15 ก.ค. 2566 | 13:24 น.
- มือกลองยุคแรกของวง เดอะ บีทเทิลส์ (The Beatles) ไม่ใช่ริงโก้ สตาร์ แต่เป็นหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานามว่า พีท เบสต์
- พีท เบสต์ ถูกไล่ออกจากวง ชีวิตของเขาได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
- คำถามที่วนเวียนนานกว่า 60 ปี คือ ทำไมมือกลองขวัญใจสาว ๆ คนนี้ถูกอัปเปหิจากวงที่ยิ่งใหญ่อันดับต้นของโลก?
ในโลกดนตรีร็อค การเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวงถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง และการที่ใครจะเข้าหรือออกจากวงดนตรีใด ๆ ก็มีสาเหตุแตกต่างกันออกไป แต่ในกรณีของ ‘พีท เบสต์’ (Pete Best) ถือว่าพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เพราะการถูกไล่ออกจาก ‘เดอะ บีทเทิลส์’ (The Beatles) คือการตกจากสวรรค์ชั้นสูงสุดวูบเดียวสู่ปฐพี มันแตกต่างกันเหลือคณานับ ระหว่างความเป็น ‘มือกลองที่เคยเล่นกับ เดอะ บีทเทิลส์ในยุคแรก’ กับ ‘มือกลองตัวจริงของ เดอะ บีทเทิลส์’
และแม้จะกาลเวลาจะผ่านมาเกิน 60 ปี ผู้คนก็ยังคงวิเคราะห์กันไม่เลิกราว่าอะไรกันแน่คือสาเหตุที่ทำให้มือกลองขวัญใจสาว ๆ คนนี้ถูกอัปเปหิ
กับวลี ‘almost famous’ คงไม่มีนักดนตรีคนไหนที่จะ ‘เกือบดัง’ ได้เท่าพีท เบสต์ อีกแล้ว บางคนโหดร้ายถึงกับยกให้เขาเป็น ‘นายขี้แพ้หมายเลขหนึ่งตลอดกาล’ (the greatest loser of all time)
และนี่คือเรื่องราวต่าง ๆ ในหลายแง่มุมของการไล่ออกครั้งสำคัญที่สุดในวงการดนตรี ที่มันอาจจะซับซ้อนซ่อนปมเกินกว่าที่คุณจะคาดคิด
แค่ข่าวลือ
มิถุนายน 1962 โจ แฟลนเนอรี่ (Joe Flannery) ผู้จัดการวง ลี เคอร์ติส แอนด์ เดอะ ออลสตาร์ (Lee Curtis and the All Stars) แวะมาเยี่ยมเยียนพีท เบสต์ ที่บ้าน โจ เอ่ยทักทีเล่นทีจริงว่า
“ว่าไงพีท, เมื่อไหร่จะมาเล่นกะวงเราล่ะ?”
พีทยิ้ม “นี่ตลกใช่ไหม ทำไมผมต้องอยากออกจากเดอะ บีทเทิลส์ ในตอนที่เรากำลังจะดังระเบิดเล่า?”
ขณะนั้นพีท กำลังรอข่าวการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการจากพาร์โลโฟน (Parlophone) อยู่ หลังจากการออดิชั่นที่อีเอ็มไอเมื่อ 6 มิ.ย. 1962 ซึ่งถ้ามันลุล่วงไปได้ดี มันหมายความว่ าเขาและเดอะ บีทเทิลส์กำลังเดินทางสู่ดวงดาว
โจ ชะงัก “โอ้ ผมอาจจะคิดมากไปเองน่ะ มันก็แค่เป็นเรื่องที่ชาวบ้านเขาลือกัน”
“ใครกันนะที่มาปล่อยข่าวลือแบบนี้”
พีท ฉงนสงสัย เขาไม่เคยมีความคิดใด ๆ ในสมองที่จะมาลาออกจากเดอะ บีทเทิลส์ในเวลานี้ หลังจากที่เขาร่วมทุกข์ร่วมสุขตีกลองกับวงมาเกือบสองปี
แต่บทสนทนานี้ก็รบกวนจิตใจของมือกลองหนุ่มสุดหล่อ นี่มันข่าวลืออะไรกันวะ? เดือนต่อมา พีท เลยเอาเรื่องนี้ไปถามผู้จัดการวง ไบรอัน เอ็บสไตน์ (Brian Epstein) ไบรอัน หน้าแดงและพูดจาตะกุกตะกัก พีทเลยถามตรง ๆ ไปเลยว่า
“นี่, ไบรอัน มันมีแผนการอะไรที่จะหาคนมาตีกลองแทนผมในวงเดอะ บีทเทิลส์ไหม?”
ไบรอัน รวบรวมความกล้าตอบไปว่า
“ฉันบอกเธอตรงนี้ได้เลยว่า ในฐานะที่ฉันเป็นผู้จัดการวง, ไม่มีแผนอะไรที่จะหาคนมาแทนเธอ, พีท”
เรื่องเศร้าก็คือ ไบรอัน โกหก มันมีแผนที่จะเชิญพีทออกจากวงจริง ๆ แต่ไบรอัน ยังไม่พร้อมจะบอกพีท ในตอนนั้น และไบรอัน ก็ได้คุยกับโจ แฟลนเนอรี่ ในเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเป็นการเล่าสู่กันฟังตามประสาเพื่อนฝูง แต่โจไม่อาจ ‘เหยียบข่าวนี้เอาไว้นะ’ อย่างที่ตกลงกับไบรอัน สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะโจ ก็อยากให้พีทมาตีกลองให้วง Lee Curtis and the All Stars จริง ๆ
หลังจากพีท ได้รับคำตอบจากไบรอัน เขาก็ไม่ติดใจอะไรอีก ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนปกติ ทุก ๆ เช้า พีท และผู้จัดการทัวร์ของวง นีล แอสไพนัล (Neil Aspinall) (ผู้เป็นเพื่อนสนิทและยังเป็นคนรักของคุณแม่ของพีทในขณะนั้นด้วย) จะช่วยกันขนเครื่องดนตรีขึ้นรถแวนของนีล ก่อนจะแวะไปรับจอห์น เลนนอน (John Lennon), พอล แมคคาร์ตนีย์ (Paul McCartney) และจอร์จ แฮริสัน (George Harrison) เพื่อไปออกแสดงดนตรีตามโปรแกรมในวันนั้น
15 สิงหาคม 1962 เดอะ บีทเทิลส์แสดงดนตรีที่เดอะ คาเวิร์นสองรอบ เที่ยงและรอบดึก หลังจากจบการแสดง พีท เอ่ยคำลาต่อจอห์น “พรุ่งนี้มารับเหมือนเดิมนะ, จอห์น!” แต่จอห์นกลับตอบว่า “ไม่ต้องหรอก, ผมมีนัดอื่นน่ะ”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่พีท ได้พูดกับสมาชิกคนอื่นของเดอะ บีทเทิลส์
และก่อนที่พีท จะออกจากคาเวิร์นในราตรีนั้น ไบรอัน เอ็บสไตน์ โทรฯบอกเขาว่าพรุ่งนี้ให้เจอกันที่ออฟฟิศของเขาตอน 11.00 น. มันไม่มีอะไรผิดวิสัย เพราะไบรอัน มักนัดคุยกับพีทเรื่องการวางโปรแกรมการแสดงเป็นปกติอยู่แล้ว
วันชะตาขาด
เช้าวันต่อมา นีล ขับรถมาส่งพีท ที่ออฟฟิศของ NEMS (North End Music Stores, ที่ทำงานของไบรอันในขณะนั้น) ตามเวลานัด แต่ไบรอัน ดูมีท่าทีผิดปกติ พูดจาวกวน ไม่เข้าเรื่องเสียที เขาถามพีทว่า คิดว่าตอนนี้วงเป็นยังไงบ้าง พีทตอบไปว่า “ก็เลิศนะ (fab)” แต่แล้วจู่ ๆ ไบรอัน ก็เอ่ยวาทะที่ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดใส่พีท
“ฉันมีข่าวร้ายจะบอกเธอนะ เด็ก ๆ (ไบรอันหมายถึงจอห์น, พอล และจอร์จ ที่เขามักจะเรียกพวกเขาว่า the boys) และตัวฉันเองได้ตัดสินใจแล้วว่า เราไม่อยากให้เธออยู่ในวงอีกต่อไป และเราจะให้ริงโก้ มาแทนเธอ”
พีท แทบพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถามว่า “ทำไม?”
“พวกเขาคิดว่าเธอเป็นมือกลองที่ยังไม่ดีพอ, พีท” ไบรอันบอกตรง ๆ และยังเสริมว่า “และจอร์จ มาร์ติน (George Martin) ก็ไม่คิดว่าเธอเป็นมือกลองที่ดีพอเช่นกัน”
จอร์จ มาร์ติน คือโปรดิวเซอร์ของพาร์โลโฟน (Parlophone) ผู้รับเดอะ บีทเทิลส์ เข้าสังกัด และได้เห็นฝีมือของพีท ไปแล้วในเซสชั่นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ Abbey Road ในวันนั้น มาร์ติน กระซิบบอกไบรอัน ว่า พีทดูจะคุมจังหวะไม่ได้ และเขามีแผนจะให้มือกลองอาชีพมาตีแทนในการบันทึกเสียงครั้งต่อไป (ท่านอาจพิสูจน์ฝีมือการตีกลองของพีท ในวันนั้นได้ในอัลบั้มThe Beatles - Anthology 1)
พีท บอกไบรอันว่า เขาคิดว่าเขามีฝีมือไม่แพ้ริงโก้ และอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะความเร็วในการรัวกลอง “แล้วริงโก้รู้เรื่องนี้หรือยัง?” ริงโก้ และพีท เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน
“เขาจะมาร่วมวงในวันอาทิตย์นี้” ผู้จัดการวงหนุ่มตอบ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะไบรอัน เขายกหูขึ้น ฟัง และตอบไปว่า “ฉันยังคุยกับเขาอยู่ตอนนี้” ก่อนจะวางหูลง (ว่ากันว่าคนที่โทรมาคือพอล เพื่อซักถามว่างานที่มอบหมายไบรอัน ทำสำเร็จไหม)
ไบรอัน คุยกับพีท ที่ตอนนี้สมองแทบหยุดทำงานไปแล้วว่า ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในเดอะ บีทเทิลส์แล้ว พีทก็ยังอยู่ในสัญญาอยู่ และเขาจะได้เงินสัปดาห์ละ 50-60 ปอนด์เช่นเดิม ยิ่งกว่านั้น ไบรอัน ไม่ได้ทอดทิ้งพีทเลย เขามีแผนจะให้พีทไปตีกลองในวง เดอะ เมอร์ซี่ บีทส์ (The Mersey Beats) และให้พีท เป็นหัวหน้าวงด้วย
ดูเป็นความกรุณาของไบรอัน แต่ความจริงนี่คือเหตุผลทางกฎหมายที่ลดโอกาสที่พีท จะฟ้องร้องกลับ และทำให้ไบรอัน ต้องเตรียมตัวอยู่นานก่อนที่จะมาบอกข่าวร้ายนี้
“อ้อ และก่อนที่ริงโก้ จะมาถึง เดอะ บีทเทิลส์ ยังมีโปรแกรมต้องเล่นอีกสองที่ ยังไงเธอมาเล่นให้ก่อนได้ไหม เพราะเรายังหามือกลองมาแทนไม่ได้”
พีท ไม่รู้จะตอบอย่างไร ก็เลยบอกว่าได้ และเดินออกมา
ไบรอัน จำได้ว่าการสนทนานี้ กินเวลาถึงสองชั่วโมง แต่พีทกลับจำได้ว่า มันแค่สิบนาทีเท่านั้น
นีล เห็นหน้าพีท เดินลงมาในสภาพดูไม่ได้ “ทำไมนายดูเหมือนกับเพิ่งไปเจอผีปีศาจที่ไหนมา”
พีท ตอบ “พวกเขาไล่ฉันออกจากวง!”
นีล, ตามประสาเพื่อนรัก, บอกพีท ไปว่า งั้นเขาก็จะออกจากงานที่ทำให้เดอะ บีทเทิลส์ด้วย แต่พีทกลับทัดทาน
“อย่าโง่ไปเลย เดอะ บีทเทิลส์กำลังจะก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่”
นีล ส่งพีทกลับบ้าน นาทีที่เขาปิดประตู น้ำตาก็ทะลักออกจากเบ้า พีท อยากจะเอาก้อนหินผูกคอตัวเองแล้วไปโดดน้ำตายที่ท่าเรือเพียร์เฮด (Pier Head) ให้รู้แล้วรู้รอด เขาทำใจไม่ได้ที่จะต้องไปเล่นดนตรีร่วมกับเดอะ บีทเทิลส์ในการแสดงสองรอบที่เหลือ
“ผมถูกแทงข้างหลัง แล้วจะให้ไปนั่งตีกลองบนเวทีกับสามคนที่ทำกับผมแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการราดเกลือลงไปบนแผลลึก”
หลังจากนั้นนานพอสมควร พีท ถึงได้มาทราบว่า เขาเป็นคนเดียวในวงที่ไม่ทราบข่าวว่าเดอะ บีทเทิลส์ได้เซ็นสัญญากับพาร์โลโฟนอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ไม่มีใครคิดจะบอกเขา
ขุ่นแม่พิโรธ
โมนา เบสต์ (Mona Best) คุณแม่ของพีท ผู้เคยเป็นผู้จัดการกลาย ๆ ของเดอะ บีทเทิลส์ก่อนที่ไบรอัน จะเข้ามารับหน้าที่ (โมนาจะเรียกเดอะ บีทเทิลส์ว่า “วงของพีท” เสมอ) เมื่อได้ทราบข่าวพีท ถูกไล่ออกนี้ถึงกับปรี๊ดสุดขีด เธอต่อสายตรงหาจอร์จ มาร์ติน ที่ลอนดอนทันที มาร์ติน ตอบกลับมาอย่างสุภาพว่า ถึงแม้ว่าเขาจะต้องการให้มือกลองอาชีพมาตีแทนพีท แต่มันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาว่าเดอะ บีทเทิลส์จะเก็บพีทไว้หรือเปล่า
หลังจากฟาดมาร์ติน ไป โมนาตามไปกราดใส่ไบรอัน เอ็บสไตน์ต่อ
“จะบอกให้นะไบรอัน มันคือเรื่องของความอิจฉาล้วน ๆ เพราะว่าปีเตอร์ เป็นคนที่มีแฟนเพลงติดตามมหาศาล เขาเป็นคนที่สร้างสาวกให้เดอะ บีทเทิลส์ในลิเวอร์พูล นี่เป็นแผนที่จะกำจัดพีทผู้ที่อนาคตเมื่อวงดังกระฉ่อนแล้วจะเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความสนใจ ในขณะที่คนอื่นเป็นแค่ตัวประกอบ”
กลุ่มผู้ต้องสงสัย
คำถามคือ ใครกันแน่ที่เป็นตัวการสำคัญในแผนการขับไล่พีท เบสต์? ประหนึ่งนิยายสืบสวนสไตล์ Whodunnit ต่างคนก็ต่างมุมมอง
พอล แมคคาร์ตนีย์ กล่าวไว้ในสารคดี บีทเทิลส์ แอนโทโลจี้ (The Beatles Anthology) ว่า หลังจากเซสชั่นในวันที่ 6 มิ.ย.1962 จบลง จอร์จ มาร์ติน ลากพวกเขาทั้งสามไปเพื่อบอกว่า (แน่นอน, ลับหลังพีท)
“ผมไม่โอเคเลยกับมือกลองคนนี้ เคยคิดไหมว่าจะเปลี่ยนเป็นคนอื่น?” และพวกเขาก็ตอบว่า “โอ๊ย ไม่ได้! เราจะไปหักหลังพีท แบบนั้นได้ยังไง แต่เมื่อมาคิดไตร่ตรองดี ๆ อาชีพของพวกเราอาจกำลังแขวนอยู่บนเส้นลวด ถ้าเราดื้อดึงเก็บพีทเอาไว้ เราอาจถูกยกเลิกสัญญาก็เป็นได้”
พอล ยังนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าในอนาคตพวกเขาต้องบันทึกเสียงร่วมกับมือกลองที่เป็นใครก็ไม่รู้ เขาคนนั้นจะเข้าใจความเป็นเดอะ บีทเทิลส์ได้หรือ พวกเขาอยากเล่นดนตรีกับคนลิเวอร์พูลด้วยกัน ที่สร้างดนตรีมาด้วยกันมากกว่า
จอร์จ มาร์ติน ผู้เป็นผู้ต้องหาหมายเลข 1 มาตลอด สารภาพว่า เขาไม่ประทับใจพีท จริง ๆ ทั้งฝีมือดนตรี และบุคลิกที่เงียบขรึมแปลกแยก ขณะที่จอห์น, พอล และ จอร์จนั้น เฮฮาปาร์ตี้ รับส่งยิงมุกกันจนสตาฟฟ์อีเอ็มไอในวันนั้นหัวเราะกันน้ำหูน้ำตาไหล
“แต่ผมก็ไม่คิดนะว่า การที่ผมพูดไปแค่นั้นจะทำให้ไบรอัน ถึงกับไล่เขาออก เพราะพีท ดูจะมีจุดขายที่แข็งแรงในเรื่องความหล่อเหลา ส่วนเรื่องการตีกลองที่ผมมองว่าสำคัญ เอาเข้าจริง ๆ แฟนเพลงก็ไม่ได้ใส่ใจในคุณภาพของเสียงกลองเท่าไหร่หรอก”
ไบรอัน เองผู้ที่เป็นคนลงดาบไม่เคยคิดอยากทำหน้าที่นี้เลย เขาชอบพีท ด้วยซ้ำ (ชอบขนาดที่ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเขาเคยชวนพีทไปร่วมเตียงด้วย แต่พีท ปฏิเสธ) และโดยส่วนตัว ไบรอัน ก็ไม่ชอบการตีกลองของริงโก้ “ผมคิดว่าริงโก้ ตีกลองดังเกินไป” แต่ไบรอัน เคารพความเห็นของจอห์น,พอล และจอร์จ “ถ้าอะไรที่ทำให้พวกเขามีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วย”
พีท เองไม่เคยยอมรับเหตุผลว่าเขา ‘มือไม่ถึง’ เขายืนยันว่าตลอดการตีกลองให้เดอะ บีทเทิลส์สองปี ไม่มีใครสักคนที่จะวิจารณ์คุณภาพในการเล่นของเขา “จนกระทั่งวันท้าย ๆ เรายังดื่มกินกันอยู่ และดูซี้กันดีเหมือนเดิม” นั่นคือความเห็นของพีท
ส่วนจอห์น เลนนอน, ในช่วงแรกดูจะไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ในปี 1967 และ 1974 จอห์นก็,ในแบบของจอห์น, สรุปรวบตึงแบบไร้ความประนีประนอมใด ๆ ในกรณีนี้ว่า…..
“เราเบื่อหน่ายพีท เอาเรื่องเลยล่ะ เขาเป็นมือกลองที่ห่วยแตก พีท ไม่เคยมีพัฒนาการใด ๆ ลือกันไปเรื่อยว่าเขาเจ๋งอย่างนู้นอย่างนี้ และพอล อิจฉาเพราะเขาหล่อเหลาอะไรแบบนั้น จะบอกให้นะว่า เหตุผลที่เขาได้เข้าวงตอนแรกก็เพราะเราต้องมีมือกลองสักคนไม่งั้นเราจะไม่ได้ไปแฮมเบิร์ก เรามีแผนจะเทเขาอยู่แล้ว เมื่อเราพบมือกลองที่เหมาะกับเราจริง ๆ “
“พีทเป็นคนไม่มีพิษมีภัย แต่เขาค่อนข้างหัวช้า ตามมุกเราสามคนไม่ค่อยจะทัน”
แล้วผู้มาแทนพีท, ริงโก้ สตาร์ ล่ะ คิดอย่างไร ริงโก้ ตอบคำถามนี้หลังจากเกิดเรื่อง 30 ปี ว่า เขาเสียใจไหมในเรื่องพีท?
“ไม่นะ ผมจะเสียใจไปทำไมล่ะ ผมเป็นนักดนตรีที่ดีกว่าเขา นั่นคือเหตุผลที่ผมได้งานนี้ มันไม่เกี่ยวกับบุคลิกของผม มันเป็นเพราะผมตีกลองเก่งกว่าเขา ผมเลยได้รับโทรศัพท์เรียกตัว ผมไม่เคยสงสารเขา และผู้คนมากมายก็มีอาชีพได้กับการแค่ได้รู้จักเดอะ บีทเทิลส์”
แต่ในปี 1965 ริงโก้ เคยพูดถึงการใช้ยาเสพติดของพีท ในสมัยอยู่เยอรมนี ทำนองว่าพีท เล่นยาจนป่วยทำให้บีทเทิลส์ ต้องเรียกเขาไปเล่นแทนในบางครั้ง ประโยคนี้ทำให้พีทต้ องลุกขึ้นมาฟ้องร้องหมิ่นประมาทและสุดท้ายต้องตกลงคดีกันนอกศาล
ในนิยายสืบสวนคลาสสิกของอกาธา คริสตี้ ‘ฆาตกร’ มักจะเป็นคนที่ผู้คนเพ่งเล็งน้อยที่สุด และในกรณีนี้ อาจเป็นจอร์จ แฮริสัน เต่าทองผู้เงียบขรึม และดูจะลอยตัวจากเหตุการณ์ แต่ความจริงแล้ว…..
“พีท ชอบโทรมาบอกว่าป่วย และทุกครั้งที่เราเรียกริงโก้ มาช่วยตีกลองให้ มันก็จะให้อารมณ์แบบ ‘นี่ล่ะ ใช่เลย’ จนในที่สุดเราก็คิดว่า เราน่าจะให้ริงโก้ มาอยู่ในวงแบบถาวรไปเลย ผมนี่แหละที่เป็นตัวชงในเรื่องนี้ วางแผนในการให้ริงโก้ แทรกซึมเข้ามา ผมหว่านล้อมจอห์น จนเขาเห็นดีเห็นงามไปด้วย แต่เราไม่เก่งในการที่จะบอกพีท เองในเรื่องนี้ ในเมื่อไบรอัน เป็นผู้จัดการวง ดังนั้น เขาก็ต้องรับหน้าที่นี้ไป ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าเขาจะทำได้ดีซักเท่าไร แต่มันก็เป็นแบบนั้นแหละชีวิต”
“เมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าจริง ๆ ริงโก้ คือสมาชิกตัวจริงของวง ถ้าเป็นหนังก็คือเขาแค่ยังไม่ได้เข้ามาปรากฏตัวในภาพยนตร์จนกระทั่งถึงฉากของเขา”
ประกาศ
ข่าวการถูกไล่ออกของพีท เบสต์ ออกสู่สาธารณะบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์เมอร์ซี่ บีท (Mersey Beat) วันที่ 23 สิงหาคม 1962
“บีทเทิลส์เปลี่ยนมือกลอง!
ริงโก้ สตาร์ (อดีตมือกลองของรอรี่ สตอร์ม แอนด์ เดอะ เฮอริเคนส์) ได้เข้าร่วมวงเดอะ บีทเทิลส์ แทนพีท เบสต์ ในตำแหน่งมือกลอง ริงโก้นั้ นชื่นชอบเดอะ บีทเทิลส์มาหลายปีแล้วและยินดีอย่างยิ่งกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาตื่นเต้นมากกับอนาคต
เดอะ บีทเทิลส์ให้ความเห็นว่า ‘พีทออกจากวงโดยความเห็นชอบของทุกฝ่าย ไม่มีการโต้เถียงหรือความยากลำบากใด ๆ มันเป็นการตัดสินใจแบบมิตรภาพ’
ในวันอังคารที่ 4 กันยายน เดอะ บีทเทิลส์จะเดินทางไปลอนดอนเพื่อบันทึกเสียงที่ห้องอัด EMI พวกเขาจะอัดเพลงใหม่หลายเพลงที่แต่งขึ้นมาเพื่อวงโดยเฉพาะ”
ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมดในข่าวนี้ มันเป็นเพียงสิ่งที่ไบรอัน เอ็บสไตน์ ส่งให้บิล แฮรี่ (Bill Harry) บ.ก.ของเมอร์ซี่ บีทที่ก็ลงข่าวไปตามนั้น
หลังจากข่าวแพร่กระจายออกไป แฟนเพลงของพีท เบสต์ ก็ลุกฮือ พวกเขามาชุมนุมกันที่หน้าบ้านของพีท โวยวาย ร้องห่มร้องไห้ อีกส่วนหนึ่งบุกไปที่ออฟฟิศของไบรอัน ที่ไวท์ชาเปล (Whitechapel ) จนกระทั่งเรย์ แมคฟอล (Ray McFall) เจ้าของเดอะ คาเวิร์น ต้องหาบอดี้การ์ดมาคุ้มกันให้ไบรอัน ส่วนริงโก้ ได้รับปากกาอาบยาพิษเป็นของขวัญจากแฟนเพลง
#petebestforever
การแสดงของเดอะ บีทเทิลส์ที่คาเวิร์นที่ริงโก้ มาประจำตำแหน่งมือกลองถาวรในระยะแรกเต็มไปด้วยความโกลาหล แฟนเพลงกลุ่มหนึ่งโห่ร้องขับไล่ริงโก้ ตลอดโชว์ ในการแสดงภาคเที่ยงช่วงวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม จอร์จ แฮริสัน อดรนทนไม่ไหว ด่าสวนกลับลงไปบ้าง
หลังจบการแสดง จอร์จ ถูกแฟนเพลงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาเฮดบัตต์ใส่จนเบ้าตาเขียวคล้ำ ริงโก้ กล่าวติดตลกในภายหลังถึงเหตุการณ์นี้ว่า “จอร์จสู้เพื่อผม!” กลั้วเสียงหัวเราะชอบใจ
เจนนี่ แฟนเพลงของพีท คนหนึ่งเขียนจดหมายไปบ่นเรื่องพีท-ริงโก้ ให้จอร์จ อ่าน มือกีตาร์หนุ่มเขียนตอบกลับมาว่า
“ริงโก้ เป็นมือกลองที่เก่งกว่ามากนะ และเขายังยิ้มได้ด้วย ซึ่งมันก็มากกว่าที่พีท ทำได้นิดหน่อย ใจเย็น ๆ มันจะดูแปลก ๆ อยู่ไม่กี่อาทิตย์ แต่ผมคิดว่าแฟนเพลงส่วนใหญ่จะยอมรับริงโก้ ได้ในที่สุด…. รักมากนะ จากจอร์จ”
และจอร์จก็พูดถูก ในเวลาไม่นานนัก กระแสต่อต้านริงโก้ ก็ลดลง ด้วยฝีมือที่เข้มข้นและบุคลิกร่าเริงของริงโก้ แฟนเพลงจำนวนไม่น้อยลืมพีท เบสต์ ไปอย่างรวดเร็ว นับจากนี้ไป เดอะ บีทเทิลส์ คือ จอห์น, พอล, จอร์จ และ ริงโก้ ตลอดกาล
หายนะแห่งชีวิต
ในที่สุดพีท ก็รับข้อเสนอไปเล่นกับวงของ ลี เคอร์ติส จริง ๆ อย่างที่โจ แฟลนเนอรี่ ชักชวนเอาไว้ (เขาปฏิเสธความหวังดีของไบรอัน ที่จะเข้าวงเดอะ เมอร์ซี่ บีทส์) ต่อมาลี เคอร์ติส ออกไปเป็นศิลปินเดี่ยว พวกเขาเลยเปลี่ยนชื่อวงเป็น Pete Best All-Stars ก่อนจะกลายเป็น Pete Best Four และ Pete Best Combo
เมื่อเดอะ บีทเทิลส์ดังขึ้นเรื่อย ๆ ความนิยมในตัวพีท เบสต์ ก็เสื่อมถอยลงตามลำดับ
“แทบไม่มีใครจ้างเราไปเล่นที่ไหน และผมก็แทบหาเงินมาใช้จ่ายในแต่ละเดือนไม่ได้ บุหรี่สักซองยังลำบาก และผมก็ทำใจให้ไม่คิดไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้ว ผมควรได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของเดอะ บีทเทิลส์ ที่ผมคิดว่าผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเขาไปถึงจุดนั้น”
เคธี่ ภรรยาของพีท ทำงานที่แผนกบิสกิตของห้างวูลเวิร์ธส (Woolworths) วันหนึ่งในปี 1967 พีท รอจนเธอไปทำงาน, เขาตรงไปที่ห้องนอน, ปิดทางเดินอากาศทุกช่องในห้อง และทำการรมแก๊สเพื่อหมายปลิดชีวิตตัวเอง พีท กำลังจะสิ้นลมหายใจเมื่อรอรี่ น้องชายของเขาได้กลิ่นแก๊สและพังประตูเข้ามาช่วยพีท ไว้ทัน มิฉะนั้น เรื่องราวของพีท เบสต์ จะรันทดหนักขึ้นไปอีก
แต่จากนั้นมา พีท ก็ไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นอีก ในปี 1969 เขาได้ไปทำงานบริการสังคม ให้คำแนะนำปรึกษาแก่ผู้มีปัญหาถูกไล่ออกจากงาน “ต่อไปคุณจะได้พบพบกับพีท เบสต์ ผู้ที่จะเข้าใจปัญหาของคุณเป็นอย่างดี” ดูเป็นตลกร้ายที่มันเป็นอาชีพที่ตรงกับชีวิตเขา (เกินไปหรือเปล่า)
ฟ้าหลังฝน
เมื่อ เดอะ บีทเทิลส์ ออกอัลบั้ม Anthology 1 ในปี 1995 มันเป็นงานรวมเพลงหายากและเก็บตกตั้งแต่ยุคแรก และมีเพลงที่พีท เบสต์ ตีกลองอยู่ในนั้น 10 เพลง มันทำให้พีท ได้ค่าตอบแทนจากลิขสิทธิ์พอสมควร (ไม่น้อยกว่า 4 ล้านปอนด์) ในที่สุด เขาก็ได้รับในสิ่งที่ควรจะได้รับ แต่หวังว่าพีท คงจะเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับริงโก้ มือกลองที่รวยที่สุดในโลก และดูเหมือนจะเป็นคนที่ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา: ดูเป็นคนที่มีความสุขล้นเหลือตลอดเวลา ภรรยาคนสวยอดีตสาวบอนด์ และลูก ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ตำแหน่งท่านเซอร์ คำชื่นชมยกย่องไม่รู้จักจบสิ้น… ฯลฯ
ทุกวันนี้ ถ้าคุณไปเยือน เดอะ บีทเทิลส์ สตอรี่ ที่ลิเวอร์พูล คุณจะได้ยินเทปเสียงของจอร์จ มาร์ติน กล่าวตอกย้ำทุกวี่วันว่า
“เขาอาจจะเป็นคนที่ดูดีที่สุดในวง แต่เขาไม่พูดอะไรมาก และไม่มีเสน่ห์เหมือนกับที่คนอื่นอีกสามคนมี ที่สำคัญกว่านั้น ฝีมือการตีกลองของเขาไม่ใช่ระดับชั้นนำในความเห็นของผม ผมไม่ได้คิดมาก่อนว่าพวกบีทเทิลส์คนอื่นจะคิดเหมือนผม ดังนั้น พวกเขาเลยเอาคำพูดผมไปเป็นฟางเส้นสุดท้าย และพีท ผู้น่าสงสารก็เลยถูกไล่ออก ผมรู้สึกผิดในเรื่องนี้เสมอมา แต่ผมคิดว่าสุดท้ายเขาก็เอาชีวิตรอดมาได้”
ปัจจุบัน พีท เบสต์ อายุ 81 ปี และจากวันนั้นจนวันนี้ เขาก็ยังไม่ได้พูดคุยกับบีทเทิลส์คนอื่น ๆ อีกเลย และยังไม่เคยยอมรับว่าเขาถูกไล่ออกเพราะฝีมือกลองของเขาไม่ถึงขั้น บางทีพีท อาจจะยังคงรอคอยฟังประโยคนี้จากปากพอล แมคคาร์ตนีย์ :
“ใช่แล้วพีท พวกเรารวมหัวกันไล่นายออกเพราะนายดูดีเกินไป พวกเราอิจฉานายน่ะ!”
Bonus - 11 ทฤษฎีว่าด้วยสาเหตุการไล่พีท เบสต์
เรื่อง: กองทุน รวยแท้
ภาพ: (ขวา) แฟ้มภาพพีท เบสต์ เมื่อปี 2004 และภาพถ่ายวง The Beatles ยุคที่มีพีท เป็นมือกลอง ไฟล์จาก Getty Images
อ้างอิง: