07 ก.ค. 2566 | 15:37 น.
- มาดอนนายอมรับในภายหลังว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอสามารถ ‘แสดงตัวตน’ ออกมาได้เต็มที่ เพราะไม่มีแม่คอยกำราบ เธอสูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ
- แม้อิทธิพลในวงการเพลงจะยังมีไม่มากในช่วงแรก แต่อิทธิพลด้านแฟชั่นของมาดอนนานับว่าโดดเด่นมาก สาว ๆ ทั่วประเทศพากันเลียนแบบเธอด้วยการใส่ถุงน่องตาข่าย ชุดชั้นในลูกไม้ ถุงมือแบบไม่มีนิ้ว และสร้อยคอไม้กางเขนขนาดใหญ่
- นอกจากความสามารถด้านการร้อง การเต้น และการแสดงที่ปรากฏเด่นชัด อีกสิ่งที่ติดตัวมาดอนนาเสมอคือ ‘เรื่องอื้อฉาว’ แต่กลายเป็นว่ายิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ เธอยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ
ในวงการดนตรีอาจมีนักร้องหญิงระดับ ‘ตัวแม่’ หลายต่อหลายคน แต่ตัวแม่ที่ถูกยกขึ้นหิ้งและอยู่บนนั้นมาตลอด 40 ปี จนได้รับการสถาปนาเป็น ‘ราชินีเพลงป๊อป’ เห็นจะมีแค่คนเดียว
คนคนนั้นคือ ‘มาดอนนา’
มาดอนนา ไม่ได้ถูกยกให้เป็นราชินีเพลงป๊อป เพียงเพราะภาพลักษณ์ที่ยิ่งนานวันยิ่งเผ็ดแซ่บ แต่เป็นเพราะความเก่งกาจในการผลิตเพลง แต่งเพลง และการนำเสนอที่ท้าทายและสร้างความฮือฮาในวงการเพลง โดยเฉพาะยุค 80s ซึ่งถูกครอบงำโดยเหล่านักร้องชาย
ต่อไปนี้คือเรื่องราวชีวิตอันสุดผาดโผนของ ‘มาดอนนา’ ซึ่งได้กลายเป็น ‘ต้นแบบ’ ให้นักร้องหญิงยุคใหม่ กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนเต็มที่ และพร้อมขับเคลื่อนเพื่อปลดแอกผู้หญิงด้วยกันออกจากการถูกสังคมกดทับ
เด็กสาวผู้รักการเต้นกับจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต
‘มาดอนนา’ หรือชื่อเต็ม ‘มาดอนนา หลุยส์ เวโรนิกา ซิกโคน’ (Madonna Louise Ciccone) เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1958 ในเมืองเบย์ซิตี รัฐมิชิแกน เธอเป็นลูกคนที่ 3 ในบรรดาลูก 6 คน ของ ‘ซีลวิโอ’ หรือ ‘โทนี’ กับ ‘มาดอนนา ฟอร์ติน’
โทนี เป็นลูกชายของผู้อพยพชาวอิตาลี เขาเป็นลูกคนแรกของครอบครัวที่ได้เข้าเรียนวิทยาลัย จนได้รับปริญญาด้านวิศวกรรม ส่วนมาดอนนา (คนแม่) มีเชื้อสายแคนาดา-ฝรั่งเศส เธอเป็นช่างเอกซเรย์และอดีตนักเต้น ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อปี 1955 ก่อนจะย้ายไปที่เมืองพอนทิแอค รัฐมิชิแกน ตามหน้าที่การงานของโทนี ที่ประกอบอาชีพเป็นวิศวกรออกแบบ (Design Engineer)
หลังจากนั้น 3 ปี มาดอนนาก็ให้กำเนิดลูกคนที่สาม ระหว่างเดินทางกลับไปเยี่ยมครอบครัวในเมืองเบย์ซิตี้ ลูกคนนี้ได้รับเกียรติให้ใช้ชื่อเดียวกับแม่ของตัวเองนั่นคือ ‘มาดอนนา’ ซึ่งในภาษาอิตาลีสมัยกลางหมายถึง สตรีผู้สูงศักดิ์หรือมีความสำคัญ และเป็นคำที่ใช้เรียกแทนรูปเคารพของพระนางมารีย์พรหมจารี
แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเด็กหญิงมาดอนนาเติบโตมาแบบ ‘คุณหนู’ ในฐานะลูกสาวคนแรกของบ้าน เธอยังได้รับการเลี้ยงดูอย่างเคร่งครัดจากพ่อแม่ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งทำให้เธอได้เห็นรูปปั้นพระแม่มารีย์จนชินตา ได้คลุกคลีกับแม่ชีที่โรงเรียนประถม และเข้าร่วมพิธีในโบสถ์อยู่เป็นประจำ แต่แทนที่จะกลมกลืนกับสิ่งเหล่านี้ เธอกลับสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับศาสนาในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของมาดอนนาคือการที่แม่ของเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม ระหว่างตั้งท้องน้องสาวคนสุดท้อง และแม่ต้องรอให้น้องคลอดออกมาก่อนจึงจะสามารถรักษามะเร็งได้ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง มะเร็งก็ลุกลามจนไม่สามารถยื้อชีวิตของแม่เอาไว้ได้ ทำให้มาดอนนากลายเป็นเด็กหญิงกำพร้าแม่ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ
การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตช่วงวัยรุ่นของมาดอนนาอย่างมาก เธอมีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร โดยเฉพาะในช่วงวาระสุดท้ายในชีวิตของแม่ ที่ทั้งอ่อนแอและมีท่าทีเฉยชา
มาดอนนายอมรับในภายหลังว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอสามารถ ‘แสดงตัวตน’ ออกมาได้อย่างอิสระเต็มที่ เป็นเพราะเธอไม่มีแม่คอยกำราบ
“คนอื่นจะมีแม่คอยสอนเรื่องมารยาท แต่สำหรับฉัน ฉันไม่ได้เรียนรู้เรื่องกฎระเบียบเหล่านี้เลย”
สถานการณ์ภายในบ้านย่ำแย่ลงไปอีก เมื่อโทนีตัดสินใจแต่งงานกับ ‘โจน กุสตาฟสัน’ ซึ่งเป็นหญิงสาวที่เขาจ้างมาทำงานเป็นแม่บ้าน ปรากฏว่าพอกลายเป็นคุณนายของบ้าน โจนกลับไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง และมักใช้ให้มาดอนนาดูแลน้อง ๆ ซึ่งทำให้ ‘คุณหนูของบ้าน’ ไม่พอใจอย่างมาก ถึงขั้นเปรียบตัวเองในตอนนั้นเป็น ‘ซินเดอเรลลา’ ที่ต้องใช้ชีวิตแสนหดหู่กับแม่เลี้ยงใจร้าย
มาดอนนาที่เคยได้รับความรักและเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่ ค่อย ๆ สั่งสมความน้อยเนื้อต่ำใจและคับแค้น เมื่อเริ่มโตขึ้นเธอก็แสดงออกด้วยการต่อต้านการเลี้ยงดูที่เคร่งครัด โยนเสื้อผ้าที่เรียบร้อยราวกับแม่ชีทิ้ง แล้วหันไปใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยเนื้อหนังมากขึ้น แถมยังแอบไปเที่ยวไนต์คลับเกย์บ่อยครั้ง และเริ่มถอยห่างจากความเป็นชาวคาทอลิกมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถึงจะเป็นเด็กดื้อรั้นในสายตาพ่อกับแม่เลี้ยง ชีวิตที่โรงเรียนของเธอกลับเปล่งประกาย เธอเป็นทั้งนักเรียนหัวกะทิและเด็กกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์ นักเต้น และนักแสดงละครโรงเรียน เธอเรียนจบมัธยมปลายก่อนเพื่อน 1 เทอม และได้รับทุนให้ไปเรียนต่อด้านการเต้นที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนในปี 1976
ระหว่างเรียนปี 2 ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน มาดอนนาได้รับทุนให้ไปเรียนที่โรงเรียนสอนเต้นรำ Alvin Ailey American Dance Theater ในนครนิวยอร์ก เป็นเวลา 6 สัปดาห์ เธอไม่รอช้าตัดสินใจมุ่งหน้าไปนิวยอร์ก ซึ่งก็ไม่ทำให้เธอผิดหวัง เพราะนอกจากจะได้เรียนเต้นในสถาบันที่มีชื่อเสียงแล้ว เธอยังได้รับโอกาสให้ไปแสดงร่วมกับนักออกแบบท่าเต้นคนดังอย่าง ‘เพิร์ล แลง’ อีกด้วย
ครูสอนเต้นที่นิวยอร์กเห็นแววในตัวมาดอนนา จึงได้แนะนำให้เธอดร็อปเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เพื่อมาสานฝันอาชีพนักเต้นที่นิวยอร์กเต็มตัว มาดอนนาเชื่อคำแนะนำของครู ทว่าเส้นทางฝันของเธอที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อมาดอนนาย้ายมาอยู่นิวยอร์กจริงจัง พร้อมเงินติดตัวแค่ 37 ดอลลาร์ ช่วงแรก ๆ เธอต้องไปพักที่อะพาร์ตเมนต์ในอีสต์ วิลเลจ ซึ่งเป็นย่านคนจนที่เต็มไปด้วยปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติด บางครั้งเธอไม่มีเงินจะจ่ายค่าเช่า เลยต้องยอมทำงานทุกอย่างเพื่อหาเงิน ทั้งพนักงานเสิร์ฟในร้านดังกิ้นโดนัท นางแบบเปลือย และตัวประกอบในหนังทุนต่ำหลายเรื่อง
ปี 1979 มาดอนนาเริ่มออกเดทกับ ‘แดน กิลรอย’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งวงป๊อปพังก์ชื่อ Breakfast Club ซึ่งได้แนะนำเธอให้รู้จักกับหัวหน้าคณะละครในปารีส เธอจึงได้โบยบินจากอเมริกาไปเป็นนางโชว์ที่ฝรั่งเศสอยู่ช่วงหนึ่ง
การผงาดในโลกของดนตรียุค 80s ที่เต็มไปด้วยนักร้องชาย
ระหว่างตระเวนแสดงที่ฝรั่งเศส มาดอนนาเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองชื่นชอบการผสมผสานระหว่างการร้องเพลงและการแสดง ดังนั้นเมื่อเธอกลับมาสหรัฐอเมริกาในปี 1980 เธอจึงเข้าร่วมวงของแดน โดยมาเป็นมือกลองและมือกีตาร์ก่อน แล้วค่อยไต่เต้าขึ้นมาเป็น ‘นักร้องนำ’
มาดอนนาก่อตั้งวงดนตรีของตัวเองอีกหลายวงในช่วงไม่กี่ปีต่อมา เช่น Madonna & The Sky และ The Millionaires and Emmy กระทั่งปี 1981 เธอจึงตัดสินใจจะออกเพลงเดี่ยว เอาจริงเอาจังถึงขั้นว่าจ้างผู้จัดการอย่าง ‘คามิลล์ บาร์โบน’ แห่ง ‘ก็อธแธม เรคคอร์ด’ ให้มาช่วยกรุยทางอาชีพนักร้องของเธอให้เป็นไปอย่างราบรื่น
คามิลล์คนนี้นี่เอง ที่ทำให้มาดอนนาเห็นว่าเธอจะผงาดขึ้นมาได้อย่างไรในโลกของธุรกิจดนตรียุค 80s ที่มีผู้ชายเป็นใหญ่ เขาได้ช่วยจัดการหาวงดนตรีที่มาช่วยขับเน้นความสามารถของเธอ จนทำให้เธอมีเพลงฮิตเพลงแรกอย่าง ‘Everybody’ ซึ่งพุ่งสู่อันดับ 1 บนชาร์ตเพลงแดนซ์ในปี 1982
ต่อมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มาดอนนาจึงได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงไซร์เออเรเคิดส์ (Sire Records) ก่อนจะคลอดอัลบั้มเต็มที่ชื่อว่า ‘Madonna’ ในเดือนกรกฎาคม 1983 อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จอย่างช้า ๆ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของไนต์คลับและวิทยุ ที่ต่างพากันเปิดเพลงของเธอ โดยเฉพาะ 3 เพลงฮิตอย่าง Holiday, Lucky Star และ Borderline
แม้อิทธิพลในวงการเพลงจะยังมีไม่มากในช่วงนี้ แต่อิทธิพลด้านแฟชั่นของมาดอนนาในเวลานั้นนับว่าโดดเด่นมาก สาว ๆ ทั่วประเทศพากันเลียนแบบเธอด้วยการใส่ถุงน่องตาข่าย ชุดชั้นในลูกไม้ ถุงมือแบบไม่มีนิ้ว และสร้อยคอไม้กางเขนขนาดใหญ่
ขณะที่ความแรงของเพลง Holiday ทำให้เธอได้ไปปรากฏตัวในรายการดังอย่าง American Bandstand ในปี 1984 ซึ่งเธอได้ให้สัมภาษณ์กับพิธีกรว่า “ความใฝ่ฝันของฉันคือการครองโลก”
ความฝันของเธอใกล้เป็นความจริงขึ้นเรื่อย ๆ หลังการออกอัลบั้มต่อ ๆ มา อย่าง ‘Like a Virgin’ ในปี 1985 ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตบิลบอร์ด และทำยอดขายถึงระดับแพลตตินัมภายในเวลาเพียง 1 เดือน โดยเพลงไตเติลของอัลบั้มที่เป็นฝีมือของ ‘ไนล์ ร็อดเจอร์ส’ ภายหลังได้รับการระบุว่าเป็น ‘เพลงป็อปฮิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของมาดอนนา’ ในอัลบั้มนี้เธอยังมีเพลงฮิตอีก 2 เพลง อย่าง Material Girl และ Angel
พอเริ่มมีชื่อเสียง เธอก็เริ่มได้รับการติดต่อให้ไปเล่นภาพยนตร์กระแสหลักเรื่องแรกคือ Desperately Seeking Susan ในปี 1985 และได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ชื่อว่า Into the Groove ซึ่งก็ได้ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตเพลงแดนซ์ของสหรัฐฯ ตามด้วยการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Vision Quest ปี 1985 ซึ่งเพลงแนวบัลลาดอย่าง Crazy for You ที่เธอร้องประกอบภาพยนตร์ ก็กลายเป็นเพลงฮิตอันดับ 1 อีกเช่นกัน
จากนั้นเธอก็เริ่มทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกในชื่อ The Virgin Tour ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเปลี่ยนสถานที่จัดคอนเสิร์ตให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับกระแสความนิยมในหมู่สาว ๆ
ในอีก 5 ปีต่อมา ชีวิตของมาดอนนาก็เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย เช่น เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1985 เธอได้แต่งงานกับนักแสดงเจ้าบทบาทอย่าง ‘ฌอน เพนน์’ ซึ่งต่อมาได้แสดงภาพยนตร์ด้วยกันเรื่อง Shanghai Surprise ในปี 1986 หลังจากนั้นเธอก็แสดงภาพยนตร์อีก 3 เรื่อง ได้แก่ Who’s That Girl ปี 1987, Bloodhounds of Broadway ปี 1989 และ Dick Tracy ปี 1990
ส่วนอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ของเธอที่ชื่อว่า I’m Breathless: Music From and Inspired by the Film Dick Tracy ก็มีเพลงดังติดชาร์ตอย่าง Vogue และ Hanky Panky
จากนั้นเธอยังออกอัลบั้มฮิตตามมาอีก 4 อัลบั้ม ได้แก่ True Blue ปี 1986, Who’s that Girl ปี 1987, You Can Dance ปี 1987 และ Like a Prayer ปี 1989
ยิ่งฉาวยิ่งดัง
นอกจากความสามารถด้านการร้อง การเต้น และการแสดง ที่ปรากฏเด่นชัด อีกสิ่งที่ติดตัวมาดอนนาเสมอคือ ‘เรื่องอื้อฉาว’ ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ฉาวที่แฟนเพลงจำได้ดีคือตอนที่เธอขึ้นไปร้องเพลงฮิตอย่าง Like a Virgin บนเวทีงาน MTV Video Music Awards ปี 1985 ซึ่งเธอได้แสดงท่าทางวาบหวิวขณะสวมชุดแต่งงาน แล้วหลังจากนั้นชีวิตคู่ระหว่างเธอกับฌอนก็จบลง พร้อมกับข่าวเสื่อมเสียเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัวและการทำร้ายช่างภาพ ซึ่งทำให้ฌอนถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 1 เดือน
อีกเหตุการณ์ฉาวเกิดขึ้นในปี 1989 โดยในมิวสิกวิดีโอเพลง Like a Prayer มาดอนนาได้แสดงพฤติกรรมที่ส่อไปในทางชู้สาวกับนักบวชผิวดำ รวมถึงมีการเต้นรำหน้าไม้กางเขนที่ถูกเผา เนื้อหาในเอ็มวีได้ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตสำหรับคริสตจักรคาทอลิก สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอล ที่ 2 ทรงขอร้องให้แฟน ๆ ไม่เข้าร่วมคอนเสิร์ตของมาดอนนาในอิตาลี และทำให้เป๊ปซี่ต้องยกเลิกสัญญามูลค่า 5 ล้านดอลลาร์กับมาดอนนาไป
แต่ถึงจะถูกก่นด่าอย่างหนัก มาดอนนากลับได้รับความนิยมมากขึ้น เพลงอื่น ๆ ในอัลบั้ม Like a Prayer พลอยได้อานิสงส์จนดังไปด้วย ทั้ง Express Yourself, Cherish, Keep It Together และ Oh Father
คล้อยหลังได้ปีเดียว ในปี 1990 ช่อง MTV ปฏิเสธที่จะเล่นมิวสิกวิดีโอเพลงสุดวาบหวิวอย่าง Justify My Love ซึ่งเป็นเพลงใหม่จากอัลบั้ม The Immaculate Collection ของเธอ ในช่วงก่อนเวลา 23.00 น.
แม้จะมีเรื่องอื้อฉาวไม่หยุดหย่อน แต่ในปี 1991 มาดอนนาก็ประสบความสำเร็จถึงขั้นมี 21 เพลงที่ติดอันดับเพลงฮิต 10 อันดับแรกในสหรัฐอเมริกา และขายอัลบั้มได้มากกว่า 70 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก สร้างยอดขาย 1,200 ล้านดอลลาร์ แต่เธอก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น เธอรักษาโมเมนตัมด้วยการช่วยก่อตั้ง ‘มาเวอริค เรคคอร์ดส’ (Maverick Records) ซึ่งเป็นค่ายเพลงภายใต้ ‘วอร์เนอร์ มิวสิก กรุ๊ป’ (Warner Music Group) ในเดือนเมษายน 1992
ขณะเดียวกันเธอก็เดินหน้าทุบทลายขอบเขตทางสังคมต่อเนื่อง อย่างในปี 1991 ที่เธอได้เปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวเอง Truth or Dare ซึ่งเป็นสารคดีที่เปิดเผยเรื่องราวของทัวร์คอนเสิร์ต Blonde Ambition ที่นับเป็นการเปิดเผยตัวตนของเธอมากที่สุด ด้วยการเชื้อเชิญให้ผู้ชมเดินทางเข้าสู่โลกที่ไร้การเซ็นเซอร์ของเธอ
ในปี 1992 ความนิยมของมาดอนนาแผ่ขยายไปทั่วโลก และเธอได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักธุรกิจที่เฉียบแหลมและมีความมั่นใจ เธอเซ็นสัญญามูลค่า 60 ล้านดอลลาร์กับ Time-Warner ซึ่งได้ขอให้เธอทำวิดีโอ ภาพยนตร์ หนังสือ สินค้า และทำเพลงอีก 6 อัลบั้ม
การประกาศข้อตกลงนี้มีขึ้นพร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้ม ‘Erotica’ และการเผยแพร่หนังสือโต๊ะกาแฟสำหรับผู้ใหญ่ที่มีชื่อโจ่งแจ้งว่า ‘Sex’ ที่เต็มไปด้วยภาพสไตล์อีโรติกของเธอ ปรากฏหนังสือเล่มนี้สามารถขายได้มากถึง 1.5 แสนเล่มในวันแรกที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา และอีก 3 วันต่อมา ฉบับพิมพ์ครั้งแรกจำนวน 1.5 ล้านเล่ม ก็ขายหมดทั่วโลก
ตอนท้ายปี 1993 อัลบั้ม Erotica ทำยอดขายพุ่งถึงระดับดับเบิลแพลตตินัม แล้วมาดอนนาก็ตอกย้ำความแรงของตัวเองต่อเนื่องด้วยการออกอัลบั้ม ‘Bedtime Stories’ ในปี 1994 ซึ่งเธอเป็นคนเขียนเพลงส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง อัลบั้มนี้ได้แสดงให้เห็นถึงอีกด้านที่นุ่มนวลและน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์และความรู้สึกของเธอมากขึ้น มีเพลงดัง ๆ อย่าง Secret และ Take a Bow
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เธอเล่นบทนำในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Evita ของ ‘แอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์’ ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘อีวา เปรอง’ ผู้นำชาวอาร์เจนตินา แม้ว่าเธอจะได้รับคำวิจารณ์ที่หลากหลายจากภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ปรากฏว่าเพลง You Must Love Me ที่เธอร้องประกอบภาพยนตร์ ก็สามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้สำเร็จ ส่วนตัวเธอเองก็คว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ
ชีวิตส่วนตัวที่ไม่ค่อยราบรื่น
ระหว่างที่มีผลงานออกมาต่อเนื่อง มาดอนนาก็มีความสัมพันธ์กับ ‘คาร์ลอส ลีออง’ เทรนเนอร์ส่วนตัว และในปี 1995 เธอได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า Something to Remember ต่อมาในปี 1996 เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวชื่อ ‘โลลา’ ซึ่งเธอบอกว่าเป็น ‘ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉัน’
ปี 1998 มาดอนนาปล่อยอัลบั้ม ‘Ray of Light’ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจเกี่ยวกับคำสอนของชาวยิวโบราณและวัฒนธรรมจากตะวันออกไกล ขณะที่อิทธิพลทางอิเล็กทรอนิกส์ยังทำให้มาดอนนาเข้าถึงวัฒนธรรมการเต้นสมัยใหม่ ซึ่งพิสูจน์ให้นักวิจารณ์เห็นว่าเธอรู้วิธีก้าวนำคนอื่น ๆ อยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่อัลบั้มดังกล่าวได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม และเป็นหนึ่งในผลงานที่ขายดีที่สุดของเธอ ทั้งยังได้รับรางวัลแกรมมีอวอร์ดสำหรับการบันทึกการเต้นที่ดีที่สุด อัลบั้มเพลงป๊อปที่ดีที่สุด และมิวสิกวิดีโอที่ดีที่สุด โดยอัลบั้มนี้มีเพลงที่เป็นที่จดจำอย่าง Frozen และ The Power of Good-Bye
ปีถัดมา เธอยังส่งซิงเกิลชื่อ Beautiful Stranger เพื่อมาประกอบภาพยนตร์เรื่อง Austin Power: The Spy Who Shagged Me จนได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงยอดเยี่ยมที่แต่งขึ้นสำหรับภาพยนตร์ โทรทัศน์ และสื่ออื่น ๆ นอกจากนี้เธอยังร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Next Best Thing ในปี 2000 แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่เพลงประกอบก็ทำได้ดีพอสมควร
เดือนสิงหาคม 2000 มาดอนนาให้กำเนิดลูกชายชื่อ ‘ร็อกโก’ เด็กคนนี้เป็นลูกของเธอกับผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษ ‘กาย ริชชี่’ จากนั้นไม่นานเธอก็ปล่อยอัลบั้ม Music ที่ได้รับคำชมเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเพลงดังอย่าง Ray of Light ขณะที่ในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน เธอกับกายก็แต่งงานกันที่ปราสาทในสกอตแลนด์ ก่อนจะเลิกรากันไปในปี 2008
ช่วงวันเกิดปีที่ 50 มาดอนนายังเผชิญความท้าทายในชีวิตส่วนตัวหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการต่อสู้ทางกฎหมายเกี่ยวกับการนำเด็กชาวมาลาวีมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมในปี 2006 ซึ่งมีคนวิจารณ์ว่าเธอใช้เงินเพื่อเร่งให้กระบวนการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมรวดเร็วขึ้น แต่เธอยืนกรานปฏิเสธเรื่องนี้ กระทั่งเดือนพฤษภาคม 2008 คดีของเธอจึงยุติลง เมื่อคำร้องของเธอได้รับการอนุมัติจากศาลสูงของมาลาวี
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2017 มาดอนนาประกาศรับอุปการะฝาแฝดอายุ 4 ขวบ จากมาลาวีเพิ่มอีก ปีเดียวกันเธอต้องพยายามระงับการประมูลของใช้ส่วนตัวหลายชิ้นที่ไปอยู่ในการครอบครองของอดีตผู้ช่วยส่วนตัว ‘ดาร์ลีน ลุตซ์’ แต่สุดท้ายผู้พิพากษาก็ตัดสินให้การประมูลดำเนินต่อไปในปี 2018 เพราะก่อนหน้านั้นเธอได้ลงนามยืนยันว่าจะไม่เรียกร้องสิทธิในของใช้เหล่านี้แล้ว
ในรายการของใช้ส่วนตัวที่ถูกนำออกไปประมูลมีทั้งกางเกงชั้นในและหวี รวมถึงจดหมายบอกเลิกจาก ‘ทูพัค ชาเคอร์’ แรปเปอร์อดีตหวานใจของมาดอนนา ซึ่งมีข้อความว่า “ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บปวด โปรดเข้าใจด้วยว่าในตอนที่คบกันนั้น ผมเป็นเพียงชายหนุ่มขาดประสบการณ์ที่ได้อยู่กับผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศที่โด่งดังถึงขีดสุด”
ล่าสุด มาดอนนาในวัย 64 ปี ได้เลื่อนทัวร์คอนเสิร์ต ‘เซเลเบรชัน ทัวร์’ (Celebration Tour) จำนวน 84 วันออกไปก่อน เพราะเธอเกิดติดเชื้อแบคทีเรียอย่างรุนแรง จนต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยที่ห้องไอซียู ซึ่งก็ทำให้แฟนเพลงทั่วโลกพากันเป็นห่วงเจ้าตัวอย่างมาก และต่างเฝ้าลุ้นว่าเธอจะได้กลับมาทัวร์คอนเสิร์ตนี้เมื่อไหร่ เพราะนี่เป็นการทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปี การออกซิงเกิลแรกในชีวิตของเธอ และเป็นการหวนคืนสู่เวทีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากที่เธอหันไปเปิดการแสดงแนวละครเวทีอยู่เป็นปี ๆ
นักร้องหญิงผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์ดนตรี
แม้จะอายุทะลุ 60 ปีมาหลายปี แต่มาดอนนายังอยู่ในทำเนียบบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี เพราะผลงานของเธอในช่วงตลอด 40 ปี ได้ทำลายเส้นแบ่งและปูทางให้ศิลปินหญิงหลายคนเดินตามรอย ไม่ว่าจะเป็น บริตนีย์ สเปียร์ส, คริสตินา อากีเรลา, ไคลี มิโนก, วงสไปซ์เกิร์ล, เจนนิเฟอร์ โลเปซ, พิงค์ ฯลฯ ที่ล้วนถูกเรียกว่าเป็น ‘ลูกสาวมาดอนนา’
เธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้นักดนตรี นักเต้น และนักแสดงคนอื่น ๆ มากมาย จากสไตล์และนวัตกรรมของเธอ ไปจนถึงความตรงไปตรงมา และการปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามบรรทัดฐานทางสังคม โดยเฉพาะในวงการเพลงยุค 80s ที่เธอเริ่มปรากฏตัวขึ้นพร้อมภาพลักษณ์ที่ดูขบถและเพลงที่มีเนื้อหายั่วยวน เพื่อต่อสู้กับโลกสองมาตรฐานที่อนุญาตให้ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถแสดงออกทางเพศได้อย่างเสรี ทว่ากีดกันไม่ให้ผู้หญิงทำเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดจากอัลบั้ม Erotica และ หนังสือ Sex ที่นับเป็นการขยายขอบเขตของบทบาททางเพศและเรื่องเพศในวงการบันเทิงครั้งใหญ่
มาดอนนายังได้ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมสมัยนิยมในหลายทาง ทั้งการปฏิวัติภาพของผู้หญิงในมิวสิกวิดีโอให้กลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งและกล้าแสดงออก ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานของป๊อปไอคอนสมัยใหม่ นอกจากนี้เธอยังเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ทดลองทำแนวดนตรีและแนวเพลงที่หลากหลาย ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างดนตรีร็อก ป๊อป และแดนซ์ พร่าเลือน อีกทั้งยังมีอิทธิพลต่อการทำตลาดและโปรโมตศิลปินหญิงที่สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยภาพลักษณ์การเป็นนักขับเคลื่อนและความอิสระ
นอกจากทำหน้าที่เป็นต้นแบบของตัวลูกหลาย ๆ คน เธอยังใช้แพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อส่งเสริมความยุติธรรมในสังคม โดยเฉพาะในช่วงที่โรคเอดส์แพร่ระบาด ซึ่งเธอได้ขับเคลื่อนเพื่อสร้างความตระหนักรู้และให้ทุนสนับสนุนการวิจัยโรคเอดส์ เธอยังเป็นผู้สนับสนุนสิทธิของ LGBT อย่างแข็งขัน เพลงและเอ็มวีของเธอได้รับการยกย่องว่าช่วยทำให้วัฒนธรรม LGBT เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
มาดอนนายังมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการแฟชั่น โดยเป็นแรงบันดาลใจให้กับเทรนด์ต่าง ๆ มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่บรารูปทรงกรวยอันเป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงการนำสไตล์กรันช์มาใช้
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของ ‘มาดอนนา’ ศิลปินหญิงที่ได้ช่วยนิยามความหมายของการเป็นผู้หญิงในโลกสมัยใหม่ ที่ไม่ยึดติดกับความนุ่มนวลอ่อนโยน แต่พร้อมขับเคลื่อนและชนกับทุกปัญหาเพื่อไล่ล่าความฝันและความสำเร็จ
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง: