02 ต.ค. 2567 | 11:12 น.
KEY
POINTS
เอริค แคลปตัน (Eric Clapton) ถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีมากที่สุด ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังมาจากพรสวรรค์ทางดนตรีที่โดดเด่นและการบรรเลงกีตาร์ที่ไม่มีใครเหมือน ถึงแม้ แคลปตัน จะมีผลงานที่โด่งดังและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้นกลับเต็มไปด้วยความท้าทายและการค้นหาตัวตนตลอดเส้นทางดนตรีของเขา
สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ในอัลบั้ม Slowhand ที่ร่วมสร้างสรรค์กับโปรดิวเซอร์และซาวด์เอนจิเนียร์มากความสามารถ อย่าง กลิน จอห์นส์ (Glyn Johns) ผู้ผาดโผนอยู่ในยุทธจักรดนตรีร็อค
เอริค แคลปตัน และ กลิน จอห์นส์ พบกันครั้งแรก ผ่านทาง พีท ทาวน์เซนด์ (Pete Townshend) นักกีตาร์ผู้ร่วมสร้างตำนานวง The Who (ซึ่งพีทเขียนเพลงบรรเลงสำหรับอัลบั้มเดี่ยวของตน และยืนยันว่าแคลปตันควรจะเล่นเพลงนั้นแทนตัวเขาเอง) ในตอนแรกนั้น กลินมองแคลปตันเป็นเพียง "เด็กหนุ่มชาวผิวขาวอีกคนหนึ่งที่เล่นบลูส์" ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นความคิดความเข้าใจที่คับแคบเกินไป กอปรกับกลินรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับ แคลปตัน เนื่องจากมือกีตาร์คนนี้ มีปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติดและการไม่รักษาคำพูด
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างเซสชั่นการบันทึกเสียงให้ พีท การทำงานของแคลปตันกลับทำให้กลินเปลี่ยนทัศนคติไปโดยสิ้นเชิง ด้วยฝีมือกีตาร์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และการตอบสนองต่อบทเพลงอย่างเป็นธรรมชาติ
"เขาไม่เคยปล่อยให้สมองเข้ามาขวางกั้นระหว่างหัวใจและนิ้วมือของเขา" กลิน ย้อนความทรงจำ "... มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของผมที่คิดแบบนั้นในตอนแรก แต่เมื่อได้ทำงานกับเขา ความคิดนั้นก็ถูกลบออกไปในทันที"
นี่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กลินทึ่งในความสามารถของแคลปตัน และตกลงปลงใจที่จะเป็นโปรดิวเซอร์ให้ เอริค แคลปตัน
หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นที่สุดของคนทั้งสอง คืออัลบั้ม Slowhand ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยพลังงานบวกและความสนิทสนม โดยกลินเผยว่าการบันทึกเสียงเป็นไปอย่างราบรื่นและเพลิดเพลิน เพราะ แคลปตันและวงได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในทุกๆ การบันทึกเสียง
"มันเหมือนการทำงานที่ง่ายดายที่สุด การบันทึกเสียงร่วมกับกลุ่มคนนี้ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเดินลงบันไดอย่างสบายๆ" กลินย้อนความหลัง
Slowhand เปิดตัวในปี 1977 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเส้นทางดนตรีของแคลปตัน หลังจากที่เขาได้ผ่านช่วงเวลาของการเสพติดยาและความขัดแย้งทางอารมณ์ที่ยากลำบาก อัลบั้มนี้โดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างดนตรีบลูส์ ร็อค และโฟล์คที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความลึกซึ้งทางอารมณ์
ในระหว่างการบันทึกเสียง กลินสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย ซึ่งช่วยให้แคลปตันเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา โปรดิวเซอร์คนดังกล่าวถึงช่วงเวลานี้ว่า "มันไม่ใช่เพียงการทำงานในสตูดิโอ แต่คือการบันทึกความรู้สึกในหัวใจของ เอริค ผ่านเสียงดนตรี"
หนึ่งในเพลงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในอัลบั้มนี้ คือ "Wonderful Tonight" ซึ่ง แคลปตัน แต่งขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกที่เขามีต่อแพททิ บอยด์ (Pattie Boyd) ผู้เป็นคนรักในขณะนั้น แคลปตัน เคยเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า
"ผมแค่อยากจะบอกกับเธอว่า เธอเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถแสดงความรู้สึกนั้นออกมาได้จนกระทั่งได้เล่นมันในเพลงนี้"
ในขณะที่เพลง "Cocaine" จากบทประพันธ์ของ เจ.เจ. เคล (J.J. Cale) มีจังหวะหนักแน่นดุดัน สะท้อนถึงการต่อสู้กับการเสพติดยาและความเจ็บปวดภายในของ แคลปตัน ซึ่ง กลิน ตอกย้ำว่า "นี่คือเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ของเขาในทุกๆ ด้าน ทั้งการทำงานและการเอาชนะใจตัวเอง"
แคลปตัน เคยพูดถึงกลินว่า เป็นผู้สามารถดึงศักยภาพและตัวตนของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ ส่วนกลินก็เชื่อว่า แคลปตันมีความสามารถที่ไม่ใช่เพียงแค่การเล่นดนตรี แต่ยังเชื่อมโยงความรู้สึกของผู้ฟังได้อย่างน่าทึ่ง
ช่วงเวลานั้น อยู่ในจุดที่ชีวิตการงานของแคลปตันเริ่มเข้าที่เข้าทาง และฝีมือทางดนตรีของเขาเดินทางมาถึงจุดสูงสุด แคลปตันแสดงให้เห็นถึงการเล่นกีตาร์ที่ลื่นไหลและมีพลังงานเต็มเปี่ยม ขณะเดียวกันก็มีความละเอียดอ่อนในด้านการเรียบเรียงเสียงดนตรี
"เขาไม่ใช่เพียงศิลปินผู้มีพรสวรรค์ด้านดนตรี แต่ยังเป็นคนที่มีความเข้าใจในชีวิตที่ลึกซึ้ง ทุกโน้ตที่เขาเล่นมาจากความรู้สึกจริงๆ ของเขา" กลินสำทับ
ทางด้านศิลปินเจ้าของผลงานอัลบั้ม เพิ่มเติมว่ากลินเป็นวิศวกรเสียงคนแรกที่ช่วยให้เขาเข้าใจถึงกระบวนการบันทึกเสียงและการจัดการในสตูดิโออย่างลึกซึ้ง พื้นฐานเหล่านี้ส่งผลให้แคลปตันมีโอกาสร่วมในโปรเจ็กต์บันทึกเสียงกับศิลปินและนักดนตรีชั้นนำมากมาย เช่น Ben Sidran, Leon Russell, Ronnie Lane, Pete Townshend และ Howlin’ Wolf และเป็นประสบการณ์ให้เขาพัฒนาตัวเองเป็นโปรดิวเซอร์และศิลปินที่สามารถควบคุมการผลิตงานเพลงได้ด้วยตนเองในภายหลัง
แน่นอนทีเดียวว่า มีบทสนทนาที่น่าสนใจมากมายเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แคลปตันเคยกล่าวติดตลกถึงความขี้เกียจของตัวเองว่า เขามักจะต้องโดนบังคับให้เข้าไปในสตูดิโอและเล่นกีตาร์ แต่เมื่อได้เริ่มเล่นแล้ว ก็สามารถทำทุกอย่างออกมาได้อย่างราบรื่นและสวยงาม
หนึ่งในบทสนทนาที่เป็น “จุดเปลี่ยน” ระหว่างทั้งคู่ คือช่วงเวลาที่ แคลปตัน กำลังตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการทำงานดนตรีของเขา กลิน ให้คำแนะนำที่ แคลปตัน จดจำและนำมาใช้ในการทำงานดนตรีของเขาเสมอมา
"คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เล่นได้เก่งที่สุด หรือสร้างสรรค์เพลงที่ซับซ้อนที่สุด คุณแค่ต้องทำให้เพลงนั้นเป็นตัวแทนของคุณในช่วงเวลานั้น"
คำแนะนำนี้ได้กระชากสติของแคลปตันให้ตระหนักว่า ดนตรีไม่จำเป็นต้องมีเทคนิคที่ซับซ้อนเสมอไป แต่ต้องสะท้อนความรู้สึกภายในใจได้อย่างแท้จริง ในช่วงเวลาที่แคลปตันต้องเผชิญกับปัญหาการเสพติดและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่สับสน Slowhand เป็นเสมือนผลงานที่ช่วยให้เขาได้กลับมาค้นหาตัวตน และก้าวข้ามผ่านความยากลำบากเหล่านั้น ด้วยความช่วยเหลือจาก กลิน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นโปรดิวเซอร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังเป็นเพื่อนที่คอยสนับสนุนและให้คำปรึกษา
"ทุกครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ กลิน จะอยู่ที่นั่นเสมอ เพื่อบอกผมว่าให้เชื่อมั่นในตัวเอง และดนตรีจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยผมให้ผ่านพ้นทุกอย่างไปได้" แคลปตันบอก
อัลบั้ม Slowhand ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในแง่ของยอดขายและคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์เพลง ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ แคลปตัน โดยมีจังหวะที่ผ่อนคลายและโครงสร้างดนตรีที่โดดเด่น การผสมผสานระหว่างดนตรีบลูส์และร็อคอย่างลงตัว ทำให้อัลบั้มนี้เป็นที่จดจำ อีกทั้งยอดขายในช่วงที่วางจำหน่ายนั้นสูงมาก ได้รับแผ่นเสียงทองคำขาว (Platinum) หลายแผ่นในหลายประเทศ รวมถึงทำให้แคลปตันได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นในฐานะศิลปินเดี่ยว
ความสำเร็จของ Slowhand ไม่เพียงแค่เป็นผลงานที่ขายดีและได้รับการยอมรับจากผู้ฟังทั่วโลก แต่ยังทำให้ แคลปตัน ได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการรักษาความจริงใจในการทำดนตรี
เอริค แคลปตัน เดินหน้าต่อไปในเส้นทางดนตรี เขาไม่เคยหยุดที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ และยังคงร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ผู้มีชื่อเสียงหลายคนในช่วงเวลาต่อมา (ล่าสุดคือการออกผลงานใหม่ในเดือนตุลาคม 2024 ในวัย 79 ปี) ทั้งนี้ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา อาจไม่ใช่เพียงแค่ยอดขายอัลบั้ม แต่คือการที่เขาสามารถเอาชนะใจตัวเองและค้นพบตัวตนผ่านเสียงดนตรีได้อย่างแท้จริง
"สำหรับผม ดนตรีคือสิ่งที่ช่วยให้ผมผ่านพ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปได้ มันคือวิธีที่ผมสื่อสารกับโลกและตัวผมเอง"
ที่มา:
- Johns, Glyn. Sound Man: A Life Recording Hits. Penguin Random House. (2014).
- Norman, Philip. Slowhond: The Life and Music of Eric Clapton. Littile, Brown and Company. (2018).