie-news/the-brutalist-ai-backlash-adrien-brody-1236113015/