‘นภ พรชำนิ’ นักร้องที่ไม่ชอบร้องเพลง กับเสียงร้องจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงผู้คน

‘นภ พรชำนิ’ นักร้องที่ไม่ชอบร้องเพลง กับเสียงร้องจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงผู้คน

‘นภ พรชำนิ’ เจ้าของเสียงคุ้นหูในเพลง ‘ฤดูที่แตกต่าง’ นักร้องที่ไม่เคยร้องคาราโอเกะและไม่แม้แต่จะร้องเพลงที่บ้าน แต่ทุ่มเทเต็มที่ในทุกการแสดง

KEY

POINTS

  • นักร้องที่ไม่ชอบร้องเพลง แต่ทุ่มเทในการแสดงสดทุกครั้งเพื่อผู้ฟัง 
  • เส้นทางจากวิศวกรสู่ศิลปิน ที่นำความเป็นระบบมาพัฒนาวงการดนตรี 
  • ความเชื่อในพลังของดนตรีที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน ผ่านการทำงานด้วยหัวใจมา 30 ปี

“บทเพลงที่ถูกเขียนมาจากเลือดเนื้อ ชีวิตจิตใจของคนเขียนเนี่ย มันจะไปเปลี่ยน ไปทำปฏิกิริยา เปลี่ยนแปลงกับคนฟังได้ ไปสร้างแรงบันดาลใจในการค้นหาตัวเองให้ตัวเค้าได้” 

‘นภ พรชำนิ’ กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น สะท้อนปรัชญาการทำงานของ ‘เบเกอรี่มิวสิค’ ค่ายเพลงทางเลือกในตำนาน ที่สร้างสรรค์ผลงานเพลงอันเป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ 

ย้อนกลับไปในวันวาน เส้นทางดนตรีของ ‘นภ’ เริ่มต้นจากมิตรภาพกับ ‘ป๊อด ธนชัย’ หรือ ‘ป๊อด โมเดิร์นด็อก’ เพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนเซนต์คาเบรียล “ผมเป็นหัวหน้าห้อง เค้าเป็นรองหัวหน้าห้อง” นภเล่าความหลัง แม้ต่อมาเส้นทางการศึกษาของทั้งคู่จะแยกจากกัน โดยป๊อดไปเรียนต่อที่สวนกุหลาบและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนนภเรียนต่อที่เตรียมอุดมและมหาวิทยาลัยมหิดล แต่มิตรภาพก็ยังคงแน่นแฟ้น

“เวลาเราอยู่กับเพื่อนคนนี้ มันมีความสุขจริง ๆ” นภเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาติดตามไปให้กำลังใจป๊อดในทุกเวทีคอนเสิร์ต กระทั่ง ‘โมเดิร์นด็อก’ ชนะการประกวด ‘โค้กมิวสิกอวอร์ด’ และเข้าสู่วงการเพลงเต็มตัว

ไม่น่าเชื่อว่า จุดเปลี่ยนในชีวิตของป๊อด ต่อมาได้สร้างจุดเปลี่ยนในชีวิตของเพื่อนรักอย่างนภเช่นกัน เพราะวันที่ป๊อดเข้าไปบันทึกเสียงที่เบเกอรี่มิวสิค นภก็ติดสอยห้อยตามป๊อดไปด้วยเหมือนทุกครั้ง “ผมก็ตามป๊อดไปดูอีกเหมือนเดิม เหมือนเป็นแฟนเพลงป๊อด ไปให้กำลังใจเพื่อนด้วย”

‘นภ พรชำนิ’ นักร้องที่ไม่ชอบร้องเพลง กับเสียงร้องจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงผู้คน

วันนั้นนภได้มีโอกาสเข้าไปในห้องอัดกับป๊อด และได้พบกับ ‘บอย โกสิยพงษ์’ ที่กำลังมองหาคนมาร้องเพลง ‘ฤดูที่แตกต่าง’ อยู่พอดี หลังจากป๊อดร้องจบ เขาจึงพูดเปิดทางให้นภได้ลองร้องเพลงนี้ด้วย 
 

“ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าพี่บอยจะชอบ” นภเล่าถึงการอัดเสียงครั้งแรก “ผมได้ยินเสียงป๊อดร้องแล้วล่ะ ป๊อดมันร้องแบบหนึ่ง ผมก็เลยร้องอีกแบบนึงให้พี่บอยฟัง” ปรากฏว่าบอยชอบเสียงของนภ และตัดสินใจเลือกให้เขาเป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลงนี้แทนป๊อด

เมื่อถามถึงเหตุผล นภเล่าว่า “พี่บอยเคยเล่าให้ฟังว่า เค้ารู้สึกว่าเพลงของป๊อด ป๊อดจะเป็นอีโมชั่นแนลที่มีความเป็นตัวของป๊อดใส่ลงมาด้วย แต่เพลงฤดูที่แตกต่างเนี่ย พี่บอยต้องการให้มันเป็นยูนิเวอร์แซล อยากให้เป็นเพลงของใครก็ได้ อยากให้คนฟังฟังแล้ว ไม่รู้ว่าใครร้อง เค้าจะได้รู้สึกว่าเพลงนี้กำลังพูดถึงชีวิตตัวเองอยู่” 

การบันทึกเสียงเพลงนี้ใช้เวลาถึง 3 เดือน “มันไม่ง่ายเลยนะ มันไม่ง่ายที่จะร้อง โดยเฉพาะท่อน อดทนเวลาที่ฝนพรำ” นภเล่าถึงความยากลำบากในการร้อง เนื่องจากเขาไม่เคยร้องเพลงมาก่อน “คิดอย่างเดียวว่าเพลงนี้มันจะอยู่ไปอีกร้อยกว่าปี เราต้องทำให้ดีที่สุดให้ได้”

ที่น่าสนใจคือ ในเวลานั้น นภยังเป็นเพียงหนุ่มวัย 22 ปี ที่ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากนัก “ผมไม่ได้มีประสบการณ์สูญเสียอะไร ไม่เคยเลย เป็นเด็กโชคดีมาตลอด แต่ก็พยายามถ่ายทอดให้ตรงตามผู้กำกับ นั่นก็คือพี่บอย” เขาเล่าว่าทุกตัวโน้ตล้วนเป็นการออกแบบของบอย โดยเขาเป็นเพียงผู้ถ่ายทอด แต่ก็ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบเสียงประสานด้วยตัวเอง

ความสำเร็จของ ‘ฤดูที่แตกต่าง’ ทำให้เราอดถามถึง ‘ความรักในการร้องเพลง’ ของเขาไม่ได้ แต่น่าแปลกที่เค้าตอบเรื่องนี้ว่า “ผมไม่ได้เป็นคนชอบร้องเพลง พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ผมไม่เคยไปร้องคาราโอเกะ ไม่เคยอะไรเลยนะ อยู่บ้านก็ไม่เคยร้องเพลง ฟังอย่างเดียวครับ” เขาเล่า “แต่ร้องเพลงในตอนที่ทำงานเท่านั้น และรู้ว่าตอนที่เราร้อง คนฟัง เขาตั้งใจมาฟังนะเว้ย”
 

ด้วยความรับผิดชอบต่อผู้ฟัง นั่นเป็นสาเหตุให้ทุกครั้งที่แสดงสด นภจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ “ต้องร้องให้ถูกคีย์ ต้องร้องไม่เพี้ยน ต้องร้องให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สมกับค่ารถเมล์ค่ารถมอไซค์หรือค่าน้ำมันที่เขาเดินทางมาฟังเรา” เขากล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ไม่ว่าพี่จะไปร้องที่ไหน จะเป็นตลาดสด พี่ก็เต็มที่ พี่ไม่เคยอั้นเลย ทุกที่ ไปร้องในโบสถ์ ไปร้องในวัด เต็มที่ทุกที่”

30 ปีผ่านไป ความเต็มที่ของนักร้องเสียงอบอุ่นไม่เคยจางหาย ทว่ามุมมองที่เขามีต่อเพลงนี้กลับเปลี่ยนแปลงไป “ทุกครั้งที่ผมร้องเพลงฤดูที่แตกต่างเนี่ย มันจะเหมือนพี่คนนึงที่มาตบไหล่คนฟังว่า อดทนนะน้อง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ว่าคุณจะเจอเรื่องร้ายแค่ไหนก็ตาม มันไม่มีทางร้ายซ้ำอย่างเดิมในวันพรุ่งนี้หรอก มันไม่มีทางแย่ไปกว่านี้หรอก ถ้าเรารู้สึกว่ามันมีวันพรุ่งนี้อยู่นะ มันจะต้องดีขึ้น” นภกล่าวอย่างคนเข้าใจโลกตามประสบการณ์ชีวิตที่เพิ่มขึ้น 

ไม่เฉพาะความสามารถและความทุ่มเทในการร้องเพลง เพื่อขับเคลื่อนให้ค่ายเพลงเล็ก ๆ มีพลังสร้างผลงานคุณภาพ ในฐานะวิศวกร นภได้นำความรู้และวิธีคิดอย่างเป็นระบบมาประยุกต์ใช้กับการทำงานเพลงด้วย “ผมพอจะรู้ว่ามันทำสำเร็จได้ เพราะว่ายิ่งคุณมี creativity อยู่ในใจแล้ว ทำไงให้ creativity มันกลายเป็น systematic มากขึ้น ให้มันจับเป็นก้อนรวมกันได้ ดึงคนที่เค้าเก่งเฉพาะด้านมาช่วย มันเลยเกิดเป็นผลกำไรขึ้นได้ เกิดเป็นก้อนความคิดที่สามารถมีพลังต่อยที่มันแรงกว่าเดิมได้ ทำยังไงไม่ให้ขาดทุน ทำไงจะให้มันคัฟเวอร์ต้นทุน ทั้งทีมปลอดภัย เลี้ยงดูครอบครัวได้ ต้องใช้วิศวกรรมศาสตร์มาคิดเช่นกัน”

‘นภ พรชำนิ’ นักร้องที่ไม่ชอบร้องเพลง กับเสียงร้องจากหัวใจที่เปลี่ยนแปลงผู้คน

เส้นทางในวงการดนตรีของนภไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในยุค 90s อาชีพนักร้องนักดนตรียังไม่ได้รับการยอมรับมากนัก “น้อง ๆ หรือว่าเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ทราบครับ พวกเราเนี่ยต้องฝ่าฟันอุปสรรคพอสมควรเลย ว่าเฮ้ยอาชีพนี้เป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้นะ มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือ”

“เวลาไปทัวร์กับเพื่อน ๆ กินข้าวกล่อง พักโรงแรมจิ้งหรีดเลยนะ เพราะมีทุนน้อยมาก ไม่ได้มีห้องสวีทเหมือนที่เราดูในหนัง” นภเล่าถึงความยากลำบากในช่วงแรก “ศิลปินเบเกอรี่มิวสิคทุกคนเนี่ย นั่งรถตู้นะครับ บางทีไม่ได้ขึ้นเครื่องบินด้วยซ้ำ ทัวร์เนี่ยตั้งแต่กรุงเทพฯ ลากยาวไปจนถึงหาดใหญ่ ขึ้นไปทางเหนือ ขึ้นไปทางอีสาน ทุกอย่างนี่คือแบบโลว์คอสต์หมด”

แต่ความยากลำบากเหล่านี้กลับกลายเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เกิดผลงานที่มีคุณค่า “ศิลปินต้องเป็นอย่างงั้นครับ ไม่งั้นมันไม่ออกมา มันต้องเป็นอย่างงั้น มันจะต้องกรีดเลือดออกมาเพื่อเขียน เพื่อประพันธ์ เพื่อสร้างออกมาจากความเจ็บปวดตัวเอง ไม่ได้อยู่บนความสบาย ไม่งั้นมันไม่จริง”

แม้จะเข้าใจชีวิตมากขึ้นระดับหนึ่งแล้ว ถึงกระนั้นเขายังตัดสินใจบวชเพื่อเข้าถึงแก่นของชีวิตมากขึ้น “ตอนนั้นผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามนุษย์เกิดมาทำไม แล้วจุดมุ่งหมายในการที่เราจะเดินทางต่อไปคืออะไร” เขาเล่าถึงการค้นพบความจริงของชีวิตผ่านพระพุทธศาสนาว่า “ศาสนาพุทธก็คือสอนให้เราค้นหาคำตอบด้วยตัวเราเอง” นภกล่าวถึงการบวชว่าทำให้เขาเข้าใจชีวิตลึกซึ้งขึ้น 

หลักธรรมที่ได้เรียนรู้ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานของเขาจนถึงทุกวันนี้ “ผมจะไม่สร้างพลังงานอะไรก็ตามที่เป็นศัตรูกับใครเลย” นภกล่าว “บางทีผมก็ยังมีเนกาทีฟ ไม่พอใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเป็นธรรมดา แต่น้อยลงเรื่อย ๆ ครับ ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้”

ชีวิตของเขายังเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งเมื่อได้เป็นพ่อคน “พอมีลูกปุ๊บเนี่ย โอ้โห มันกลายเป็นพ่อแม่ไปเลย ไอ้คำว่าแฟนมันหายไปเลย มันกระโดดข้ามไปเป็นพ่อแม่ตลอดเวลา” เล่าถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็เบิกบานและยิ้มกว้างขึ้น

การมีลูกทำให้เขาต้องปรับสมดุลชีวิตใหม่ “ช่วงนี้ผมไม่ได้ทำงานเพื่อส่วนรวมสักเท่าไหร่เพราะว่าผมต้องเลี้ยงลูกหน่อยครับ” เขาเล่า “เมื่อก่อนนี่ทำงานเพื่อส่วนรวมประมาณ 70% ตอนนี้เหลือประมาณ 10% แค่นั้นเอง”

แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการดนตรีมานานกว่า 30 ปี นภยังคงมีความฝันและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ โดยเฉพาะโครงการที่จะนำเพลงของครูเพลงมาตีความใหม่ “เพลงไทยในอดีตมีเยอะมากครับ แค่ไปหยิบมาร้องให้ดี ๆ ผมมั่นใจเลยว่าเพลงจะออกมาเพราะ

“ผมอยากร้องเพลงให้พี่ป้าน้าอาได้ฟัง อยากร้องเพลงให้ผู้ใหญ่ฟังนะ แล้วก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับพี่ป้าน้าอาได้มีความสุขในบั้นปลายชีวิต” เขากล่าวถึงความฝันในอนาคต 

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ถ่ายภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม