‘โบกี้ ไลอ้อน’ จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

‘โบกี้ ไลอ้อน’ จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

เส้นทางการค้นพบตัวเองของ ‘โบกี้ ไลอ้อน’ ศิลปินหญิงผู้กล้าเปลี่ยนความไม่มั่นใจให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ และเสียงเพลงที่สะท้อนตัวตนอย่างแท้จริง

KEY

POINTS

  • การเดินทางจากเด็กที่ขาดความมั่นใจในรูปลักษณ์ สู่ศิลปินที่กล้าเปิดเผยและยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง
  • ปรัชญาในการสร้างสรรค์ดนตรีที่เปรียบเสมือน "สิ่งมีชีวิต" และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุกวัน
  • การแปลงอุปสรรคและคำวิจารณ์ให้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงาน แทนที่จะปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมาหยุดยั้งความฝัน

จากเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เกลียดภาพสะท้อนในกระจก วันและคืนหล่อหลอมจนเธอกลายมาเป็นนักร้องที่สะกดผู้คนด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์และพลังบนเวที ห้วงคำนึงและความฝันที่เคยถูกฝังกลบใต้ความไม่มั่นใจ ค่อย ๆ ผลิบานเป็นดอกไม้แห่งความกล้าที่ไม่ยอมจำนนต่อกรอบความงามอันคับแคบของสังคม

เด็กผู้หญิงคนนั้น วันนี้พวกเรารู้จักเธอในนาม ‘โบกี้ ไลอ้อน’ ศิลปินที่ไม่เพียงมอบบทเพลงให้แฟนเพลง แต่ยังมอบแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่กำลังค้นหาตัวตนในโลกที่พยายามจะบอกว่า พวกเขาควร ‘เป็น’ อย่างไร

การค้นพบความรักในเสียงเพลง

“ตั้งแต่เกิดมาแล้วเดินเตาะแตะ... พูดได้ก็ร้องเพลงได้แล้ว” โบกี้เล่าถึงบทเริ่มต้นของการเป็นนักร้อง ทว่าเธอไม่เคยนึกฝันว่าเสียงเล็ก ๆ ในวัยเด็กจะกลายเป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

เมื่อยืนอยู่บนเวที มองเห็นแสงไฟระยิบระยับ และสบตากับผู้ชมที่กำลังร้องเพลงตาม โบกี้รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ความทุกข์ ความเศร้า และวันร้าย ๆ ทั้งหลายถูกลืมเลือนไปในพริบตา

“ชาตินี้เกิดมาโชคดีเหลือเกิน” เธอยิ้มกว้าง “ถ้าวันหนึ่งต้องตาย คงเสียดายจินตนาการมากที่สุด เสียดายว่ายังร้องเพลงไม่คุ้มเลย ยังแต่งเพลงได้ไม่เยอะพอ...”
ใครจะคิดว่าเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งจะค้นพบความรักครั้งยิ่งใหญ่ รักที่ไม่ใช่กับใคร แต่กับ ‘เสียงเพลง’ และ ‘ดนตรี’ ที่หลั่งไหลจากหัวใจของเธอเอง

“เพลงคือสิ่งมีชีวิตที่หายใจได้”

เมื่อถามโบกี้ว่าเพลงคืออะไร? คำตอบของเธอจะทำให้คุณต้องต้องเลิกคิ้ว “เพลงคือสิ่งมีชีวิต!” 

เพลงในความคิดของเธอไม่ใช่แค่ตัวโน้ตหรือท่วงทำนอง แต่เป็นสิ่งที่ “หายใจได้ เคลื่อนที่ได้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบ มีความคิดในตัวของตัวมันเอง”
 

“เพลงมีการเคลื่อนที่ของมันเอง” เธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันหนึ่งคุณอาจได้ยินเพลงของโบที่ร้านสะดวกซื้อ หรือเมื่อไปต่างประเทศ คุณอาจได้ยินใครบางคนกำลังเปิดมันอยู่...”

“เวลาเราร้องเพลง เราต้องใช้ลมหายใจ” เธอกล่าว พร้อมเว้นวรรคให้เราหยุดคิดตาม “หัวใจของเพลงเต้นอยู่ตลอดระหว่างที่เพลงบรรเลง หรือแม้กระทั่งตอนที่เพลงไม่ได้บรรเลง... หัวใจที่เราใส่ลงไปในเพลง มันยังเต้นอยู่ตลอดเวลา”

‘โบกี้ ไลอ้อน’ จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

ตัวตนที่ไม่มีวันหยุดพัฒนา

เมื่อถามว่าความเป็นโบกี้ ไลอ้อน คืออะไร? โบกี้ตอบแทบจะทันทีว่า “โบเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

เธอเคยขอคำแนะนำจากจิตแพทย์ในเรื่องนี้ จิตแพทย์จึงขอให้เธอบอก ‘ข้อดี’ ของตัวเอง ซึ่งต้องเป็น ‘ข้อดี’ ที่ตัวเธอเองไม่มีข้อกังขาใด ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มองตัวเองในแง่ลบมาตลอดแบบเธอ

“โบไม่เคยคิดว่าตัวเองสวยหรือเก่ง แต่สิ่งที่ยอมรับเลยว่าไม่เคยคิดแง่ลบกับตัวเอง แล้วทำให้อยู่ได้ถึงทุกวันนี้ คือ ‘ความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่รู้จบ’ และพร้อมจะเป็นสิ่งใหม่ ๆ ในความเป็นตัวเองที่ดีขึ้นทุกวัน”

ชีวิตของโบกี้เต็มไปด้วยโมเมนต์ที่ล้มลุกคลุกคลาน แต่สุดท้ายแล้ว เธอตั้งใจจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน สิ่งไหนที่ทำผิดพลาด ก็แค่ไม่ทำอีก

นี่คือปรัชญาชีวิตแบบโบกี้ ไลอ้อน “ยอมรับความผิดพลาด ให้อภัยตัวเอง และก้าวต่อไปข้างหน้าเพื่อเป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิมทุกวัน”

‘เชอร์รี่’ ความสมบูรณ์แบบชิ้นสุดท้าย

ชื่ออัลบั้ม ‘เชอร์รี่’ ไม่ได้มาจากที่ไหนไกล แต่มาจากผลไม้สีแดงจัดที่เธอชอบทาน และสอดคล้องกับการแบรนดิ้งตัวเองให้เป็นสีแดงมานาน

“โบเติบโตขึ้นมากับการแบรนดิ้งตัวเองอยู่เสมอ” จากเด็กที่ชอบสีโทนร้อนอย่าง ‘สีส้ม’ สู่ผู้หญิงที่เลือกแบรนดิ้งตัวเองเป็น ‘สีแดง’ สีที่ขี้เล่นน้อยลงมาหน่อย และดูมีความหนักแน่นขึ้น
 

เชอร์รี่ในความหมายของเธอคือ “ความบริสุทธิ์ที่ได้ทำเพลงและทำงานที่ตัวเองรักไปจนถึงหูผู้ฟังอย่างบริสุทธิ์ที่สุด”

เธออธิบายด้วยอุปมาอุปไมยที่ชวนให้นึกภาพตามต่อว่า “เหมือนเราสั่งเค้กมาก้อนหนึ่ง มันไม่จำเป็นต้องมีเชอร์รี่ก็ได้ มีแค่เค้ก มีไอศกรีม ไม่ต้องมีมันก็ไม่เดือดร้อน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเรามีไอศกรีมหรือเค้ก แล้วเราวางเชอร์รี่ลงไปด้านบน สิ่งนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่ดีขึ้นทันที”

เชอร์รี่ในความหมายของเธอ จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ “ต่อให้เชอร์รี่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่ทุกที่ที่มีมันอยู่ด้านบนสุด มันย่อมดีและพิเศษกว่าสิ่งอื่นเสมอ”

การเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นบทเพลง

“ปกติทำเพลงเราใช้แรงบันดาลใจ... แต่เพลงนี้ใช้แรงบันดาลโทสะ!” โบกี้หัวเราะ เมื่อเล่าถึงที่มาของเพลง ‘สมเพช’ ซึ่งเป็นเพลงสั้น ๆ ที่เกิดจากความรู้สึกเมื่อเจอคอมเมนต์แง่ลบบนโลกออนไลน์

“ปกติ โบอ่านฟีดแบคทุกอย่าง แล้วรับทุกอย่างมาพัฒนาตัวเอง” เธอบอก แต่ก็มีบางกลุ่มที่คอมเมนต์ในแง่ลบโดยไม่ได้หวังดี “เราก็เป็นมนุษย์นิดนึงเนอะ ต่อให้เป็นศิลปิน ก็ต้องมีอารมณ์ว่า ด่ากูไหมวะเนี่ย”

แม้จะอยากตอบโต้ แต่เธอเลือกที่จะนิ่ง ทั้งเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองและค่ายเพลง แต่ก็แอบเก็บมาเป็น ‘แรงบันดาลโทสะ’ ที่แปรเปลี่ยนมาเป็น ‘เพลง’
“มันตลกดีเนาะ...” เธอยิ้มเย็น “ในขณะที่คนเหล่านั้นสมเพชเรามาก ๆ ที่เราเป็นในสิ่งที่เขาพูด... จริง ๆ ลึก ๆ เราก็สมเพชเขาเหมือนกัน ที่เรามีความสุขจนล้นออกปาก ขนาดเขามองจากไกล ๆ เขายังเห็นเลย”

เพลงนี้เป็นเพลงสั้น ๆ เพราะโบกี้รู้ดีว่า “ถ้าเราอธิบายตัวเองให้คนที่ไม่ชอบเราฟัง อธิบายร้อยรอบเขาก็ไม่ได้เชื่อ เขาไม่ได้ชอบเราขึ้นมา” เธอจึงเลือกทำเพลงสั้น ๆ แค่บอกว่า “ไม่เป็นไรนะ” แล้วจบ

วิธีรับมือกับความเกลียดชัง

เมื่อถามถึงวิธีจัดการกับคอมเมนต์แง่ลบ โบกี้บอกว่าเธอเลือกที่จะหันไปหาคนที่รักและซัพพอร์ตเธอแทน

“เราจะแคร์สิ่งแย่ ๆ ทำไม?” เธอยักไหล่ “เราอาจจะเสียใจร้องไห้บ้าง แต่พอร้องไห้เสร็จ ก็ลุกขึ้นยืน ลองหันไปมองคนที่พยุงมือเราให้ลุกขึ้น หรือหันไปมองสิ่งที่เศร้ากว่าเราที่รอคอยเรากลับบ้านทุกวัน นั่นคือสุนัขของเรา ที่ไม่ว่าเราจะเจออะไรแย่ ๆ วันนี้ แต่ชีวิตของเขามีแค่เราเท่านั้น”

ครอบครัวของโบกี้อาจไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูกเหมือนคนอื่น แต่ครอบครัวในความหมายของเธอคือคนที่สนิทใจ ทีมงาน เพื่อน และหมาสองตัวที่ถือเป็น ‘ทุกอย่าง’ ในชีวิต

‘โบกี้ ไลอ้อน’ จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวตน

การเดินทางสู่การยอมรับตัวเองของโบกี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า ตั้งแต่เด็ก เธอเป็นคนติดกระจก เพราะคิดว่าหน้าตัวเองไม่สวย ไม่กล้ายิ้ม กังวลว่าปากกว้าง และรู้สึกว่าผิวของตัวเองไม่ตรงตามมาตรฐานความงามในสังคมไทย

“หน้าก็ไม่มั่นใจ ผิวก็ไม่มั่นใจ หัวจรดเท้าไม่มีความมั่นใจเลย ไหนจะรอยแผลเป็นที่ไม่หายมาตั้งแต่เด็ก” 

เมื่อก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง ความกดดันเรื่องภาพลักษณ์ยิ่งมีมากขึ้น “ปฏิเสธไม่ได้ว่าในทุกยุคสมัย หน้าตาและรูปร่างเป็นส่วนสำคัญในการถูกตัดสินใจเลือก ทำให้รู้สึกด้อยค่าตัวเองมาตลอด 30 ปี ตลอดชีวิตเลย จนคิดโทษตัวเองว่าเกิดมาทำไม”
หลายคนอาจมองว่าโบกี้สวย แต่เธอเผยความจริงว่า “ความสวยมันผ่านความเจ็บปวดมากมาย” เธอพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น ทั้งแต่งหน้า ดูแลตัวเอง ใช้แอปแต่งรูป และการทำศัลยกรรม ซึ่งเธอเปิดเผยตรง ๆ ว่าเคยทำศัลยกรรมโครงหน้าและตา

“กว่าจะมีวันนี้ อาจจะยังไม่สวยขนาดนั้นสำหรับบางคน แต่ทุกวันนี้ดีใจมากที่มองกระจกแล้วยังมีความชอบตัวเองบ้าง” เธอยิ้มอย่างมีความสุข “จากเด็กคนนั้นที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง โตขึ้นมาอาจจะไม่รักขนาดนั้น แต่ก็ยังพอรู้ว่าตัวเองจะดีขึ้นได้ยังไงบ้าง”
เธอเล่าถึงครั้งแรกที่เข้าไปผ่าตัด มีอาการแพนิคมาก ร้องไห้ ตัวสั่น คิดแค่ว่า “คนที่มั่นใจในตัวเองเขาโชคดีจังเลย!”

“ความสวยไม่ใช่แค่หน้าตาหรือผิวพรรณ แต่อยู่ที่ความมั่นใจ” เธอเปิดใจ “บางคนอาจไม่มีดั้ง ไม่มีปากสวย ไม่มีผิวขาว แต่เมื่อเขามีอินเนอร์ที่ชอบหน้าตัวเอง เขารักมัน เขาจะดูสวยขึ้นถึง 70% โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย”

เธอเล่าด้วยรอยยิ้มว่าแฟนคลับที่มาดูคอนเสิร์ตของเธอ มักแต่งตัวด้วยความมั่นใจและสนุกสนาน ไม่ว่าหุ่นจะเป็นอย่างไร ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ทุกคนแต่งตัวอย่างมีความสุข ไม่มีใครถูกมองว่าแปลก

“คนเราถ้าได้เป็นคนที่เราชอบ เป็นตัวเองที่เรามั่นใจ ไม่ว่าเราจะลักษณะไหน รูปลักษณ์แบบไหน ถ้าเราชอบตัวเองคือจบ!”

ความไม่รู้ที่กลายเป็นพลัง

เมื่อถามถึงบทเรียนตลอด 30 ปีที่อยากบอกกับคนอื่น โบกี้ตอบอย่างจริงใจว่า เธออยู่ตรงนี้ได้เพราะ ‘ความไม่รู้’ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้เธอหยุดเดินหน้าทำในสิ่งที่ต้องการ

เธอยกตัวอย่างเรื่องการซื้อของ เช่น ซื้อรถ คนอื่นจะศึกษาข้อดีข้อเสีย คิดถึงอนาคต คิดว่าจะใช้ไปถึงไหน ขายได้เท่าไหร่ แต่เธอยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาเลย ซื้อไปเลยโดยไม่รอใคร

“ถ้าซื้อมาแล้วรถพัง เราก็ต้องรับผลดีผลเสียที่ตัวเองตัดสินใจไปแล้ว” เธอหัวเราะกับความใจร้อนของตัวเอง

โบกี้มองว่าความใจร้อนทำให้เธอทำอะไรได้เร็วกว่าคนอื่น “มันทำให้มีหลายสิ่งเป็นชิ้นเป็นอัน ต่อให้อาจจะไม่ได้เพอร์เฟคเท่าคนที่รู้จริง ๆ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่เราพัฒนา ตกตะกอนความคิดของตัวเองได้มากขึ้นทุกวัน จากการลองทำ พัฒนา และเรียนรู้ไปด้วย”

เธอสรุปอย่างขบขัน “เรื่องความไม่รู้ พอมันสำเร็จ มันดูดีไปเลย เหมือนเป็นอะไรที่ดีขึ้น” แต่ถ้าอยากให้เป็นอุทาหรณ์ เธอก็แนะนำว่า “อยากให้หลาย ๆ คนศึกษาในสิ่งที่ตัวเองทำให้ดีที่สุด แต่ระหว่างศึกษาก็อย่ากลัวที่จะทำ”

ข้อดีคือมันพาเธอมาถึงความสำเร็จวันนี้ แต่ข้อเสียก็มี “เราก็จะเหนื่อยไปหน่อย เพราะเอาทุกอย่างกองกับตัวเอง ไม่ให้ใครทำเลย ทั้งที่ควรจะมีระบบที่ดี ถ้ามีระบบที่ดีก็อาจจะทำให้เหนื่อยน้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

‘โบกี้ ไลอ้อน’ จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

จากผู้จัดการสู่ศิลปิน

เรื่องที่หลายคนอาจไม่รู้คือ ก่อนที่เธอจะมาเป็นนักร้อง เธอเคยเป็น A&R (Artist and Repertoire) หรือ ‘ผู้จัดการศิลปิน’ มาก่อน

“จริง ๆ ที่เรียนดนตรีมา ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นศิลปิน คิดแค่ว่าร้องเพลงได้ก็ให้มีความรู้คะแนนโอเคขึ้น” เธอเล่าว่าวิชาที่เลือกเรียนเองมักเป็น artist management เพราะอยากรู้ว่าศิลปินต้องได้รับการดูแลอย่างไร

เธอกล่าวติดตลกว่า “จริง ๆ แล้วเป็นคนดูแลคนอื่นได้ ดูแลศิลปินได้ แต่ดันมาเป็นศิลปินซะเอง” โบกี้เคยทำงานเป็น A&R ให้กับศิลปินชื่อดังอย่าง ‘ทอย’ (The Toys) ในช่วงแรก ๆ ของการทัวร์ โดยเธอทำทุกอย่างที่ผู้จัดการควรทำ ทั้งขับรถและจัดการทุกอย่าง

แต่ปัจจุบันก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้แล้ว เพราะต้องทุ่มเทเวลาให้กับการสร้างสรรค์งานของตัวเอง 

นิยามความรักและความหมายของชีวิต

เมื่อถามถึงนิยามความรัก โบกี้ไม่ต้องคิดนาน “สวยงาม”

คำตอบสั้น ๆ แต่ลึกซึ้ง เธออธิบายเพิ่มเติมว่า “อะไรก็ได้ที่เป็นความสวยงาม ที่เราจะชื่นชมมันว่าสวยงามเหลือเกิน สิ่งนั้นคือความรัก”

เธอยกตัวอย่างให้เห็นภาพ การมองดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วรู้สึกว่ามันงดงามจนไม่อยากเห็นมันคนเดียว อยากชวนคนที่รักมามองด้วยกัน “มันกลายเป็นความรัก เพราะมันสวยงามจนเราทนมองมันคนเดียวไม่ได้ อยากให้คนที่มีค่ามาอยู่ข้าง ๆ”

ส่วนคำถามที่ว่าความหมายของชีวิตคืออะไร? โบกี้หัวเราะก่อนตอบว่า “เรื่องนี้เคยคุยกับทอยแล้ว ว่าชีวิตคืออะไร ถามคำนี้คำเดียวแล้ววางโทรศัพท์ค้างไว้ 4 ชั่วโมง ไม่มีใครพูดอะไรเลย!” 

เธอยอมรับว่าตัวเองอาจยังตอบไม่ได้เพราะเพิ่งมีชีวิตมาแค่ 30 ปี แต่เธอก็มีความคิดบางอย่าง “มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ยืนยาวแค่ไหน แต่เกี่ยวกับการได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าด้วยความรักและความสวยงาม”

อย่างไรก็ตาม โบกี้เชื่อว่าอายุไม่ใช่ตัววัดว่าเราจะรู้จักชีวิตเมื่อไหร่ “วันหนึ่งถ้าเราได้มองจุดไหนจุดหนึ่งของชีวิตที่เรารู้สึกว่า นี่แหละคือความสุข นั่นแหละ ชีวิต”

เธอสรุปนิยามชีวิตของตัวเองเรียบง่ายแต่ชัดเจน “โบคงจะมีชีวิตอยู่เพื่อทำสิ่งที่รัก นั่นคือทำเพลงที่จริงใจต่อผู้ฟังต่อไป”

พลังแห่งการเป็นตัวเอง สารถึงผู้หญิงทุกคน

ในโลกที่ผู้หญิงถูกตัดสินด้วยมาตรฐานความงามที่เป็นไปไม่ได้ ถูกคาดหวังให้สมบูรณ์แบบ และมักถูกตำหนิเมื่อกล้าพูดหรือแสดงออก โบกี้ ไลอ้อน ยืนหยัดเป็นแบบอย่างของผู้หญิงที่กล้าจะเป็นตัวของตัวเอง

เธอไม่ให้โลกกำหนดว่าเธอควรเป็นใคร แต่เลือกที่จะกำหนดตัวตนของเธอเอง แม้จะต้องเจอความท้าทายและอุปสรรคมากมาย เธอไม่เคยหยุดที่จะหาวิธีรักตัวเอง และในที่สุดก็ค้นพบว่าความงามและคุณค่าที่แท้จริงอยู่ภายในตัวเธอมาตลอด

‘โบกี้ ไลอ้อน’ จากเด็กที่ไม่รู้วิธีรักตัวเอง สู่การค้นพบคุณค่าในตัวเอง

เรื่องราวของ ‘โบกี้ ไลอ้อน’ ไม่เพียงเป็นเรื่องราวของศิลปินคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องราวของผู้หญิงทุกคนที่ต่อสู้กับความคาดหวังของสังคม พยายามค้นหาตัวตนที่แท้จริง และในที่สุดก็พบว่าความงดงามที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเราเลือกที่จะรักและยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น

 

สัมภาษณ์: พาฝัน ศรีเริงหล้า
ภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม