28 ก.พ. 2567 | 12:00 น.
KEY
POINTS
วันวาเลนไทน์ ปี 1984 โบสถ์เซนต์มาร์ก (St. Mark’s Anglican church) ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ถูกประดับประดาด้วยกุหลาบกว่าสามพันดอก และดอกกล้วยไม้ขาวนับร้อย สถานที่แห่งนั้นได้รับการตกแต่งอย่างงดงามให้เหมาะสมกับงานวิวาห์ของคู่บ่าวสาวซึ่งงดงามไม่แพ้กัน ‘เรนาเต บลาวเอล’ (Renate Blauel) สวยสง่าในชุดเจ้าสาวที่ตัดด้วยผ้าแพรสีขาว เข้ากับเครื่องประดับ จี้รูปหัวใจทำจากเพชร 63 เม็ด เป็นของขวัญจากเจ้าบ่าวผู้ยืนอยู่เคียงกัน เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายขวางสีม่วงสลับขาว ทับด้วยเสื้อโค้ตสีขาว สวมหมวกและหูกระต่ายที่มีลูกเล่นเป็นสีม่วงอ่อน มีเอกลักษณ์สมตำแหน่งนักร้องดังผู้เป็นที่กล่าวขวัญทั้งเรื่องผลงานเพลงและสไตล์แฟชั่นที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร
แม้ปัจจุบัน เขาจะเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าตนเป็นเกย์ แต่ครั้งหนึ่งในวันวาน ตำนานแห่งโลกดนตรีอย่าง ‘เอลตัน จอห์น’ (Elton John) ก็เคยจูงมือเจ้าสาวเข้าประตูโบสถ์ และจูบเธอต่อหน้าแขกเหรื่อผู้ร่วมงาน ท่ามกลางความแคลงใจของเพื่อนใกล้ชิดและคนสนิท เขารักษาสัมพันธ์รักฉันสามี - ภรรยา กับหญิงสาวได้ราว 4 ปี ก่อนตัดสินใจแยกทาง โดยช่วงเวลาที่เคยครองรักกัน ถูกเล่าผ่านมุมมองนักร้องชื่อดังว่า
“
ผมรักเรนาเต
เธอเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยม ผมรักเธอจริง ๆ
แต่…หนึ่งในเรื่องที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต
คือการทำให้เธอเสียใจ
”
ประวัติของเรนาเต บลาวเอล ไม่มีบันทึกไว้โดยละเอียดนัก เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเอลตัน จอห์น ที่ผู้คนแทบไม่ได้ฟังเรื่องราวจากปากของเธอเลย เนื่องจากเธอเป็นคนเก็บตัว และหลังเลิกรากับนักดนตรีชื่อดังก็ยิ่งเร้นกายจากสื่อมวลชนมากขึ้น จึงบอกเล่าได้เพียง เธอเกิดและเติบโตที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี พ่อของเธอเป็นผู้จัดพิมพ์ เขาเลี้ยงดูเธอมาอย่างไม่อู้ฟู่นัก แต่ก็ไม่ขาดตกบกพร่องตามประสาชนชั้นกลาง เรนาเตทำงานเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินลุฟต์ฮันซา ก่อนโบกมือลานกเหล็กมาเรียนวิศวกรรมดนตรี เธอเริ่มทำงานกับค่ายเพลง Croatia Records ในฐานะวิศวกรเสียง ก่อนย้ายไปลอนดอนเมื่ออายุ 22 ปี
ในปี 1982 เอลตัน จอห์น ผู้เคยประกาศต่อสาธารณะ (ในปี 1976) ว่าเขาเป็นไบเซ็กชวล อยู่ในช่วงติดโคเคนอย่างหนัก กำลังมีความสัมพันธ์กับคนรักชายชื่อ แกรี คลาร์ก (Gary Clarke) และกำลังทำอัลบั้ม ‘Too Low for Zero’ (ซึ่งมีซิงเกิลฮิตอย่าง I’m Still Standing และ I Guess That’s Why They Call It The Blues) อยู่ ก็ได้พบกับเรนาเตเป็นครั้งแรก ที่สตูดิโอ AIR ในลอนดอน
Too Low For Zero (1983)
“เธอเป็นคนเงียบ ๆ และถ่อมตัว” จอห์น ฮอลล์ (John Hall) แห่ง Rocket Records กล่าวถึงเรนาเต “แต่ไม่นานเราก็สังเกตว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เอลตันเข้ามาในสตูดิโอ เขาจะพูดบางอย่างกับเธอ แล้วเธอก็จะหัวเราะ ความสัมพันธ์เล็ก ๆ ของทั้งคู่เริ่มต้นอย่างนั้น พอได้ฤกษ์ออกอัลบั้ม หน้าคำอุทิศก็เขียนไว้ว่า ‘ขอขอบคุณเรนาเต บลาวเอล’ ซะแล้ว”
ปีเดียวกันนั้นเอง เรนาเตถูกจ้างให้ร่วมงานในอัลบั้มถัดไปของเอลตัน อย่าง ‘Breaking Hearts’ และในปีถัดมา เอลตัน จอห์นก็ขึ้นเครื่องบินไปยังซิดนีย์ เพื่อเริ่มทัวร์ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยพาเรนาเตไปด้วย
Breaking Hearts (1984)
เอลตันเล่าผ่าน ‘Me’ หนังสืออัตชีวประวัติของตนว่า “ผมเริ่มใช้เวลากับเรนาเตมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมสนุกที่ได้อยู่กับเธอ เธอเป็นคนฉลาด ใจดี และตลกมาก เธอมีอารมณ์ขันแบบอังกฤษ เธอสวยมาก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ตัวเลย” เขายังเล่าเสริมอีกว่า “เธอดูโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวในโลกของผู้ชาย ซึ่งความโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงานั่นแหละ คือสิ่งที่ผมเองก็รู้สึกลึก ๆ ข้างใน”
ความสัมพันธ์ของเอลตันและเรนาเตเริ่มต้นและสานต่ออย่างเพื่อนที่ดี แต่เอลตันก็พบว่าเขาเริ่มอยากพูดคุยกับเธอมากกว่าใช้เวลากับแกรี คนรักของตน เขามักจะขอให้เธออยู่กินมื้อค่ำด้วยหลังอัดเสียงเพียงเพื่อพูดคุยกัน ถึงจุดหนึ่งเอลตันก็พบว่าตนเองวนเวียนกับความคิดหนึ่งในหัวอย่างสลัดไม่หลุด “มีหลายครั้งที่อยู่ ๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่าเธอเป็นทุกอย่างในโลกนี้ที่ผมอยากให้ผู้หญิงคนหนึ่งเป็น ถ้าเกิดว่าผมเป็น Straight”
ตอนนั้นเองที่เอลตันเริ่มคิดถึงพิธีวิวาห์ที่ตนเป็นเจ้าบ่าว และเจ้าสาวคือผู้หญิงตรงหน้า
เขาเริ่มคิดว่า “ถ้าปัญหาในความสัมพันธ์ที่ผ่าน ๆ มาไม่ใช่ตัวผม แต่เป็นความสัมพันธ์แบบคู่รักเกย์ล่ะ? เป็นไปได้ไหมว่าความสัมพันธ์กับผู้หญิงอาจทำให้ผมมีความสุข ขณะที่ความสัมพันธ์กับผู้ชายทำไม่ได้?”
เอลตันถ่ายทอดความคิดนี้ให้เรนาเตฟังในมื้อค่ำมื้อหนึ่ง เธอหัวเราะเพราะคิดว่าเขาเล่นมุกขำขันอย่างเคย เนื่องจากไม่เคยปรากฏวี่แววรักโรแมนติกระหว่างพวกเขา - ทั้งคู่ไม่เคยจูบกันด้วยซ้ำ แต่ความคิดดังกล่าวกลับไม่เลือนหายไปง่าย ๆ เอลตันกล่าวว่าเขา ‘หลงใหลกับความคิดที่จะแต่งงาน มันรู้สึกเหมือนกำลังมีความรัก’
ความรู้สึก ‘เหมือนมีความรัก’ นี่เองที่ผลักดันให้เอลตัน จอห์นขอเธอแต่งงานในร้านอาหารอินเดียแห่งหนึ่ง หลังจากทั้งคู่รู้จักกันได้เพียง 18 เดือนเท่านั้น ครั้งนี้เรนาเตตอบตกลง แล้ววิวาห์สายฟ้าแลบก็ถูกจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อมา
วิวาห์สายฟ้าแลบ
“เขาเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบ… ฉันได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเอลตันมามาก ว่าดูเหมือนเขาจะเป็นไบเซ็กชวล แต่นั่นไม่ทำให้ฉันกังวล ฉันรู้สึกดีเหลือเชื่อเลยละ” คือคำที่เรนาเต บลาวเอล ประกาศในงานแต่ง ที่แม้จะมีเวลาเตรียมการเพียงน้อยนิด แต่ก็หรูหราและมีทุกสิ่งพร้อมสรรพ ทั้งสถานที่ที่ตกแต่งอย่างดี อาหารในงานเลี้ยงชั้นเลิศ แขกเหรื่อที่ล้วนมีชื่อ และสื่อมวลชนที่รัวชัตเตอร์ใส่คู่บ่าวสาวอย่างกึ่งกังขากึ่งประหลาดใจ
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่สื่อเท่านั้นที่ประหลาดใจกับพิธีแต่งงานแสนฉุกละหุกครั้งนี้ แต่คนสนิทหลาย ๆ คนของนักดนตรีก็ด้วย โดยเฉพาะ ร็อด สจ๊วต (Rod Stewart) เพื่อนร่วมอาชีพของเอลตัน จอห์น ที่กล่าวคำยินดีกับพิธีวิวาห์อย่างมีอารมณ์ขันโดยล้อกับเพลง ‘I’m Still Standing’ ของเอลตันว่า
“You may still be standing, but we’re all on the fucking floor.” หรือ “นายอาจยังยืนไหว แต่พวกเรา (ประหลาดใจจน) เข่าอ่อนหมดแล้ว”
อีกคนที่ประหลาดใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าร็อด เห็นทีจะเป็นแกรี คลาร์ก อดีตคนรักของเอลตัน ซึ่งอ้างว่าตนกับเอลตันเพิ่งจะนัดร่วมรักแบบสามคนกับชายขายบริการก่อนการขอแต่งงานเพียงสองคืนเท่านั้น แม้ไม่อาจยืนยันได้ว่าคำกล่าวอ้างของแกรีเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็คงไม่เกินจริงนักหากจะสรุปว่าการแต่งงานหนนี้ของเอลตันได้ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจใครหลาย ๆ คนเสียแล้ว
และคำถามเหล่านั้นก็ยิ่งชวนสงสัยขึ้นทุกที ด้วยวิธีที่คู่แต่งงานปฏิบัติต่อกัน
ฟิลิป นอร์แมน (Philip Norman) ผู้เขียนชีวประวัติของเอลตัน ระบุในหนังสือของตนว่าความสัมพันธ์ระหว่างคู่แต่งงานนั้น ‘ประหนึ่งคู่รักวัยรุ่นที่รักษาพรหมจรรย์’
“
ในซิดนีย์ แม้หลังแต่งงาน พวกเขาก็ยังแยกห้องกัน
เอลตันเอาใจใส่และคอยดูแลเธอเสมอ เขาจะเล่าเรื่องตลก
เธอจะยิ้มให้ เขาดูสดใสและตื่นเต้นเท่าที่คนเราจะเป็นได้
”
แต่ความสดใสและตื่นเต้นนั้นคงอยู่เพียงไม่นาน แม้ว่าทั้งเอลตันและเรนาเตจะให้สัมภาษณ์ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังปกติดี แต่ยิ่งนานวันความเหินห่างระหว่างกันก็ยิ่งประจักษ์ แม้เอลตันจะบอกเรนาเตว่าเขาอยากมีลูก - สองคน เพราะตัวเอลตันเองเป็นลูกคนเดียว แต่พวกเขาก็แทบไม่ได้จูบกันอย่างที่คู่รักทำ หนำซ้ำยังแยกกันอยู่มากกว่าใช้เวลาร่วมกันเสียอีก เรนาเตใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอาชีพวิศวกรเสียงของเธอ ส่วนเอลตัน จอห์นก็รายล้อมตนเองด้วยดนตรีและปาร์ตี้อย่างเคย
โดยเฉพาะปีสุดท้ายของความสัมพันธ์ ที่ข่าวการนอกใจของเอลตันกับคู่นอนและคู่รักชายถูกรายงานหนาหู กระแสเชิงลบทำให้นักร้องดังเกิดภาวะแตกสลายทางอารมณ์จนขังตัวเองไว้ในบ้าน ซึ่งสื่อที่จ้องจับตาอยู่แล้วก็เล่นข่าวต่ออีกว่า เรนาเตต้องไปหาเขาด้วยการปีนบันไดเข้าไปทางหน้าต่างห้องนอน ราวกับโรมิโอ - จูเลียต เวอร์ชันกลับหัวกลับหางก็ไม่ปาน
ท้ายที่สุด สถานะคู่แต่งงานของพวกเขาก็จบลงด้วยการเลิกราเมื่อปี 1988 ซึ่งได้ประกาศสู่สาธารณะเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ว่าเป็นการตกลงร่วมกันของทั้งคู่ โดยพวกเขาจะยังคงความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่ปรารถนาดีต่อกันอยู่ ไม่นานหลังจากนั้น เอลตัน จอห์น ก็เปิดเผยว่าเขาเป็นเกย์
มีการคาดเดากันหลายต่อหลายเหตุผล นักวิจารณ์บางคนกล่าวหาว่าความสัมพันธ์ของเขากับเรนาเตเป็นเพียงแผนประชาสัมพันธ์เอาใจฝ่ายอนุรักษ์นิยมเพื่อยอดขายเท่านั้น ขณะที่คนใกล้ตัวเอลตัน จอห์น อย่าง เบอร์นี เทาพิน (Bernie Taupin) มองว่าการแต่งงานครั้งนั้นแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาลึก ๆ ของเอลตันที่อยากมีครอบครัว สอดคล้องกับที่แม่ของนักดนตรีได้ให้รถเข็นเด็กเป็นของขวัญวันแต่งงาน ขณะที่ฟิลิป นอร์แมน เชื่อว่าเอลตันคิดจะใช้การแต่งงานเป็นเครื่องมือ ‘กำจัดความไบเซ็กชวลในตัวออกไป’ และเขียนอธิบายในหนังสือ ‘Sir Elton’ ว่า “เขาบอกผมว่าเขาแต่งงานเพื่อทำให้แม่พอใจ เขารู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกผิดกับเรื่องนี้อยู่นานทีเดียว”
ด้านเอลตัน จอห์น ได้เคยให้สัมภาษณ์กับ Los Angeles Times ในปี 1992 ถึงเรื่องการแต่งงานและปัญหาติดเหล้าและยาเสพติดของตัวเองว่า “ต่อให้ผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์ แต่ผมก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ และการแต่งงานกับเธอจะรักษาผมให้หายขาดจากทุกปัญหาในชีวิตได้… (แต่) คุณมีความสัมพันธ์ไม่ได้หรอกเมื่อคุณเสพ (ยาและแอลกอฮอล์) มากขนาดนั้น”
เช่นเดียวกับบทสัมภาษณ์กับ The New Yorker ในปี 1996 เอลตัน จอห์น ระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาดื่มวอดก้าไป 8 แก้วใน 30 นาที ก่อนจะสลบเหมือดแล้วตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองได้ทะเลาะจนแลกหมัดกับจอห์น รีด (John Reid) แถมยังติดโคเคนหนักจนต้องเสพทุก 4 นาที เมื่อถามถึงการแต่งงาน เอลตัน จอห์นก็ตอบว่า
“เมื่อคุณเสพยาหนักจนสติแทบไม่อยู่กับตัว คุณจะเริ่มอยากเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ฉันจะซื้อบ้านใหม่ ฉันจะย้ายประเทศ”
แม้จะเลิกราโดยประกาศว่าจะยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ความจริงแล้วเอลตัน จอห์นและเรนาเตกลับแทบไม่ได้คุยกันอีกเลย ฝั่งเรนาเตนั้น หลังรับเงินชดเชยหย่าร้างจำนวน 5 ล้านปอนด์ก็ไม่เคยเอ่ยปากถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอดีตสามีอีกเลย เธอหลบเร้นจากสายตาสาธารณะไปอาศัยที่คฤหาสน์ชนบทในเซอร์เรย์ที่เอลตันซื้อให้เธอ และใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ในอังกฤษจนกระทั่งปี 2000 จึงย้ายกลับเยอรมนีไปดูแลพ่อแม่ที่ย่างเข้าวัยชรา
เอลตัน จอห์นได้สารภาพในสารคดีปี 1997 ‘Tantrums and Tiaras’ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเรนาเตเหลือเพียงความเงียบงัน
“ผมหวังว่าสักวันเราจะได้เจอกัน และเป็นเพื่อนกันอีก เราไม่ได้ติดต่อกันเลย ซึ่งน่าเศร้ามาก แต่เธอต้องการแบบนั้น ผมไม่มีอะไรจะตำหนิเธอหรอก”
ความเงียบงันนั้นดำเนินไปจนกระทั่งปี 2007 ในการให้สัมภาษณ์กับ The Sydney Morning Herald เอลตันได้อธิบายเกี่ยวกับการแต่งงานในอดีตของตนเพิ่มเติมว่า “คนติดยาคิดแบบนี้: ‘ฉันมีแฟนหนุ่มมามากพอแล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุข เพราะงั้นฉันจะมีภรรยา แบบนั้นทุกอย่างถึงจะเปลี่ยน’ และผมรักเรนาเต เธอเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยม ผมรักเธอจริง ๆ แต่… หนึ่งในเรื่องที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต คือการทำให้เธอเสียใจ” ก่อนกล่าวเสริมว่าในที่สุดเขากับเรนาเตก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
“เราหัวเราะและร้องไห้ด้วยกัน” เอลตันเล่า “เราต่างโตขึ้นกันแล้ว แต่ผมยังเสียใจ (ที่ทำร้ายความรู้สึกเธอ) อยู่ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเธอเป็นคนที่ใช่ ผมใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหก”
ส่วนฝั่งเรนาเตก็ยังคงนิ่งเงียบเช่นเคย มีเพียงคำให้สัมภาษณ์ของแม็กซีน ไนต์ (Maxine Knight) กับ The Daily Mirror เท่านั้นที่ทำให้ผู้คนรู้ความเป็นอยู่ของเธอเมื่อยังอาศัยอยู่ที่เซอร์เรย์
“เราไม่พูดถึงเอลตันกับเธอ เพราะเรารู้ว่าเธอยังเสียใจ เธอไม่เต็มใจจะพูดถึงเรื่องนี้ในพื้นที่ส่วนตัวพอ ๆ กับต่อหน้าสาธารณชน ความอบอุ่นในหมู่บ้านได้ช่วยให้เธอกลับมายืนได้อีกครั้ง”
จะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามักจะได้รับรู้ความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ ทั้งช่วงเริ่มต้น ช่วงรัก และช่วงหลังร้างลา จากฝั่งเอลตัน จอห์นซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะเสียมากกว่า ซึ่งเขาก็ได้กล่าวถึงเรนาเตด้วยถ้อยคำดี ๆ เสมอ และย้ำว่าเธอรักเขาด้วยใจจริง หากเป็นตัวของเอลตันที่โกหกตนเองเรื่อยมาจนทำให้เธอเสียใจ
แต่แล้ว หลังจากเก็บตัวอย่างเงียบเชียบมานาน เดือนมิถุนายน ปี 2020 เราก็ได้ข่าวคราวจากฝั่งอดีตเจ้าสาวเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี น่าเสียดายที่ไม่ใช่ข่าวดี แต่เป็นข่าวการฟ้องร้อง - เมื่อเรนาเต บลาวเอล ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3 ล้านปอนด์จากนักร้องดัง โดยทนายความฝั่งเรนาเตยื่นข้อกล่าวหาว่าหนังสืออัตชีวประวัติ ‘Me’ และภาพยนตร์ ‘Rocketman’ มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการแต่งงานและความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงหย่าร้างที่เอลตันและเรนาเตเคยทำร่วมกันเมื่อปี 1988 และการเปิดเผยดังกล่าวได้กระตุ้นให้ปัญหาสุขภาพจิตที่เรื้อรังมาอย่างยาวนานของเรนาเตแย่ลงเพราะความสนใจที่สื่อมวลชนมีต่อตัวเธอ
ในคราวแรก ทีมกฎหมายของเอลตันแย้งว่าข้อมูลที่มีการเปิดเผย ทั้งในหนังสือและภาพยนตร์เป็นข้อมูลสาธารณะที่ผู้คนรู้กันดีอยู่แล้ว ขณะที่ข้อตกลงหย่าร้างมีผลบังคับเพียง ‘เรื่องส่วนตัวและความลับเท่านั้น’ แต่ภายหลังทีมกฎหมายของเอลตันก็ประกาศว่าคดีความยุติลงด้วยดีแล้ว โดยรับทราบถึงความต้องการความเป็นส่วนตัวของเรนาเต และทั้งสองฝ่ายจะไม่กล่าวถึงอีกฝ่าย หรือการแต่งงานอีกในอนาคต และจะไม่ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้อีก