01 เม.ย. 2567 | 17:00 น.
KEY
POINTS
The People จัดงานเสวนา Are You Ready to Go Beyond? ท้าทายขีดจำกัด พร้อมก้าวสู่ความสำเร็จ อัดแน่นไปด้วยการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของโลกใบนี้ โดยมีตัวแทนจากหลากอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคการเงินการธนาคาร ภาคธุรกิจ ไปจนถึงเอเจนซี่ผู้คร่ำหวอดในวงการโฆษณามานานกว่าทศวรรษ
วงเสวนานี้เป็นส่วนหนึ่งของ The People Awards 2024 : People Go Beyond งานประกาศรางวัลประจำปีที่จัดโดย The People เป็นครั้งสาม มาพร้อมกับธีม People Go Beyond - ต้นแบบ ‘คน’ ทะยานข้ามขีดจำกัด เพื่อมอบรางวัลให้กับบุคคลแห่งปี ที่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และสามารถก้าวเท่าทันโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุก ๆ วัน
งานจัดขึ้นในวันพุธที่ 27 มีนาคม 2567 เวลา 14:00 - 17:30 น. ณ คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ชั้น 19 เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท (Gaysorn Urban Resort) แยกราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร
ภายในงานเสวนา Are You Ready to Go Beyond? มีตัวแทนผู้ที่จะมาบอกเล่าถึงแนวคิดและการปรับตัวเพื่อรับมือกับทุกการเปลี่ยนผ่าน ไม่ให้ยึดติดอยู่กับความสำเร็จเมื่อครั้งเก่าก่อน เริ่มตั้งแต่ อภิฤดี สิงหเสนี Assistant Managing Director จาก KASIKORN Business-Technology Group หรือ KBTG, มัณฑิตา จินดา Founder & Managing Director จาก Digital Tips Academy และ ดิศรา อุดมเดช CEO และ Founder จาก Yell Advertising
อภิฤดี สิงหเสนี Assistant Managing Director จาก KASIKORN Business-Technology Group หรือ KBTG เล่าประสบการณ์ส่วนตัวในการทลายกรอบที่ขีดไว้ว่า เธอเลือกที่จะท้าทายขีดความสามารถของตนเอง โดยกระโดดข้ามสายงานไปทำในอุตสาหกรรมที่เธอไม่ได้มีความถนัดมากนัก แม้ว่าจะจบจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ตาม จนกระทั่งสามารถเก็บเกี่ยวความรู้ ความสามารถ และก้าวขึ้นสู่ Assistant Managing Director ของ KBTG ได้ในที่สุด
“สิ่งที่ท้าทายเรา คือ ก่อนหน้านี้เราเคยอยู่องค์กรระดับแปดหมื่นคน แล้วก็มาอยู่ในองค์กรระดับพันคนในช่วงแรก ๆ มันเหมือนเป็นการทรานส์ฟอร์มตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าเรากลับมาในบริษัทเล็ก ๆ ตอนนั้นที่ KBTG ยังไม่มีอะไรเลย แต่ไม่เป็นไรก็มาสนุกกับมัน มาสนุกกับวิสัยทัศน์ขององค์กร สร้างองค์กรที่เปลี่ยนโลก เปลี่ยน Financial Business ในเมืองไทย ทำยังไงให้องค์กรไทย กลายเป็นองค์กรระดับประเทศ รวมถึงระดับโลก”
ด้าน มัณฑิตา จินดา Founder & Managing Director จาก Digital Tips Academy เองก็ได้แชร์ประสบการณ์การก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองเช่นกัน โดยเธอกล่าวว่า มีครั้งหนึ่ง Digital Tips Academy อยากจะจัดห้องเรียนให้เหล่าผู้ประกอบการได้รับความรู้คู่ความบันเทิงไปพร้อมกัน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Edutainment เลยตัดสินใจกับคนในทีมว่าจะจัดเป็นรูปแบบมิวสิคัล นับว่าเป็นการก้าวข้ามขีดจำกัดครั้งใหญ่ของเธอก็ว่าได้
“เราพยายามท้าทายตัวเองทุกปี งานแรกที่ Go Beyond ของเราคืองานที่ชื่อว่า Seminar onstage จริง ๆ แล้วเรามาจากการทำ class ให้กับผู้ประกอบการ แต่ว่าก็มีอยู่ครั้งนึงที่เราอยากทำอะไรที่สนุก ๆ ก็เลยทำเรื่องของ edutainment เป็นครั้งแรกที่เราไปที่โรงละครสยามพิฆเนศ ทำ Education ให้มันมีมิวสิคัลเข้ามา
“ซึ่งตอนนั้นไม่มีใครรู้ เพราะตอนที่เราพูดบอกกับนักเรียนว่า มันเป็น Edutainment นะ ไม่อยากให้เขาคาดหวังมาก เพราะว่าต้นทุนไม่เยอะ แต่ว่าพอไปทำมันก็เป็นมิวสิคัลโชว์ มันเป็นงานแรกที่เรา Go Beyond เพราะไม่มีใครเคยทำ ไม่มีต้นแบบ เราไม่เคยทำ น้อง ๆ ไม่เคยทำ แล้วเราก็ไม่เคยทำละครเวที แต่เรารังสรรค์ขึ้นมาเป็นละครเวทีนั้น อันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราก้าวข้ามกันมา”
ขณะเดียวกัน ดิศรา อุดมเดช CEO และ Founder จาก Yell Advertising ได้กล่าวถึงการ Go Beyond ในวิถีของเขาว่า ก่อนจะก้าวไปไกลสิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือ ต้องมีความเชื่อ หากปราศจากความเชื่อ ทุกอย่างที่ทำก็ไร้ความหมาย
“ก่อนจะ Go Beyond เราต้อง with believe คนแรกคือคนไทย ผมอยู่ในอุตสาหรกรมโฆษณามาสิบกว่าปี อย่างหนึ่งที่ได้จากวงการนี้ เรามีบุคลากรที่เก่งระดับโลกเยอะมาก คนไทยได้รางวัลครีเอทีฟระดับโลกเยอะมาก แต่พอเวลาไปดูจะเป็นบริษัทข้ามชาติ แต่เป็นชื่อคนไทย หลายเอเจนซี่เป็นบริษัทต่างประเทศ
“ผมก็เลยมีความเชื่อว่าแล้วทำไมบริษัทโฆษณาไทยถึงไประดับโลกไม่ได้ คนแรกที่เชื่อคือคนไทย เพราะผมเชื่อในศักยภาพ อีกคนก็คือคนในออฟฟิศ ปีนี้ปีที่สิบห้า ตอนแรกที่เราเริ่มต้น เราไม่คิดอะไรมาก แต่พอทำไปเรื่อย ๆ คนของเราเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับองค์กร
“ประเด็นสำคัญก็คือว่าในการแข่งขันอุตสาหกรรมโฆษณาในประเทศก็ไม่ได้น้อย ดังนั้นผมมองว่าถ้าผมไม่ขยายไปต่างประเทศ สักพักคนเก่ง ๆ ที่อยู่กับองค์กรเขาจะ Hit Ceiling ติดเพดานในการเติบโตขององค์กร นี่เป็นเหตุผลที่เราไปเปิดบริษัทโฆษณาไทยในอีก 6 ประเทศ เป็น First Agency ที่เป็นของคนไทยในต่างแดน”
อภิฤดี สิงหเสนี จาก KBTG กล่าวถึงอีกหนึ่งสิ่งที่ท้าทายไม่แพ้กันขององค์กร คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญใยการขับเคลื่อนองค์กรให้ Go Beyond ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่มีความหมายเลย หาก ‘คน’ หรือผู้ใช้งานมองไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่มีอยู่
“ก่อนจะไปเทคโนโลยี สิ่งนี้จะไม่มีความหมายเลยถ้าไม่มีคน หรือว่ามีเทคโนโลยีดีแต่ว่าคนไม่ใช้ เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญพื้นฐานคือคน คนใส่ใจที่จะใช้ และมีความตระหนักมากพอในการใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น
“นอกจากนี้ เรายังคิดถึงการเป็นเบอร์หนึ่งตลอด เราพยายามสื่อสารให้ทีมเราเห็นเป้าด้วยกัน ต้องเป็นอันดับหนึ่งด้วยกัน และเราจะดูในมุมของนวัตกรรมต่าง ๆ ด้วย ว่ามีอะไรบ้างที่เข้ามาประยุกต์แล้วเราจะเป็นที่หนึ่ง หรือแม้แต่ในเรื่องของโครงสร้างต่าง ๆ ขององค์กร
“KBTG เหมือนเป็นกระดูกสันหลัง เราทิ้งคนจุดนี้ไม่ได้ เรามี Theme People Transformations เราทรานส์ฟอร์มตลอดเวลา ไม่รอให้มีสถานการณ์เข้ามาบีบบังคับแล้วเราทำ พัฒนาคน แม้กระทั่งพัฒนาทีม People ด้วยกันเอง เพราะเราก็หยุดไม่ได้เช่นกัน แผนต่าง ๆ เหล่านี้คือสิ่งที่เราพยายามสื่อสาร เพื่อให้ทุกคนมีมายด์เซทว่าเราจะไปเป้าหมาย The Top Organization in Southeast Asia”
ส่วนเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้องค์กรพุ่งทะยานไปข้างหน้าในมุมมองของมัณฑิตา จินดา จาก Digital Tips Academy เธอมองว่า มีสองสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือ คน และพาร์ทเนอร์ หรือก็คือผู้ใช้บริการ “เทคโนโลยีช่วยให้เราทำงานน้อยลง แต่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เราคลุกคลีอยู่กับ Digital Marketing มานานมาก สิ่งหลัก ๆ ที่เราใช้ในการสื่อสารคือเครื่องมือ เพราะฉะนั้นเครื่องมือ รวมถึงเอไอ เราใช้เพื่อให้เราซึ่งเป็นองค์กรที่คนน้อยทำงานได้เยอะ ช่วยให้น้อง ๆ ลดงานรูทีนบางอย่าง เพื่อให้เขามีเวลาสร้างสรรค์สิ่งอื่นมากขึ้น”
เมื่อถามถึงวิธีสร้างความแตกต่างในยุคที่ทุกแพลตฟอร์มต่างแข่งขันกันอย่างหนักหน่วง เธออธิบายว่าจริง ๆ แล้ว ผู้ใช้แพลตฟอร์มในการสื่อสารบางอย่างไปสู่ผู้บริโภค สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักและเข้าใจในตัวแพลตฟอร์มที่เลือกใช้
โดยปกติแล้วโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์ม จะแบ่งออกเป็น 2 บ้านใหญ่ ๆ คือ Social Graph กับ Content Graph “Social Graph ก็คือ Facebook สมัยแรก ใครที่เราสนิท เราก็จะเห็นเขาบ่อย ๆ เน้นไปที่เรื่องของความสัมพันธ์เป็นหลัก อันนี้คือยุคแรกของโซเชียลมีเดีย พอมายุคหลังก็มี TikTok เข้ามา มันก็เกิด School of though เราเรียกว่า Content Graph ไม่สนใจแล้วว่าจะรู้จักหรือเปล่า สนใจว่าเราสนใจเรื่องอะไร ยกตัวเองเช่น เรากำลังอินเรื่องแมว ใครก็ตามที่ทำคอนเทนต์นี้เราก็จะเห็น ซึ่งคนที่นำเรื่องนี้คือ TikTok และ X รวมไปถึง Meta”
ส่วนเทรนด์ในอนาคตของโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์ม จะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหนนั้น มัณฑิตา กล่าวว่าปัจจัยทั้งหลายขึ้นอยู่กับผู้บริโภคเป็นหลัก แต่ ณ เวลาปัจจุบัน รูปแบบของแพลตฟอร์มยังคงเป็นเช่นที่กล่าวไปข้างต้น แต่สิ่งที่ผู้ทำคอนเทนต์ต้องเข้าใจคือ 1. เข้าใจผู้รับสาร คนฟังคือใคร เพื่อให้เข้าใจว่าคอนเทนต์ดังกล่าวต้องการเป็นฮีโร่ของคนกลุ่มไหน และ 2. แพลตฟอร์มทำงานอย่างไร เพื่อให้รู้ว่าในการทำคอนเทนต์แต่ละชิ้นนั้น จะก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ใดบ้าง
ด้าน ดิศรา อุดมเดช จาก Yell Advertising กล่าวถึงเครื่องมือที่นำมาปรับใช้ให้องค์กรกล้าที่จะแตกต่าง คือ การมีกรอบความคิดว่าตัวเองเป็น Underdog ตลอดเวลา เพราะโดยพื้นฐานเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวนักธุรกิจ วันแรกที่ตัดสินใจเปิดเอเจนซี่โฆษณาก็เพราะอยากจะท้าทายตนเอง และเชื่อว่าคนไทยมีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก จึงเป็นที่มาของการวางรากฐานว่าจะต้องแข่งขันกับผู้อื่นตลอดเวลา
“Yell เราใช้คำว่า Underdog Mindset ผมสตาร์ทเดย์วันด้วยแนวคิดนี้ เราต้องทำตัวเป็นผู้ท้าชิงอยู่เสมอ ดังนั้นเวลาที่ออฟฟิศสเกลอัพขึ้น แนวคิดอย่างนี้มันควรจะต้องอยู่ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเราลืมจุดเริ่มต้นของเรา ในการอยากแข่งขัน หรือว่าท้าชิง ผมเชื่อว่าต่อให้มีเทคโนโลยีอะไรที่ดี คนที่ไม่ใช่เขาก็จะหาข้ออ้างให้ดูแย่ได้ทั้งหมด”
พร้อมทั้งเสริมว่าวิธีการรักษาความคิดสร้างสรรค์ของคนในทีมให้สดใหม่อยู่ตลอดเวลานั้น ต้องเกิดจากการเรียนรู้ความผิดพลาด เพราะหากไม่เคยพลาด ความสร้างสรรค์อาจมีรูปแบบซ้ำซากจำเจ
“ต้องถามก่อนว่าเคยทำงานพลาดมั้ย เราเคยทำพลาด แต่การทำพลาดเป็นตัวอนุญาตให้เราเติบโต ทีนี้ประเด็นสำคัญคือในฐานะที่เราบริหารองค์กร เราต้องสร้างพื้นที่ให้คนไม่กลัวที่จะทำงานพลาด แต่เป็นการพลาดที่จำกัดขอบเขตความเสียหายให้ได้ ที่ออฟฟิศเราไม่มีพริวิลเลจ ผมรู้สึกว่าถ้าเราสร้างวัฒนธรรมในองค์กรให้คนกล้าที่จะทำอะไรใหม่ นี่คือสเตปแรกที่จะรักษาความสำเร็จให้อยู่ในองค์กร ดังนั้นต้องให้คนรุ่นใหม่ทำสิ่งที่กล้ามากกว่าเดิม”
ดิศรา อุดมเดช จาก Yell Advertising กล่าวถึงมุมมองในการพัฒนาคนให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงว่า มนุษย์เราผ่านการเปลี่ยนผ่านมาแล้วหลายยุคหลายสมัย หากให้นับย้อนกลับไปคงเป็นเวลาไม่ต่ำกว่าสองหมื่นปี เพียงแค่ในปัจจุบันมีน้อยคนนักที่จะออกมาป่าวประกาศว่าตนผ่านยุคสมัยเหล่านั้นมาได้อย่างไร
“ณ ปัจจุบันไม่มีใครเอามาขึ้นในโซเชียลมีเดียให้เราหวาดกลัวกัน ผมเลยคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่เราควรกลัว แต่สิ่งเดียวที่เราต้องทำกับมันคือการเผชิญหน้ากับมัน โดยที่เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ ถ้าพูดในมุมของการบริหารองค์กร สุดท้ายเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง ทำให้ทุกคนเชื่อในองค์กรได้ มันเป็นฐานรากที่สำคัญ เพราะถ้าเกิดว่าเราจัดการฐานรากได้แล้ว เรื่องอื่นที่จะเปลี่ยนแปลงเราเชื่อว่าเขาพร้อมรับมือกับมันได้ และต้องกล้าด้วย อะไรที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่”
ในขณะที่ มัณฑิตา จินดา จาก Digital Tips Academy กล่าวว่า เธอเชื่อในสองสิ่งด้วยกัน สิ่งแรกคือการมี Growth Mindset และอย่างที่สองคือการมีความยืดหยุ่นในการทำงาน
“Growth Mindset คือเรื่องของการมีจิตใจที่เชื่อว่าไม่เป็นไร เราทำพลาดแล้วเราสามารถเติบโตได้ เราสามารถแก้ไขได้ อย่ากลัวหรือโทษตัวเองมากเกินไป เราเจอกับน้องเด็ก ๆ เขาจะโทษตัวเอง บางทีแรงกดดันมันหนักมาก เราพยายามบอกทุกคนว่าเราแก้ไขได้
“เรื่องที่สองคือ Resilience ความอึดถึก เป็นคุณสมบัติสำคัญ เพราะก่อนที่เราจะสำเร็จ ระหว่างทางมีเรื่องที่เราทำไม่สำเร็จรออยู่เต็มไปหมด กว่าที่เราจะเดินจากจุดเอไปจุดบีไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน เพราะฉะนั้นความไม่ยอม ความไม่ปล่อย ความคิดที่ว่าเราต้องทำให้ได้ เราก็พยายามที่จะพูดที่จะกระตุ้นเตือนกันในองค์กร”
ด้าน อภิฤดี สิงหเสนี จาก KBTG ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การจะก้าวข้ามขีดจำกัดได้นั้น จะต้องพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ในองค์กรให้มั่นคงเสียก่อน ไม่อย่างนั้นหากเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาอาจสร้างความสั่นคลอนให้บริษัทมากกว่าการก้าวไปข้างหน้า
“Development is on your hands. อยู่ในองค์กรไม่ใช่ว่ารอให้ใครมาป้อน การพัฒนาที่จะ Go Beyond อยู่ที่มือของเรา มีอะไรใหม่ ๆ หน้าที่เราที่จะรับผิดชอบก้าวไปข้างหน้า เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา นี่คือสิ่งที่จะทำให้เราอยู่รอด แต่สุดท้ายจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ ในฐานะทำงานเรื่องคน เราจะต้องสนุกกับมัน ชีวิตคือการเดินทาง เราต้องต้องสนุกกับชีวิต สนุกกับสิ่งที่เลือก ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร”