13 พ.ค. 2567 | 19:00 น.
KEY
POINTS
“หมอเคยบอกว่าผมจะมีชีวิตอีกแค่ 5 ปี
แต่ตอนนี้ผมก็ยังมีชีวิตอยู่”
ในยุค 80’s นับว่าเป็นยุคทองของเหล่ากีตาร์ฮีโร่ ที่ได้กำเนิดมือกีตาร์ฝีมือสุดโหดมากมาย จนกลายมาเป็นตำนานให้กับเหล่ามือกีตาร์รุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็น ‘สตีฟ ไว’ (Steve Vai) , ‘อิงเว มาล์มสทีน’ (Yngwie Malmsteen) , ‘พอล กิลเบิร์ต’ (Paul Gilbert) , ‘โจ แซทริอานี’ (Joe Satriani) รวมถึงมือกีตาร์คนอื่น ๆ ที่ออกมาโลดแล่นอยู่ในวงการดนตรี
และหนึ่งในนั้นคือสุดยอดมือกีตาร์ดาวรุ่งแห่งยุค ที่มาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ด้วยทักษะกีตาร์อันโดดเด่น การเล่นด้วยเทมโปที่สูง และสอดแทรกด้วยการร้อยเรียงตัวโน้ตสุดงดงาม มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือกีตาร์ที่มีตัวเลขอยู่บนคอกีตาร์ ซึ่งเด็กหนุ่มผู้นั้นมีนามว่า ‘เจสัน เบกเกอร์’ (Jason Becker)
เด็กหนุ่มไฟแรงที่ก้าวขึ้นมาเป็นดาวดวงใหม่แห่งวงการกีตาร์ เปี่ยมไปด้วยเทคนิคการเล่นอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Speed Picking, Legato, Tapping, String Skipping การจัดวางตัวโน้ตที่สุดแสนจะอัจฉริยะ และมีจุดเด่นคือเทคนิค ‘Sweep Picking’ ที่ขยับนิ้วซ้ายขึ้นลงไปทั่วคอกีตาร์อย่างรวดเร็ว แต่กลับฟังลื่นหู
ด้วยความเก่งกาจนี้ จึงทำให้เขาถูกยกย่องให้เป็นมือกีตาร์ดาวรุ่งที่ดีที่สุด และยังถูกชื่นชมจากเหล่าศิลปินเบอร์ต้น ๆ ของวงการอีกมากมาย รวมถึงยังได้ร่วมงานกับ ‘เดวิด ลี ร็อธ’ (David Lee Roth) ฟรอนต์แมนของวงร็อกชื่อดังอย่าง ‘Van Halen’ อีกด้วย
ทุกอย่างในชีวิตของเจสันดูเหมือนกำลังจะไปได้ด้วยดีตั้งแต่อายุยังไม่มาก แต่จู่ ๆ ก็เปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ เมื่อวันหนึ่งเขากลับพบว่าตัวเองต้องเผชิญกับ ‘โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง’ (ALS) และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น
แต่ความมุ่งมั่นที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับชะตากรรมที่ต้องเผชิญ จึงเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น และสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความเลวร้าย จนกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่ามือกีตาร์รุ่นใหม่ ผ่านเสียงเพลงที่กลั่นกรองออกมาจากจิตใจ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ทุพพลภาพก็ตาม
‘เจสัน อีไล เบกเกอร์’ (Jason Eli Becker) เกิดและเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่รายล้อมไปด้วยเสียงเพลง พ่อและลุงของเขาเป็นนักดนตรี จึงไม่แปลกใจที่เจสันจะค่อย ๆ ซึมซับตั้งแต่ยังพูดไม่คล่อง และเริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุเพียงแค่ 5 ขวบ
กิจวัตรประจำวันของเด็กเพียงไม่กี่ปี ก็คงจะวิ่งเล่น หรือไม่ก็นอนดูการ์ตูนตามประสาของเด็กทั่วไป แต่เจสันกลับขลุกตัวอยู่กับเสียงดนตรีและกีตาร์ไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมีศิลปินที่ชื่นชอบ อย่าง ‘จิมี เฮนดริกซ์’ (Jimi Hendrix) , ‘อีริค แคลปตัน’ (Eric Clapton), ‘เจฟฟ์ เบ็ค’ (Jeff Beck) โดยเฉพาะ ‘เอ็ดดี้ แวน แฮเลน’ (Eddie Van Halen) ที่เขาหลงใหลแบบสุดหัวใจ นั่นจึงทำให้มีเป้าหมายสูงสุดคือการก้าวไปเป็นกีตาร์ฮีโร่ของวงการ
เจสันมักจะแสวงหาความรู้ทางด้านดนตรีอยู่เสมอ ไม่เพียงแค่ฝึกซ้อมกีตาร์อย่างหนักหน่วง แต่ยังหมั่นรับฟังแนวดนตรีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิก, อินเดีย, ญี่ปุ่น, แจ๊ส, บลูส์ จึงทำให้ความคิดและความสร้างสรรค์ทางด้านดนตรีของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
พรสวรรค์ในด้านดนตรีของเจสันนั้นฉายแววและโดดเด่นอย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงขนาดที่อายุได้เพียงแค่ 13 ปี เขาสามารถสอนดนตรีให้กับครูสอนดนตรีเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังสามารถเล่นเพลง ‘Black Star’ ของยอดมือกีตาร์แห่งยุคนั้นอย่าง อิงเว มาล์มสทีน ได้อย่างไหลลื่น ไม่แพ้กับต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเจสันอายุ 16 ปี เขาได้พบกับมือกีตาร์ผู้มากความสามารถอีกคนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘มาร์ตี้ ฟรีดแมน’ (Marty Friedman) ด้วยเคมีที่เข้ากันได้ดี โดยไม่ต้องใช้เวลามากมาย จึงชักชวนกันตั้งวงดนตรีขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า ‘Cacophony’ ที่ดนตรีเต็มไปด้วยการโชว์ทักษะความเก่งฉกาจของสองมือกีตาร์ดูโอที่มีความน่าสนใจ การใช้ทักษะชั้นสูงทางด้านดนตรี และกลิ่นอายของเพลงแนว ‘Neo-Classic’ จึงทำให้ชื่อเสียงของทั้งสอง กลายเป็นที่กล่าวถึงของเหล่าศิลปินและนักดนตรีอย่างรวดเร็ว
เจสันนับว่าเป็นมือกีตาร์ที่มีความเก่งกาจอย่างสูง ซึ่งครั้งหนึ่งในปี 1989 ขณะที่วงเดินทางไปเล่นดนตรีที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงโซโล่กีตาร์เดี่ยว เขาทำให้ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องตกตะลึง โดยที่มือซ้ายเล่นกีตาร์ด้วยเทคนิค Legato พร้อมกับมือขวาเล่นโยโย่ไปด้วย สร้างความฮือฮาและเสียงปรบมือจากเหล่าผู้ชมอย่างอยู่หมัด
แม้ว่าวงจะไม่ประสบความสำเร็จในอเมริกาก็ตาม แต่เขากลับมีชื่อเสียงในยุโรปและญี่ปุ่น รวมถึงบัตรเข้าชมยังขายหมดอย่างรวดเร็ว ทั้งสองร่วมกันออกผลงานอัลบั้มเพียงแค่ 2 ชุด อย่าง ‘Speed Metal Symphony’ และ ‘Go Off!’ ก่อนที่ในปี 1989 จะแยกย้ายกันไปสร้างสรรค์ผลงานตามแนวทางของตนเอง ซึ่งฟรีดแมน ไปเป็นมือกีตาร์ให้กับวง ‘Megadeth’ ส่วนทางเจสันตัดสินใจทำอัลบั้มของตนเองต่อ
เจสันปล่อยอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของตัวเองออกมาในปี 1988 ที่มีชื่อว่า ‘Perpetual Burn’ เขาทำให้วงการกีตาร์ฮีโร่ต้องสั่นสะเทือน ด้วยเทคนิคและชั้นเชิงทางด้านดนตรีที่หาตัวจับยาก มีการเล่นด้วยความเร็วที่สูง สามารถเทียบชั้นกับเหล่ารุ่นพี่ในวงการได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพลงแต่ละเพลงในอัลบั้มมีกลิ่นอายของดนตรีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบลูส์, แจ๊ส, คลาสสิก, เฮฟวี่เมทัล และดนตรียุคเก่าอย่างบาโรก ที่นำมาผสมเข้ากับดนตรีร็อกอย่างลงตัว มีเพลง ‘Altitudes’ กลายเป็นบทเพลงระดับขึ้นหิ้งของวงการกีตาร์
ไม่นานนักหลังจากที่เจสันปล่อยผลงานชุดแรกของตนเอง ทำให้ในปีนั้นเขาถูกยกย่องให้เป็นมือกีตาร์ดาวรุ่งที่ดีที่สุด ของนิตยสาร ‘Guitar Magazine’
ชื่อเสียงของเจสัน เริ่มเป็นที่เลื่องลืออย่างรวดเร็วในวงการดนตรี และยังมีโอกาสเข้าไปเป็นมือกีตาร์ให้กับ ‘เดวิด ลี ร็อธ’ (David Lee Roth) ฟรอนต์แมนของ ‘Van Halen’ วงร็อกชื่อดังที่กำลังจะทำอัลบั้มเดี่ยวชุดที่ 3 ของตนเอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามือกีตาร์ที่เคยร่วมงานกับ ลี ร็อธ ล้วนเป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เอดดี้ แวน ฮาเลน หรือ สตีฟ ไว ที่ร่วมงานกันในอัลบั้ม 2 ชุดก่อนหน้านี้ แต่เจสันเป็นคนที่ขอมารับไม้ต่อจากรุ่นพี่มือกีตาร์ฝีมือฉมัง และทำผลงานออกมาได้ยอดเยี่ยม ไม่แพ้ผลงานก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
ช่วงชีวิตของเจสัน ณ ตอนนี้ ดูเหมือนกำลังจะดำเนินไปอย่างงดงาม และเตรียมจะก้าวขึ้นบันไดไปจนสูงสุดของการเป็นมือกีตาร์ แต่ทว่าบันไดก็ต้องถูกพังทลายลง ด้วยฝีมือของโรคร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาเขาแบบไม่รู้ตัว
ระหว่างที่เจสันร่วมทำอัลบั้มกับ ลี ร็อธ ได้เพียงครึ่งทาง จู่ ๆ เขาเริ่มรู้สึกว่าขาข้างซ้ายของตัวเองอ่อนแรงลง จนเดินสะดุดหกล้มอยู่บ่อยครั้ง เริ่มแรกเขาไม่ได้สนใจอะไรมากเท่าไรนัก แต่นานวันเข้า อาการของมันกลับหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจไปตรวจดูอาการที่มันคอยกวนใจนี้
หลังจากได้รับการวินิจฉัย ก็ต้องได้รับข่าวร้ายตามมา เมื่อพบว่าตนเองกำลังเป็น ‘ALS’ (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือก็คือ ‘โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง’ และสิ่งที่ทำให้ตกใจไปกว่านั้น คือหมอกลับบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ 5 ปี เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เซลล์ประสาทที่คอยควบคุมกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย ก็จะค่อย ๆ เสื่อมลง จากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ก็ลามไปถึงกล้ามเนื้อมัดเล็ก และในท้ายที่สุดเขาก็จะเสียชีวิตลง เพราะไม่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง
ทันทีที่ประโยคนั้นจบลง มันทำให้หัวใจของครอบครัวของเขาแหลกสลาย ทุกคนตกอยู่ในอาการโศกเศร้า แต่เจสันกลับหัวเราะและยิ้มออกมา พร้อมกับกล่าวว่า
“ไม่มีทางหรอก ผมมีหลายอย่างที่ผมอยากจะทำ
ผมไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า”
เขายังคงมองโลกในแง่ดีและมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะหายจากโรคร้ายนี้
เจสันยังคงกลับมาเล่นกีตาร์และร่วมบันทึกเสียงกับ ลี ร็อธ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทุกที และลามไปยังส่วนแขน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสายกีตาร์ให้มีขนาดเล็กลงเพื่อให้สามารถเล่นต่อได้
จนสุดท้าย อัลบั้มนี้ก็ถูกปล่อยออกมาในปี 1991 ภายใต้ชื่อชุดว่า ‘A Little Ain’t Enough’ และ 3 เดือนต่อมา อัลบั้มนี้ยังได้รับรางวัล Gold Record จาก RIAA ก่อนที่เจสันจะรู้ตัวว่าอาการของตนเองเริ่มที่จะทรุดลงทุกที จึงขอถอนตัวออกมารักษา และได้ ‘โจ โฮล์มส์’ (Joe Holmes) มาทำหน้าที่ทัวร์คอนเสิร์ตแทน
อาการของเจสันเริ่มลุกลามอย่างรวดเร็ว จนแขนอ่อนแอเกินที่จะเล่นกีตาร์ได้ เขาจึงเปลี่ยนมาบันทึกเสียงโดยใช้คีย์บอร์ดและคอมพิวเตอร์แทนด้วยมือเพียงข้างเดียว พร้อมกับเสียงที่แหบลงเรื่อย ๆ พ่อของเจสันที่ลาออกจากงานเพื่อมาดูแลเขาอย่างเต็มที่ จึงคิดค้นเครื่องสื่อสารที่ใช้การจับสายตาขึ้นมา เพื่อให้เจสันสามารถสื่อสารโดยใช้วิธีการกลอกลูกตา
แม้ว่าร่างกายจะไม่สามารถกลับมาเล่นกีตาร์ได้เหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่เจสันยังคงมุ่งมั่นที่จะทำผลงานเพลงของตัวเองต่อไป ซึ่งระหว่างนั้น ยังได้เพื่อนศิลปินมากมายมาช่วยเหลือในการทำอัลบั้ม อย่าง ‘สตีฟ เพอร์รี่’ (Steve Perry) และสมาชิก ‘Voicestra’ รวมถึง ‘ไมค์ เบเมสเดอร์เฟอร์’ (Mike Bemesderfer) และ ‘แดน อัลวาเรซ’ (Dan Alvarez) ที่มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งใช้เวลาในการทำนานถึง 5 ปี จนสุดท้ายอัลบั้มชุดที่ 2 อย่าง ‘Perspective’ ก็ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกในปี 1995 ที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่ในปี 2001 เอดดี้ แวนฮาเลน จะช่วยนำอัลบั้มนี้มาเผยแพร่ผ่านทางค่าย Warner Brothers Records
อาการของเจสันเริ่มทรุดลงเรื่อย ๆ ไร้วี่แววที่จะดีขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งพ่อและเขาได้รู้จักกับหนังสือ ‘Man’s Eternal Quest’ ที่เกี่ยวกับการนับถือพระเจ้าและหลักคำสอนต่าง ๆ นั่นจึงทำให้ครอบครัวของเจสันค้นพบกับแสงสว่างในชีวิตใหม่ ที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจให้กลับมาลุกสู้ต่อ
ครอบครัวของเจสันเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมและพิธีตามโบสถ์ที่อยู่ในละแวกบ้าน ทำให้เขาได้พูดคุยกับผู้คนมากมายที่นับถือในพระเจ้า และยังรู้จักกับ ‘เดวิด ดันลอป’ (David Dunlop) ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทและคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ในชีวิต รวมถึงประโยคของดันลอปที่ช่วยให้เจสันกลับมามีกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยมอีกครั้ง คือคำกล่าวที่เขาบอกว่า
“แม้ว่าร่างกายของคุณจะไม่สามารถเล่นกีตาร์ได้เหมือนเดิมแล้ว
แต่คุณสามารถสร้างแขนของคุณขึ้นมาใหม่
สร้างเสียงดนตรี สร้างกีตาร์
คุณสามารถดลบันดาลสิ่งใดก็ได้
ขึ้นมาในจิตใจของคุณ”
มีครั้งหนึ่งที่เจสันกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ช่องคอและกระเพาะอาหาร เพราะร่างกายไม่สามารถกินและหายใจได้เองอีกแล้ว นั่นจึงทำให้รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่ด้วยความที่เขาไม่สามารถขยับร่างกายหรือพูดได้ และไม่ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่เพราะอาการเจ็บปวด จึงทำให้เจสันกลายเป็นคนอารมณ์แปรปรวนและหงุดหงิด
กระทั่งคืนหนึ่งที่พยาบาลกำลังดูดเสมหะออกจากปอด มันทั้งเจ็บและปวดอย่างมาก จนทำให้เจสันคิดว่าครั้งนี้เขาคงจะต้องจากโลกนี้จริง ๆ แต่ทันทีที่หลับตา กลับเริ่มมองเห็นแสงสว่างในจิตใจของตนเอง นั่นก็คือพระเจ้าที่เขานับถือ เจสันเริ่มนึกถึงคุณค่าของชีวิต ก่อนที่จะตระหนักรู้ได้ว่า เขายังมีครอบครัว มีเพื่อนพ้องที่คอยให้กำลังใจเสมอมา และเขายังสามารถเล่นดนตรีออกมาจากจิตใจได้ แม้ว่าร่างกายจะไม่เหมือนเดิมก็ตาม
หลังจากคืนนั้น เจสันจากที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก็กลับมาเป็นคนมองโลกในแง่ดีคนเดิม และมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตต่อไปด้วยเสียงเพลงในจิตใจของเขา
ในปี 2001 มีการออกอัลบั้ม Tribute สำหรับเจสัน ที่ได้มือกีตาร์แนวหน้าของวงการอย่าง มาร์ตี้ ฟรีดแมน, พอล กิลเบิร์ต และมือกีตาร์คนอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อระดมทุนค่ารักษา และเป็นทุนสำหรับการวิจัยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้อย่างแน่ชัด
รวมถึงมีสารคดีของเจสัน เบกเกอร์ ที่ปล่อยออกมาในปี 2012 ซึ่งมีชื่อว่า ‘Jason Becker: Not Dead Yet’ ที่บอกเล่าเรื่องราวเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คน และปี 2018 ที่ผ่านมา เขาก็ได้ปล่อยอัลบั้มที่มีชื่อว่า ‘Triumphant Hearts’ ออกมาเช่นกัน
ปัจจุบัน เจสัน เบกเกอร์ ยังมีชีวิตอยู่และยังคงรังสรรค์ผลงานเพลงที่มีความน่าสนใจออกมา แม้ว่าโรคร้ายจะพรากเอาความฝันและร่างกายอันสมบูรณ์ไป แต่มันก็ไม่ได้เอาความมุ่งมั่นที่มีต่อเสียงดนตรีของเขาไปเลยแม้แต่น้อย และเรื่องราวของเจสันก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าศิลปินรุ่นหลัง อีกทั้งยังช่วยเติมเต็มให้วงการกีตาร์มีสีสันยิ่งกว่าเดิม
“ผู้คนต่างสงสัยว่าผมจะมีความสุขกับชีวิตที่ไม่สามารถเดินหรือหายใจปกติได้อย่างไร? เหตุผลที่ชัดเจนที่สุดก็คือครอบครัวและเพื่อนพ้อง รวมถึงเหล่าแฟนเพลงจากทั่วทุกมุมโลก ที่คอยมอบความรักให้ผมเสมอมา นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุข...”
ภาพ : สารคดี Jason Becker: Not Dead Yet
อ้างอิง :
Jason Becker: the man who could have been king | Classic Rock