ออซซี ออสบอร์น : เจ้าชายแห่งความมืดผู้เขย่าวงการร็อกให้สั่นสะเทือน

ออซซี ออสบอร์น : เจ้าชายแห่งความมืดผู้เขย่าวงการร็อกให้สั่นสะเทือน

เปิดชีวิตเจ้าชายแห่งความมืด ‘ออซซี ออสบอร์น’ (Ozzy Osbourne) ฟรอนต์แมนแห่ง Black Sabbath กับเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยก้อนกรวดและสาดส่องด้วยเงามืด กว่าจะเป็นร็อกสตาร์ที่เราต่างก็ขนานนามว่าเขาคือ ‘ตำนาน’

KEY

POINTS

  • บทเพลงจาก The Beatles เป็นตัวจุดประกายให้ ‘ออซซี ออสบอร์น’ (Ozzy Osbourne) ตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางสายดนตรีเพื่อเป็นร็อกสตาร์
  • จากความสำเร็จของ ‘Black Sabbath’ ทำให้พฤติกรรมของออซซีเริ่มเปลี่ยนไป จนต้องถูกไล่ออกจากวงในปี 1979
  • ออซซีในวัย 75 ปี เตรียมจัดคอนเสิร์ตเพื่ออำลาเหล่าแฟนเพลง หลังจากต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพมาเป็นเวลานาน

ออซซี ออสบอร์น’ (Ozzy Osbourne) อดีตฟรอนต์แมนจากวงดนตรีร็อกระดับตำนานนามว่า ‘Black Sabbath’ หนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลและเป็นผู้บุกเบิกดนตรีเฮฟวี่เมทัล นอกจากนั้นผลงานของออซซีในฐานะศิลปินเดี่ยวก็ถือว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และถูกยกให้เป็นเพลงระดับตำนานมากมาย อย่าง Crazy Train, Mr. Crowley, หรือ No More Tears ที่กลายเป็นบทเพลงระดับขึ้นหิ้ง ด้วยดนตรีที่หนักแน่น ดุดัน และเนื้อร้องที่มักอ้างอิงถึงมนต์ดำลึกลับ ผู้คนต่างพากันขนานนามว่าเขาคือ ‘เจ้าชายแห่งความมืด’ (Prince of Darkness)

นอกเหนือจากชื่อเสียงในด้านดนตรีแล้ว วีรกรรมห่าม ๆ มากมายของเขาก็เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน อย่างเหตุการณ์กัดหัวค้างคาว ที่กลายเป็นตำนานเล่าขานกันถึงทุกวันนี้ หรือจะเป็นการประชุมผู้บริหารในค่ายเพลง ซึ่งออซซีโผล่มาในการประชุมด้วยสภาพที่เมาเละเทะจนแทบไม่ได้สติ จู่ ๆ ได้มีนกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ขาของเขา ออซซีในสภาพยังไม่สร่างเมาจึงคว้าเจ้านกดวงซวยตัวนั้นมากัดจนเลือดของมันไหลออกมา และกลายเป็นภาพติดตาของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ณ วันนั้น

แม้เบื้องหน้าของออซซีจะดูเป็นคนห่าม ๆ แต่เบื้องหลังของชีวิตของเขาก็เต็มไปด้วยก้อนกรวด และมืดมนไม่ต่างไปจากเพลงที่เขาร้อยเรียงออกมาเลยแม้แต่น้อย ด้วยจุดเปลี่ยนหลายอย่างในชีวิต บวกกับความบ้าบิ่น จึงพาให้เขากลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้

วัยเยาว์อันมืดหม่น

จอห์น ไมเคิล ออสบอร์น’ (John Michael Osbourne) ลืมตามองดูโลกและเติบโตขึ้นที่เมืองเบอร์มิงแฮม ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของอังกฤษ ครอบครัวของเขาก็ประกอบอาชีพ ณ โรงงานในบริเวณใกล้เคียงกัน 

เขาในวัยเด็กต้องเผชิญกับโรคดิสเล็กเซีย (Dyslexia) หรือ ภาวะบกพร่องทางการอ่านและการเขียน และภาวะสมาธิสั้น ที่ส่งผลกระทบต่อการเรียน ออซซีจึงถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนอยู่เป็นประจำ รวมถึงเพื่อน ๆ มักจะเรียกเขาว่า ‘เจ้าหมูออซซี’ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อที่เราคุ้นเคยกันจนถึงทุกวันนี้

เมื่อออซซีมีอายุได้ 11 ปี ระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน เขาถูกหัวโจกกลั่นแกล้งและล่วงละเมิดทางเพศ (แม้ว่าจะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์ก็ตาม) รวมถึงทุกครั้งที่กลับถึงบ้าน ภาพที่เขาอยากเห็นคือครอบครัวสุขสันต์ที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาบนโต๊ะอาหาร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาต้องเห็นพ่อกับแม่ของตัวเองทะเลาะกันทุกวัน บางครั้งก็ลามไปถึงการใช้ความรุนแรง

กระทั่งออซซีในวัย 14 ปี ที่ไม่ขอทนอยู่กับชีวิตอันขมขื่นแบบนี้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจที่จะแขวนคอตัวเองให้ทุกอย่างมันจบลงเพียงแค่นี้ แต่โชคดีที่พ่อของเขาเข้ามาเห็นก่อน จึงรีบเข้าไปห้ามและทุบตีออซซีอย่างหนัก

ชีวิตอันน่าบัดซบของออซซียังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้ยินเพลง ‘She Loves You’ ของ ‘The Beatles’ ด้วยมนต์เสน่ห์ของบทเพลงจากสี่เต่าทองบวกกับกระแส ‘Beatlemania’ ได้จุดประกายความฝันของออซซีขึ้นมา และปณิธานกับตัวเองว่า 

กูจะเป็นร็อกสตาร์ให้ได้

เพลงของเดอะบีเทิลส์ ได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตอันน่าเบื่อของออซซีให้มีความหวัง เมื่อเขาอายุได้ 15 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนและหันไปทำงานเพื่อหาเงิน ทั้งเป็นช่างประปา ทำงานในโรงงาน และเป็นมือเชือดในโรงฆ่าสัตว์ แต่ด้วยรายได้ที่ไม่มากพอหรือความพิเรนทร์ที่ผุดขึ้นมาในหัวของออซซี จึงหันไปลักขโมยของ

สุดท้าย ออซซีก็ถูกจับได้ในข้อหาลักขโมย และต้องอยู่ในเรือนจำวินสันกรีนเป็นเวลา 6 สัปดาห์ และไม่ถูกประกันตัว เพราะพ่อของเขาต้องการให้ออซซีได้รับบทเรียนที่ตัวเขาต้องหลาบจำ

แม้จะพ้นโทษแล้ว ออซซีก็ยังเลือกที่จะขโมยเล็กขโมยน้อยอยู่เหมือนเดิม และทะเลาะวิวาทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนต้องกลับเข้าไปนอนในห้องขังอีกครั้ง และในช่วงเวลานี้เอง ออซซีได้เริ่มสักข้อความคำว่า ‘OZZY’ ลงบนนิ้วมือของเขา 

วันหนึ่ง เพื่อนของออซซีได้ชักชวนให้เขาเข้ามาร่วมเล่นในวงดนตรี นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ออซซีเข้ามาคลุกคลีกับดนตรีอย่างจริงจัง แต่ระยะเวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็ต้องถูกไล่ออกจากวง เนื่องจากพฤติกรรมเกเรและดื้อรั้น ออซซีตระเวนออดิชั่น และเข้าไปมีส่วนร่วมกับวงดนตรีอื่น ๆ บ้างเป็นระยะ

กระทั่งในปี 1967 ที่เขาได้พบกับ ‘กีเซอร์ บัตเลอร์’ (Geezer Butler) จึงได้ชักชวนกันก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมา ที่มีชื่อว่า ‘Rare Breed’ แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ และบังเอิญที่วงของเพื่อนในสมัยเรียนอย่าง ‘โทนี ไอออมมี’ (Tony Iommi) ก็ยุบวงเช่นกัน พวกเขาจึงตัดสินใจชักชวนกันมาตั้งวง โดยใช้ชื่อว่า ‘The Polka Tulk Blues Company’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘Polka Tulk’ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อวงว่า ‘Earth’ ในภายหลัง

 

‘Black Sabbath’ วงร็อกเขย่าโลก

วันหนึ่งที่วงของพวกเขาจะต้องขึ้นแสดงโชว์ แต่กลับพบว่าในไลน์อัป มีชื่อวงที่ซ้ำกับวงของตัวเขาเอง ทันใดนั้นสมาชิกจึงพยายามหาชื่อมาใช้เพื่อให้ทันก่อนขึ้นการแสดง จนเมื่อสมาชิกในวงได้เสนอชื่อหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่งขึ้นมา และตัดสินใจเอามาใช้ จนในที่สุด นั่นคือจุดเริ่มต้นของวงดนตรีที่จะเขย่าวงการร็อกให้สั่นสะเทือน อย่าง ‘Black Sabbath

สมาชิกของวงประกอบไปด้วย ‘ออซซี ออสบอร์น’ (ร้องนำ), ‘กีเซอร์ บัตเลอร์’ (มือเบส), ‘โทนี ไอออมมี’ (มือกีตาร์), ‘บิล วอร์ด’ (มือกลอง) การถือกำเนิดของ Black Sabbath กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ดนตรีร็อกในยุคนั้นต้องสั่นสะเทือน ด้วยเนื้อหาของเพลงที่พูดถึงผีห่าซาตาน วิญญาณดำมืด บวกกับเสียงดนตรีที่วังเวงราวกับกำลังนั่งซึมซับหนังสยองขวัญผ่านบทเพลง และเสียงร้องของออซซีในสำเนียงอังกฤษเบอร์มิงแฮม ที่เสริมให้เพลงทรงพลังขึ้นเป็นเท่าตัว

ครั้งหนึ่งที่กีเซอร์ บัตเลอร์ได้อ่านหนังสือลึกลับก่อนจะหลับไป จู่ ๆ เขาตื่นขึ้นมา และเห็นเงามืดทะมึนอยู่ที่ปลายเตียง จากนั้นจึงนำเรื่องนี้เล่าให้ออซซีฟัง หลังจากที่ทั้งสองได้พูดคุยกันเสร็จ จึงตัดสินใจแต่งเพลงขึ้นมา โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความลึกลับ ซึ่งเพลงนั้นมีชื่อเดียวกันกับชื่อวง ซึ่งก็คือ Black Sabbath

หลังจากที่วงก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน ในปี 1970 พวกเขาปล่อยอัลบั้มแรกออกมา ในชื่อ ‘Black Sabbath’ ที่เนื้อหาเกี่ยวกับวิญญาณมนต์ดำ ด้วยการนำเสนอที่แปลกใหม่ ฉีกขนบจากวงร็อกในยุคนั้น ทำให้วงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังกลายเป็นหนึ่งในวงที่น่าจับตามอง

7 เดือนต่อมา วงได้ตอกย้ำความสำเร็จด้วยอัลบั้มลำดับที่สอง อย่าง ‘Paranoid’ ที่มีเพลงฮิตอย่าง Paranoid, War Pigs, และ Iron Man ทำให้ชื่อเสียงของวงโด่งดังเป็นพลุแตก และประสบความสำเร็จอย่างสูง จนปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 33 ล้านชุดทั่วโลก

 

จากร็อกสตาร์สู่สามัญชน

ทางวงยังคงปล่อยผลงานเพลงและอัลบั้มออกมาอยู่เรื่อย ๆ แบบปีต่อปี อีกทั้งยังกวาดรางวัลมาอย่างมากมาย แต่ถึงกระนั้น ชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้น อีโก้และความขัดแย้งในวงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

ออซซีเริ่มใช้ชีวิตเสเพล ขาดความรับผิดชอบ รวมถึงเงินที่ได้มา ก็นำไปลงกับอบายมุขเสียทั้งหมด จนครั้งหนึ่งที่ค่ายให้เงินทุนเพื่อทำอัลบั้ม แต่เขากลับนำเงินก้อนนั้นไปลงกับโคเคนและเฮโรอีนจนแทบจะหมดตัว

นานวันเข้า สมาชิกในวงที่เริ่มเอือมระอากับพฤติกรรมของออซซีที่ไม่เอาไหน จนในวันที่ 27 เมษายน ปี 1979 บิล วอร์ด จำใจต้องบอกกับออซซีว่า

 

เฮ้ ออซซี...

ขอโทษด้วยจริง ๆ ว่ะ

พวกเราจำเป็นต้องไล่แกออก” 

 

เมื่อออซซีถูกขับไล่ออกจากวง และถูกแทนที่ด้วย ‘รอนนี่ เจมส์ ดีโอ’ (Ronnie James Dio) ที่มารับไม้ต่อจากเขา ออซซีจากแต่ก่อนที่เคยเป็นร็อกสตาร์อยู่บนเวที มีผู้ชมหลายหมื่นคนอยู่ต่อหน้า ในตอนนี้เขากลายเป็นเพียงคนเร่ร่อนที่ไร้จุดหมายปลายทาง

ออซซีที่ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไป จึงคว้าเอากุญแจห้องที่ ‘ดอน อาร์เดน’ (Don Arden) ผู้จัดการวง Black Sabbath ได้ให้เอาไว้ ซึ่งเป็นกุญแจโรงแรมแบบห้องเช่ารายปี ออซซีจึงตัดสินใจเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องนั้นอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเหล้ายาต่าง ๆ เขาสูดโคเคนแทนอากาศ ดื่มเหล้าแทนน้ำ ทำแบบนั้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน

แต่แล้วก็มีนางฟ้าผู้มาช่วยดึงออซซีให้หลุดออกจากขุมนรก เธอคือ ‘ชารอน อาร์เดน’ (Sharon Arden) ลูกสาวของดอน อาร์เดน หลังจากที่ออซซีถูกขับไล่ออกจากวง ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึงเขาอีกเลย รวมถึงเพื่อนร่วมวงของเขาด้วยเช่นกัน มีเพียงแค่ชารอนที่เป็นห่วงออซซีว่าชีวิตของเขา ณ ตอนนี้จะเป็นอย่างไร

ชารอนเคยพบกับออซซีตอนที่เธอมีอายุเพียง 18 ปี ซึ่งในตอนนั้นเขาเพิ่งจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงที่พ่อของเธอเป็นคนดูแล ออซซีในสายตาคนอื่น เขาอาจจะดูเป็นชายที่เกเร หัวขบถ ดื้อรั้น แต่ในสายตาของชารอน เขาเป็นผู้ชายที่น่าเข้าหาและมีมุมที่อ่อนโยนซ่อนอยู่

ชารอนรู้ว่าออซซีพักอยู่โรงแรมที่พ่อของเธอได้ให้กับเขาไว้ เธอจึงมุ่งหน้าไปที่โรงแรมนั้นทันที เมื่อเธอมาถึงโรงแรมและหยุดอยู่ที่หน้าห้อง เธอเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เธอเคาะครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มีแต่ความเงียบ จึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป ซึ่งพบว่าในห้องนั้นเต็มไปด้วยเหล้า ยา และเศษขยะที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น ในมุมมืดเธอเห็นร่างของออซซีที่กำลังนอนแน่นิ่ง

เธอรีบพุ่งเข้าไปเรียกสติเพราะเกรงว่าภาพตรงหน้าจะเป็นร่างไร้วิญญาณของเขา แต่โชคดีที่ออซซีสะดุ้งตื่นจากอาการเมาค้างเสียก่อน

ออซซีได้แต่ตัดพ้อว่าชีวิตของเขาในตอนนี้เละเทะไม่เป็นท่า เขาไม่มีวันที่จะกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ชารอน เธอเห็นอะไรบางอย่างในตัวของออซซี และเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถกลับมาได้อีกครั้ง จึงให้กำลังใจพร้อมบอกกับเขา

 

นายลองดูอีกสักครั้ง

ฉันเชื่อว่านายทำได้

อย่าเพิ่งหมดหวัง

 

ชารอนคอยอยู่เคียงข้างออซซี จนเขาตัดสินใจกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง โดยมีชารอนทำหน้าที่เป็นคนดูแลและเป็นผู้จัดการของออซซี ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดทและตัดสินใจแต่งงานกันในปี 1982 

 

การกลับมาในนามศิลปินเดี่ยว

ออซซีออกตามหาสมาชิกนักดนตรี จนในที่สุด เขาได้พบกับมือกีตาร์ที่เปรียบเป็นเทพเจ้าที่ช่วยกลับมากู้ชื่อเสียงของออซซีอีกครั้ง อย่าง ‘แรนดี โรดส์’ (Randy Rhoads) มือกีตาร์ไฟแรงในวัย 20 ต้น ๆ อดีตสมาชิกของวง ‘Quiet Riot’ ด้วยสไตล์การเล่นที่โดดเด่น การนำดนตรีคลาสสิกมาผสมกับดนตรีเฮฟวี่เมทัลในแบบของออซซี จนผลงานในชุดแรกของเขาในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ปล่อยออกมาในปี 1980 อย่าง ‘Blizzard of Ozz’ สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการดนตรีอีกครั้ง

อัลบั้มเปิดตัวของออซซีมีเพลงฮิตหลายเพลง อาทิ Mr. Crowley, Flying High Again, Suicide Solution และเพลงดังอมตะตลอดกาล อย่าง ‘Crazy Train’ ที่ในภายหลังเพลงเหล่านั้นได้กลายเป็นบทเพลงอมตะขึ้นหิ้งของวงการร็อกมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้อัลบั้มนี้ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดในอังกฤษและอันดับที่ 21 ในอเมริกา ชื่อเสียงของออซซีกลับมาโด่งดังอีกครั้ง

แต่แล้วออซซีก็ต้องพบกับอุปสรรคครั้งใหญ่ เมื่อในปี 1982 ที่ออซซีและกำลังอยู่ในช่วงทัวร์คอนเสิร์ต ‘Diary of a Madman’ ก็ต้องสูญเสียมือกีตาร์คนสำคัญไป จากเหตุการณ์เครื่องบินตก

โศกนาฏกรรมดังกล่าว สร้างความสะเทือนใจให้กับสมาชิกวงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะออซซีที่เพิ่งจะกลับมายืนในวงการได้ไม่นาน แต่ด้วยการดูแลจากชารอน และยังได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนนักดนตรีคนอื่น ๆ ซึ่งได้ ‘เบอร์นี ทอร์เม’ (Bernie Tormé) และ ‘แบรด กิลลิส’ (Brad Gillis) มาทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ให้ระหว่างทัวร์ ทำให้ออซซีสามารถกลับมายืนอยู่บนเวทีได้อีกครั้ง

ออซซียังคงออกผลงานและทัวร์คอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง จนในปี 1994 สามารถคว้ารางวัลแกรมมี่แรกมาครองได้ อย่างเพลง ‘I Don’t Want to Change The World’ จากอัลบั้มบันทึกการแสดงสด ‘Live & Loud’ และตลอดในเส้นทางสายดนตรีของออซซี เขายังได้มือกีตาร์ระดับโลกมากมายมาร่วมวง อย่าง ‘เจค อี. ลี’ (Jake E. Lee), ‘แซค ไวล์ด’ (Zakk Wylde), ‘โจ โฮล์มส์’  (Joe Holmes) และ ‘กัส จี’ (Gus G)

เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปหลายปี ความบาดหมางระหว่างออซซีและสมาชิก Black Sabbath ก็ทุเลาลง จนในปี 1985 พวกเขาได้กลับมารวมตัวเฉพาะกิจ และขึ้นแสดงคอนเสิร์ต ‘Live Aid Philadelphia’ เพื่อระดมทุนบรรเทาทุกข์สำหรับวิกฤตความอดอยากในเอธิโอเปีย และในปี 1997 สมาชิก Black Sabbath ได้กลับมารวมตัวและออกทัวร์กันอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยอัลบั้มลำดับที่ 19 ออกมา อย่าง ‘13’ ก่อนที่จะประกาศยุติวงในปี 2017 อย่างเป็นทางการ

และในปี 1996 ชารอนได้สร้างเทศกาลร็อกสุดยิ่งใหญ่ขึ้นมา อย่าง ‘Ozzfest’ เป็นเทศกาลที่ช่วยสนับสนุนศิลปินและวงการดนตรีเมทัล มีวงดนตรีร็อกระดับตำนานมากมายที่ขึ้นโชว์ อย่าง ‘Slayer’, ‘Motorhead’ และ ‘Linkin Park’ รวมถึงในปี 1999 วง ‘Slipknot’ ก็แจ้งเกิดบนเวทีนี้ด้วยเช่นกัน
.
แม้ออซซีจะห่างหายจากการทัวร์เป็นระยะเวลานาน แต่ยังคงปล่อยผลงานสตูดิโออัลบั้มร่วมกับศิลปินชื่อดังมากมาย อย่าง ‘เอริค แคลปตัน’ (Eric Clapton), ‘เอลตัน จอห์น’ (Elton John), ‘เจฟฟ์ เบ็ค’ (Jeff Beck), ‘สแลช’ (Slash) และ ‘โพสต์ มาโลน’ (Post Malone)

ในปี 2023 ออซซียังสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ สาขาอัลบั้มร็อกยอดเยี่ยม จากชุด ‘Patient Number 9’ อัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 13 และรับรางวัล ‘Best Metal Performance’ จากเพลง ‘Degradation Rules’ ซึ่งทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของตัวพ่อระดับวงการที่ต่อให้เวลาผ่านไปหลายสิบปี แต่ยังคงได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย และยังถูกเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศ ‘Rock And Roll Hall of Fame’ ประจำปี 2024 อีกด้วย

 

Goodbye to Romance

เป็นที่ทราบกันดีว่าตลอดเส้นทางสายดนตรีของออซซี ล้วนเต็มไปด้วยยาเสพติดมากมาย ซึ่งเขาลองมันมาแทบจะทุกอย่าง รวมถึงใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงแบบไม่ห่วงวันพรุ่งนี้

จนเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ชารอนได้กล่าวกับทาง Mirror ว่าออซซีในวัย 75 ปี เตรียมจะเล่นคอนเสิร์ตอำลาเหล่าแฟนเพลง หลังจากที่ต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคพาร์กินสัน และการผ่าตัดที่ครั้งหนึ่งในปี 2003 ออซซีประสบอุบัติเหตุรถเอทีวีร้ายแรง จนหัวใจหยุดเต้นถึง 2 นาที ก่อนที่เขาจะฟื้นขึ้นมา ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังอย่างหนัก จนต้องเข้ารับการผ่าตัดและดูแลอย่างต่อเนื่อง

 

เขาคงจะกลับมาทัวร์ไม่ได้แล้วละ แต่เรากำลังวางแผนที่จะโชว์อีกสักสองโชว์เพื่อกล่าวอำลาแฟน ๆ อย่างเป็นทางการ ซึ่งสามีของฉันบอกว่า ‘ผมยังไม่ได้บอกลาเหล่าแฟน ๆ ของผมเลย ผมอยากจะอำลาพวกเขาให้มันเหมาะสมกว่านี้’”

 

ซึ่งคอนเสิร์ตอำลาดังกล่าว จะถูกจัดขึ้นที่สนามกีฬา Villa Park ที่ตั้งอยู่ในบ้านเกิดของออซซีอย่างเมืองเบอร์มิงแฮม 

 

ถ้าผมไม่สามารถทัวร์ได้อีกแล้ว ก็ขอแค่ให้ผมได้แสดงอีกสักโชว์และสามารถกล่าวกับพวกเขาว่า ‘สวัสดีทุกคน ขอบคุณมากสำหรับชีวิตผมที่ผ่านมา’ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมกำลังจะทำมันอยู่ และหากจะต้องตายห่าขณะที่อยู่บนเวที ผมก็คงจะตายอย่างมีความสุข

 

แม้ปัจจุบันออซซีจะเตรียมอำลาวงการหลังจากมอบความสุขให้เหล่าแฟนเพลงผ่านบทเพลงที่ดุดันและมืดทะมึน แต่สิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้สร้างไว้ให้กับวงการเพลง ล้วนเป็นใบเบิกทางและหมุดหมายสำคัญที่ทำให้โลกดนตรีมีสีสันมากกว่าเดิม 

 

I guess that we’ll meet, we’ll meet in the end

 

ภาพ : Getty Images
อ้างอิง :
ออซซี ออสบอร์น: ราชาดนตรีเมทัลกัดหัวค้างคาวหลังโดนผู้ชมปาใส่บนเวที | The People
Ozzy Osbourne’s tragic health confession and battle with Parkinson’s | NZ Herald
Ozzy Osbourne | Biography
30 Incredible Stories About Rock 'n' Roll Survivor Ozzy Osbourne | Curious Historian
Ozzy Osbourne reveals childhood sexual abuse | Entertainment Weekly
Ozzy attempted suicide, bio says | Entertainment Weekly
Ozzy Osbourne Will Play 2 Concerts in His Hometown as 'Goodbye' to Fans, Says Sharon: 'He Won't Tour Again' | People 
History | Ozzfest
Ozzy Osbourne's legendary career in photos | Planet Rock
OZZY OSBOURNE Wants To 'Say Goodbye' To Fans By Playing Two Final Shows In Birmingham | Blabber Mouth
OZZY OSBOURNE Says He 'Can't Have Any More Surgery': 'I Had Seven Surgeries In Five Years' | Blabber Mouth 
How Sharon Osbourne Met Ozzy Osbourne | The Big Interview