Snoop Dogg: แรปเปอร์ในตำนาน ผู้พาโลกสองใบมาพบกันในโอลิมปิก ปารีส 2024

Snoop Dogg: แรปเปอร์ในตำนาน ผู้พาโลกสองใบมาพบกันในโอลิมปิก ปารีส 2024

Snoop Dogg ชายผู้ทำให้โลกแห่งความบันเทิงคึกคักมาตลอดระยะเวลา 30 ปี กับการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการมาร่วมพิธีเปิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

หลังจากพิธีเปิดการแข่งขังกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 เสร็จสิ้นไป แม้จะมีหลายอย่างให้น่าตื่นตาตื่นใจไปกับความยิ่งใหญ่อลังการของโชว์แต่ละช่วง ซึ่งเราเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคือ การปรากฎตัวของ ‘Snoop Dogg’ แรปเปอร์ชาวอเมริกันในวัย 52 ปี มาในชุดเครื่องแบบนักกีฬาสีขาว พร้อมติดหมายเลข E015 ไว้บนหน้าอกด้านซ้าย เขาเดินถือคบเพลิงและวิ่งไปตามถนนในแซ็ง-เดอนี (Saint Denis) ท่ามกลางผู้คนหลากสัญชาติ พร้อมแจกรอยยิ้มอารมณ์ดี ถ่ายรูปเซลฟี่กับคนรอบสนามตลอดทาง ก่อนจะส่งต่อคบเพลิง เข้าสู่พิธีเปิดไปอย่างงดงาม

Snoop Dogg ชื่อที่ทำให้โลกแห่งความบันเทิงคึกคักมาตลอดระยะเวลา 30 ปี แถมยังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการมาร่วมพิธีเปิดมหกรรมกีฬาระดับโลก ณ กรุงปารีส ราวกับราชาผู้ขยับโลกดนตรีกับกีฬามาบรรจบกันได้อย่างพอดิบพอดี แต่สำหรับคนในครอบครัวแล้วเขาคือ ‘คอร์โดซาร์ คาลวิน โบรดัส จูเนียร์’ (Calvin Cordozar Broadus Jr) เติบโตมาในย่านลองบีช แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และเพราะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับตัวการ์ตูนจากเรื่อง Peanuts คุณแม่ของเขาจึงมักจะเรียกลูกชายว่า Snoopy อยู่เสมอ

และนี่คือเรื่องราวของ Snoop Dogg แรปเปอร์ชาวอเมริกัน ผู้ขยับโลกสองใบมาบรรจบกันในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024

Snoop Dogg: แรปเปอร์ในตำนาน ผู้พาโลกสองใบมาพบกันในโอลิมปิก ปารีส 2024

Snoop Dogg: แรปเปอร์ในตำนาน ผู้พาโลกสองใบมาพบกันในโอลิมปิก ปารีส 2024

เด็กชายผู้ชื่นชอบ Snoopy

Snoop Dogg เรียนรู้การร้องเพลงมาตั้งแต่มัธยมต้น เขาหลงใหลกับการแรปมากเป็นพิเศษ จึงมักจับกลุ่มร้องเพลงกับเพื่อนอยู่เสมอ อันที่จริงความชอบในดนตรีเริ่มแทรกซึมเข้ามาสู่จิตวิญญาณของเขาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณแม่มักพาเขาไปเข้าโบสถ์ในวันอาทิตย์อยู่เป็นประจำ เสียงขับร้องจากสรวงสวรรค์จึงติดอยู่ในความทรงจำเขาเสมอมา

หลังจากเรียนจบจากโรงเรียน Long Beach Polytechnic High School ในปี 1989 เขาตั้งชื่อวงดนตรี 213 ขึ้นมา ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน คือ ‘วาร์เรน กริฟฟิน’ (Warren Griffin) และ ’นาธาเนียล เฮล’ (Nathaniel Hale) AKA Nate Dogg โดยยึดโยงกับรหัสไปรษณีย์ของเมืองลองบีช ณ เวลานั้น

แม้จะเริ่มหันมาสนใจวงดนตรีมากขึ้น แต่เด็กชาย Snoop ยังคงแบ่งโลกอีกใบให้กับ The Crips แก๊งข้างถนนในลอสแองเจลิส ซึ่งพัวพันกับโคเคน และเข้าออกคุกอยู่เป็นประจำ กระทั่งเขาเริ่มเห็นเพื่อนในแก๊งค่อย ๆ หายตัวไปทีละคน บ้างก็ถูกเก็บ บ้างก็ถูกยิงต่อหน้าต่อตา เขาจึงไม่ลังเลที่จะหันหลังให้กับโลกใบนี้ และใช้ชีวิตอยู่กับเสียงเพลงต่อไปอย่างเงียบเชียบ

Snoop Dogg: แรปเปอร์ในตำนาน ผู้พาโลกสองใบมาพบกันในโอลิมปิก ปารีส 2024

ที่บอกว่าเงียบเชียบ เป็นเพราะวงที่เขาตั้งไม่ได้ถูกรู้จักมากนัก ใครคือ คอร์โดซาร์ คาลวิน โบรดัส จูเนียร์ ไม่มีใครรู้จัก แต่ราวกับฟ้าเป็นใจ เมื่อ Dr.Dre บังเอิญได้ยินท่อนแรปสุดปังจากชายคนนี้เข้า แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพลงจากเด็กหนุ่มข้างถนนไม่เอาไหน แต่เป็นเพชรเม็ดงามที่เขาจะปลุกปั้นให้โลกรู้จัก แต่ครั้นจะดึงเด็กโนเนมจากไหนมาร่วมงาน ดูจะเป็นการดูหมิ่นวงการดนตรีมากเกินไป เขาจึงใช้เทคนิคบางอย่าง เริ่มจากเรียก Snoop Dogg เข้ามาคุย บอกถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าเขาจะขุดเพชรในตมออกมาฉายแสงให้โลกเห็น แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องมาเป็นศิลปินรับเชิญในอัลบั้ม The Chronic (1992)

และนั่นทำให้ Snoop Dogg เป็นที่รู้จัก พ่วงด้วยคำชมที่ส่งเข้ามาอย่างถล่มทลาย ผู้คนต่างตามหาว่า Snoop Dogg คือใคร และนั่นทำให้เขาออกอัลบั้มแรกของตัวเองในชื่อ ‘Doggystyle’ (1993) ระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปีหลังจากร่วมงานกับ Dr.Dre ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ได้ชายคนนี้มาช่วยควบคุมการผลิตเองกับมือ และเขาก็ไม่ทำให้แฟนเพลงผิดหวัง จนครองชาร์ตบิลบอร์ด 200 ได้สมการรอคอย แถมยังมีเพลงที่ติดท็อปเท็นถึง 2 เพลง คือ What's My Name และ Gin & Juice ทำยอดขายทั่วโลกได้สูงถึง 11 ล้านก็อปปี้

 

แรปเปอร์อเมริกัน ผู้ทำให้ควีนอังกฤษเอ่ยปากปกป้อง

เอาปีศาจตนนี้ออกไปจากประเทศเราซะ!

คำพาดหัวที่ปรากฎอยู่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ Daily Star ปี 1993 จนทำให้เขาโดนชางอังกฤษเกลียดทั่วบ้านทั่วเมือง หลังจากถูกตั้งข้อหาร่วมกันทำการฆาตกรรมชายชาวเอธิโอเปีย โดยมี ‘แมกคินลีย์ ลี’ (McKinley Lee) บอดี้การ์ดของเขาเป็นคนลั่นไกปืน จนทำให้ ‘ว่าที่’ ราชาโลกฮิปฮอปพลอยโดนข้อหาร้ายแรงตามไปด้วย

จากชายผู้กำลังส่องประกาย เดินไปทางไหนก็ได้รับการยอมรับ แถมยังกำลังออกทัวร์คอนเสิร์ตอีกต่างหาก แต่ข่าวร้ายก็มาปะทะหน้าเข้าอย่างจัง เพราะบอดี้การ์ดคู่กายพรากชีวิตชายคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้รับการตัดสินให้พ้นผิดในปี 1996 สามปีหลังจากต่อสู้คดีมาอย่างยาวนาน

“ลองเดาดูสิว่าใครออกมาเอ่ยปากปกป้องผม” Snoop Dogg ให้สัมภาษณ์ในรายการ DJ Whoo Kid ปี 2005 ขณะที่เขาอายุ 34 ปี หลังจากผ่านเหตุการณ์น่าเศร้ามาเป็นสิบปี แต่ราวกับว่าความทรงจำที่มีต่อ ‘สตรี’ ผู้ออกมาปกป้องเขาในยามวิกฤตยังไม่เคยจางหายไปแม้แต่วินาทีเดียว

“ควีนไงล่ะ”

“สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 นั่นแหละเธอ พระองค์ตรัสว่า ‘ชายคนนี้ไม่ได้มุ่งร้ายต่อประเทศของเรา ให้เขาเข้ามาได้’”

“นี่คือควีนเลยนะ เวลาเขาพูดเราต้องก้มหัว นั่นคือคุณย่าของเจ้าชายวิลเลียมและแฮร์รี่เลยนะ คิดว่าไง?”

“นายว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดเหรอว่า ‘คุณย่าฮะ ได้โปรดให้เขาเข้ามาเถอะ เขาไม่ทำร้ายใครหรอก เรารักเพลงของเขา’ บางทีพระองค์อาจจะบอกว่า ‘โอเค แฮร์รี่ ย่าจะให้เขาเข้ามาเพราะหลาน เขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายขนาดนั้น แถมยังดูน่ารักอีกต่างหาก’ นั่นละครับ ควีนของเรา that’s my gal.”

ข่าวการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 2022 สร้างความปวดใจให้เขาไม่น้อย Snoop Dogg ออกมาโพสต์สตอรี่ผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัวเช่นกัน โดยเขียนบรรยายถึงความเอื้อเฟื้อของพระองค์ที่มีต่อคนนอกอย่างเขา ที่ไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับสหราชอาณาจักรแม้แต่น้อย  

Snoop Dogg: แรปเปอร์ในตำนาน ผู้พาโลกสองใบมาพบกันในโอลิมปิก ปารีส 2024

ความรักของราชา

นอกเหนือจากชีวิตด้านดนตรี Snoop Dogg ชีวิตรักของเขาก็น่ายกย่องไม่ต่างกัน ชายคนนี้แต่งงานกับ ‘ชานเต โบรดัส’ (Shante Broadus) แฟนสาวผู้เป็นคู่เต้นรำในงานพรอม ทั้งคู่พบรักในระหว่างเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ก่อนจะเรียนจบชั้นมัธยมปลายในปี 1989

ชานเต คือทุกสิ่งทุกอย่าง เธอเป็นแฟนสาวที่น่ารัก พร้อมสนับสนุน Snoop Dogg อยู่เสมอ ตั้งแต่วันที่ไม่มีอะไร มาจนถึงวันที่เขากลายเป็นราชาของโลกใบนี้

4 มิถุนายน 1997 คือวันที่พวกเขาตัดสินใจเข้าประตูวิวาห์ แม้ว่าทั้งคู่เคยแยกทางกันในปี 2004 แต่สุดท้ายก็กลับมาคืนดีกันในอีกสี่ปีให้หลัง และเป็นเวลา 27 ปีแล้วที่คู่รักคู่นี้ยังคงครองรักกันหวานชื่น ขณะที่ Snoop Dogg ทำงานเพลงอย่างต่อเนื่อง ชานเตก็คอยสนับสนุนเขาไม่ห่าง ดูแลธุรกิจมากมายของสามีให้อยู่กับร่องกับรอย ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจกัญชา Leafs by Snoop, ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ดนตรี, วงการอีสปอร์ต, รายการโทรทัศน์ ไปจนถึงการเลือกรับงานในโลกภาพยนตร์ ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านการสแกนจากภรรยาคนเก่งคนนี้ทั้งหมด

“ทุกวันนี้ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ แต่เขารู้ว่าเขาสามารถไว้ใจฉันได้เสมอ จึงไม่แปลกที่เขาอยากจะให้โลกรู้ว่า ณ เวลานี้ เขามีภรรยาอยู่เคียงข้าง และพร้อมช่วยจัดการตารางชีวิต รวมถึงธุรกิจทั้งหมด เขาต้องการผู้หญิงที่พร้อมขึ้นมาเป็นผู้นำ และแน่นอนว่า นั่นคือตัวฉัน ฉันคือคนคนนั้นของเขาเอง”

ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสามคน ได้แก่ ลูกชาย Corde (เกิดในปี 1994) และ Cordell (เกิดในปี 1997) และลูกสาว Cori (เกิดในปี 1999) ลูก ๆ ทั้งสามคือความภาคภูมิใจ โดยลูกชายคนกลางและลูกสาวคนสุดท้อง เดินตามรอยเท้าพ่อได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งคู่ยึดอาชีพศิลปินเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต

ส่วนเคล็ดลับในการครองคู่มาอย่างยาวนาน เขาเผยในปี 2003 ว่า “ผมคิดว่า เพราะเราทั้งคู่ยังเด็ก และเราต่างเต็มใจเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่กัน เธอรู้ว่าความฝันของผมคืออะไร ส่วนผมเองก็รู้ว่าเธอฝันอยากจะทำอะไรเช่นกัน”

“การมีครอบครัว แต่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองได้อยู่นั้น เราทั้งคู่ต้องยอมถอยกันคนละก้าว เพื่อให้ไปถึงสิ่งที่พวกเราฝันถึง มันเป็นเรื่องยากแน่ ๆ ใช่ มันยาก เพราะมีอะไรเข้ามาหลายอย่างเหลือเกิน ที่พร้อมสะบั้นชีวิตการแต่งงาน ผู้คนหย่าร้างกันทุกวัน แต่เมื่อคุณรักใครสักคนจริง ๆ ผมเชื่อว่า คุณคงไม่อยากทำลายมันเองกับมือ และผมว่านั่นแหละ คือความรักที่แท้จริง”

นอกจากผลงานเพลง และธุรกิจกัญชาที่หลายคนมักนึกถึงชายคนนี้แล้ว เขายังมีผลงานภาพยนตร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Training Day (2001), Starsky & Hutch (2004) และ Scary Movie 5 (2013) แถมยังชื่นชอบการออกรายการโทรทัศน์อีกหลายต่อหลายหลายการ ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศว่า Snoop Dogg ได้จากไปแล้ว หลังจากเดินทางไปเข้ารับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณจากลัทธิรัสตาฟาเรียน (Rastafarianism) ในประเทศจาไมกา ซึ่งเป็นลัทธิเดียวกับที่ ‘บ๊อบ มาร์เลย์’ (Bob Marley) ศิลปินนักปฏิวัตินับถือ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาเป็น Snoop Dogg ราชันแห่งวงการดนตรีฮิปฮอปที่ชื่อของเขายังคงถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน

 

เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง

ภาพ : IMDb

 

อ้างอิง