04 ก.พ. 2568 | 15:50 น.
KEY
POINTS
“ฉันบอกตัวเองว่า ถ้าวันหนึ่งได้ขึ้นไปยืนบนเวทีแกรมมี ต่อหน้าคนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการเพลง ฉันจะเรียกร้องให้ค่ายเพลงและอุตสาหกรรมที่ทำกำไรหลายล้านดอลลาร์จากศิลปิน จ่ายค่าตอบแทนที่เพียงพอต่อการดำรงชีพและให้ประกันสุขภาพ”
เสียงของ ‘แชปเพล โรน’ สั่นเครือแต่เด็ดเดี่ยว ขณะรับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมบนเวทีแกรมมี 2025 เธอยังกระทุ้งต่อด้วยหมัดเด็ดอีกว่า “ค่ายเพลง พวกคุณได้พวกเรา แต่พวกคุณดูแลพวกเราดีแล้วหรือยัง?”
ใครจะคิดว่าเด็กสาวที่เคยนั่งสวดมนต์ที่โบสถ์เล็ก ๆ ในเมืองวิลลาร์ด รัฐมิสซูรี วันหนึ่งจะกล้ายืนหยัดท้าทายอุตสาหกรรมเพลงบนเวทีระดับโลกได้ถึงเพียงนี้…
ต่อไปนี้คือเรื่องราวการเดินทางสู่เส้นทางสายดนตรีของ ‘เคย์ลีย์ โรส แอมสตัทซ์’ หรือที่โลกรู้จักในนาม ‘แชปเพล โรน’
“ครอบครัวฉันไปโบสถ์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง” คำสัมภาษณ์ของแชปเพล โรน ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวคริสต์ที่เคร่งครัดในศาสนา และแน่นอน เธอถูกกรอกหูมาตั้งแต่เด็กว่า “การเป็นเกย์คือบาป”
ในขณะที่เสียงบทสวดดังกึกก้องโบสถ์ ในหัวของเธอกลับเต็มไปด้วยเสียงเพลงของเลดี้ กาก้า, เคชา และเคที เพอร์รี ศิลปินที่สังคมของเธอมองว่าเป็น ‘ตัวแทนของบาป’
“ตอนดูมิวสิควิดีโอ Alejandro ของเลดี้ กาก้า ครั้งแรก ฉันตกใจมาก คิดว่านี่คือหนังโป๊หรือเปล่า”
ภายใต้เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายมิดชิดเช่นเดียวกับนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ เธอรู้ดีว่าตัวเองนั้น ‘แตกต่าง’ และอยากจะเอาตัวเองออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น
จุดเปลี่ยนแรกในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเธอหลงรักรุ่นพี่ในโรงเรียน ความรู้สึกนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเริ่มแต่งเพลง แม้สุดท้ายจะไม่สมหวังในความรัก แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่
เมื่อมีเวลาว่าง เธอมักจะอัดคลิปร้องเพลง เริ่มจากการคัฟเวอร์เพลงของนักร้องคนโปรด กระทั่งแต่งเพลงของตัวเองแล้วปล่อยลงยูทูบ คลิปของเธอค่อย ๆ ได้รับความสนใจ กระทั่งไปเตะตาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ‘แอตแลนติก เรคคอร์ดส’
การตัดสินใจเซ็นสัญญามาพร้อมกับการเลือกชื่อศิลปิน ‘แชปเพล’ มาจากชื่อคุณปู่ ‘เดนนิส แชปเพล’ ส่วน ‘โรน’ มาจากเพลงคันทรีเก่าที่ท่านชอบฟังอย่าง ‘The Strawberry Roan’ ของ ‘มาร์ตี ร็อบบินส์’
แต่ชีวิตในวงการเพลงไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด “ฉันต้องบินไป ๆ มา ๆ ตลอดปีสุดท้ายของมัธยม พลาดงานพรอม พลาดพิธีจบ พลาดทุกอย่างที่วัยรุ่นทั่วไปควรได้ทำ” เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้สร้างเพลงของตัวเอง
หลังจากเริ่มมีผลงาน จังหวะสำคัญในชีวิตเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเธอออกไปเปิดหูเปิดตาที่บาร์เกย์ในเวสต์ฮอลลีวูด ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง ที่นั่นไม่มีใครตัดสินใคร ทุกคนได้รับการยอมรับและมีอิสระเต็มที่ แตกต่างจากบ้านเกิดของเธอ ที่เธอมักรู้สึกว่าตัวเองถูกตัดสินเมื่อแสดงความเป็นตัวเองหรือความคิดสร้างสรรค์
“คืนนั้นที่ The Abbey ฉันเห็นนักเต้นระบำโกโก้คนหนึ่ง เธอสวมชุดเล่นแสงวิบวับ เต้นอย่างมั่นใจ ดูมีความสุขมาก แล้วฉันก็คิดว่า นี่แหละคือตัวฉัน ฉันอยากเป็นแบบนั้น”
เช้าวันรุ่งขึ้น เธอตัดสินใจเขียนเพลง ‘Pink Pony Club’ ที่เนื้อเพลงไหลพรั่งพรูราวกับน้ำที่กักเก็บไว้นาน
“Won't make my mama proud. It's gonna cause a scene” (แม่คงไม่ภูมิใจกับสิ่งที่ลูกเป็น และมันจะต้องสร้างความวุ่นวายแน่ ๆ)
ทว่าเพลงที่สะท้อนการปลดปล่อยตัวตนที่ถูกกดทับมานาน ถูกปล่อยออกมาในช่วงแรก ๆ ที่โควิด–19 ระบาด มันจึงจมหายไปราวกับก้อนหินที่ถูกโยนลงน้ำ อีกทั้งค่ายเพลงยังมองว่าเพลงแนวนี้ยังโดนใจตลาดเท่ากับเพลงแรก ๆ ของเธอ
ไม่นานหลังจากนั้น ค่ายเพลงก็ยุติสัญญากับเธออย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่าเพลงของเธอไม่ประสบความสำเร็จ
“วันที่ค่ายโทรมาบอกว่าจะยุติสัญญาของฉัน ฉันร้องไห้จนหมดแรง” หลังจากนั้นเธอต้องกลับไปอยู่บ้านที่มิสซูรีในช่วงล็อกดาวน์ ทำงานที่ร้านกาแฟไดรฟ์ทรูเพื่อหาเลี้ยงชีพ ขณะที่ในหัวหมกมุ่นอยู่กับการแต่งเพลงตลอดเวลา เธอให้เวลาตัวเอง 12 เดือนในการกลับมา “ฉันบอกตัวเองว่า ถ้าปีหน้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นคงเป็นสัญญาณว่าต้องเปลี่ยนเส้นทาง”
แต่โชคชะตาเป็นสิ่งที่ใครก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อ ‘แดน ไนโกร’ โปรดิวเซอร์ที่เธอเคยทำงานด้วย ชักชวนให้เธอกลับไปทำเพลงด้วยกันอีกครั้ง
เธอยังกล่าวถึงโปรดิวเซอร์คู่บุญคนนี้ว่า “แดนมองฉัน และพูดว่า เธอจะทำลายอาชีพของเธอให้พังทลาย ถ้าไม่เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง”
เดือนมีนาคม 2022 เธอปล่อย ‘Naked in Manhattan’ เพลงแรกของเธอในฐานะศิลปินอิสระ โดยไม่มีการสนับสนุนจากค่ายเพลง เธอถ่ายมิวสิควิดีโอกับเพื่อน ๆ ด้วยเสื้อผ้าจากร้านมือสองบนถนนในนิวยอร์กซิตี้ การกลับมาครั้งนี้ เธอตัดสินใจจะทำทุกอย่างในแบบของตัวเอง ออกแบบเสื้อผ้าการแสดงเอง จัดการโชว์เอง แม้กระทั่งตกแต่งเวทีด้วยตัวเอง
Naked in Manhattan เหมือนเป็นเพลงที่สานต่อเรื่องราวของ Pink Pony Club มันเป็นเพลงที่แสดงความเป็น LGBTQ+ อย่างชัดเจนเพลงแรกของเธอ และยังเป็นเพลงแรกที่มีช่วงพูดแทรก ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอ นอกจากนี้ มิวสิควิดีโอยังเปิดตัวสไตล์แดร็กควีน ‘ป๊อปสตาร์จากร้านมือสอง’ ที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเธอ ไม่ว่าจะเป็นผมสีแดงสด ชุดผู้หญิงที่ซับซ้อนและเกินจริงที่ประดิษฐ์จากของในร้านมือสอง ความขี้เล่นแบบพินอัพเกิร์ล เป็นสัญญาณว่านักร้องสาวได้พบภาพลักษณ์ใหม่ที่เธอรักในที่สุด
กลายเป็นว่า แชปเพล คือ ทุกสิ่งที่เคย์ลีย์ละอาย เป็นความสนุกสนานและชื่นชมยินดี เธอแต่งหน้าขาวแบบตลก ที่สำคัญที่สุด เธอแสดงออกทางเพศอย่างไม่ต้องขอโทษในแบบที่ตัวตนจริง ๆ ของเธอยังทำไม่ได้
เดือนมีนาคม 2023 เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายใหม่ของไนโกร แจ้งเกิดอีกครั้งด้วยอัลบั้ม ‘The Rise and Fall of a Midwest Princess’ ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ไม่น่าเป็นไปได้ ระหว่างดนตรีของ ‘แพตซี ไคลน์’ นักร้องคันทรีในตำนาน, ‘มาดอนน่า’ ยุค 80s และ ‘รูพอล’ ราชินีแดร็ก
แล้วในที่สุดเธอก็สร้างตลาดของตัวเองได้สำเร็จ
เพลง ‘Casual’ หนึ่งในเพลงฮิตของเธอ เกิดจากความสัมพันธ์ออนไลน์ที่พังทลาย “เขาบอกว่ามันแค่เรื่องเล่น ๆ” เธอเล่าถึงประสบการณ์ที่เธอเผชิญ “การอัดเสียงเพลงนี้ยากมาก ฉันต้องดึงความเจ็บปวดทั้งหมดออกมา ต้องอัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะรู้สึกถึงความเศร้านั้นอีกครั้ง”
อัลบั้มนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดสตรีมพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่เธอได้ไปแสดงที่เทศกาลดนตรี ‘Coachella’ ด้วยชุดผีเสื้อสีชมพูยักษ์ ที่แม้จะทำให้หายใจลำบาก แต่ก็คุ้มสุดคุ้ม เพราะนี่คือสิ่งที่เธอใฝ่ฝันอยากทำมาตลอด
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เห็นได้ชัดเมื่อคราวที่เธอปฏิเสธคำเชิญให้แสดงในงานเฉลิมฉลอง Pride ที่ทำเนียบขาว “เราต้องการเสรีภาพและความยุติธรรมสำหรับทุกคน” เธอประกาศจุดยืน “เมื่อคุณทำได้ นั่นแหละฉันถึงจะไป”
การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความไม่พอใจของเธอต่อการจัดการของรัฐบาลสหรัฐฯ ในประเด็นสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ รวมถึงสิทธิของชาวปาเลสไตน์ และสิทธิของคนข้ามเพศ
แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์มากมายตามมา แต่เธอยังคงยืนหยัดด้วยความเชื่อที่ว่า ศิลปินต้องใช้เสียงเพื่อสิ่งที่เชื่อ ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างภาพลักษณ์
ในคืนแห่งการประกาศรางวัลแกรมมี เมื่อชื่อของเธอถูกประกาศให้เป็นศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม เธอก้าวขึ้นเวทีพร้อมกับความตั้งใจที่แน่วแน่ เพื่อพูดถึงปัญหาที่ศิลปินหน้าใหม่ต้องเผชิญ
วันนี้ ‘แชปเพล โรน’ ไม่ได้เป็นแค่ศิลปินที่ประสบความสำเร็จ แต่เป็นคนที่กล้ายืนหยัดบนเวทีแกรมมี เพื่อส่งเสียงแทนศิลปินที่ถูกมองข้าม เธอใช้โอกาสนั้นตั้งคำถามกับอุตสาหกรรมดนตรี และเรียกร้องให้มันเป็นสถานที่ที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน จากเด็กสาวที่เติบโตมาในเมืองเล็ก ๆ และเคยสงสัยว่าตัวเองมีที่ยืนในโลกนี้หรือไม่ วันนี้เธอพิสูจน์แล้วว่าการเป็นตัวเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นพลังที่ทำให้เธอมาไกลถึงจุดนี้
เรียบเรียง: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
How Did Chappell Roan Get Famous? Biography.com, https://www.biography.com/musicians/a61100342/how-did-chappell-roan-get-famous. Accessed 3 Feb. 2025.
Spanos, Brittany. “Chappell Roan’s ‘Casual’ Rise to Pop’s Big Leagues.” Rolling Stone, 20 Sept. 2023, https://www.rollingstone.com/music/music-features/chappell-roan-casual-release-1234618237/.
Snapes, Laura. “Chappell Roan: Pop’s Next Big Thing – ‘I Grew Up Thinking Being Gay Was a Sin.’” The Guardian, 29 Dec. 2023, https://www.theguardian.com/music/2023/dec/29/chappell-roan-pops-next-big-thing-i-grew-up-thinking-being-gay-was-a-sin.
Rowley, Glenn. “Chappell Roan’s Star Turn at the Grammys Is Just the Beginning.” San Francisco Chronicle, 29 Jan. 2024, https://www.sfchronicle.com/entertainment/article/chappell-roan-grammy-awards-20135661.php.
Grady, Constance. "Chappell Roan Spent 7 Years Becoming an Overnight Success." Vox, Vox Media, 21 Aug. 2024, https://www.vox.com/culture/358464/chappell-roan-rise-and-fall.