08 เม.ย. 2565 | 18:19 น.
"ทำไมประเทศไทยถึงไม่สามารถเป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ที่มีรากฐานเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง ที่ประชาชนเชื่อในเรื่องของความเท่าเทียม ที่ผม ผู้พิพากษา ประชาชนคนทั่ว ๆ ไป นักการเมือง นายกรัฐมนตรี เราเท่ากันจริง ๆ ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าคนนี้ตั๋วใคร คนนี้เส้นใคร คุณไม่ว่าจะเป็นคนยากดีมีจนขนาดไหน คุณอยู่ในสังคมนี้อย่างเท่าเทียมได้" รังสิมันต์ โรม คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคก้าวไกล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค เขาเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่สมัยเรียนระดับชั้นปริญญาตรีที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จนในปัจจุบันกลายเป็น ส.ส. คนหนึ่งที่น่าจับตาในสภาที่หยิบประเด็นที่น่าสนใจอย่าง‘ป่ารอยต่อ’ ‘ตั๋วช้าง’ และ ‘ค้ามนุษย์โรฮิงญา’ มานำเสนอจนกลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง ในมุมนี้ สิ่งที่เขาทำ คือสิ่งที่ทำให้สังคมได้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าในการตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ในสังคมไทย แต่ในมุมหนึ่ง นี่คือ 'ต้นทุน' ที่เขาต้องแบกรับ ในวันที่หลายอย่างยังคงอึมครึมในสังคม นี่คือ บทสัมภาษณ์รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล ว่าด้วยเรื่องราวของชีวิต หัวใจ การเมืองคนหนุ่มสาว เบื้องหลังการอภิปรายในสภา กับความฝันใฝ่ในสังคมที่เท่าเทียม The People : ความเปลี่ยนแปลงหลังกลายเป็น “นักต่อสู้ในสภา” รังสิมันต์ : ผมคิดว่าข้างในมันก็คงเหมือนเดิมนะ เพราะว่าผมรู้สึกว่าการต่อสู้ของเราในรอบนี้มันเหมือนหนังภาคต่อ มันเหมือนซีรีส์ภาคต่อ เป็นซีซั่นสองของการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ผมนิยามว่าตอนที่เราเป็นแอคทิวิสต์เราเองก็ขับเคลื่อนเพื่อต้านรัฐประหาร เพื่อที่อยากจะเห็นประเทศของเราเป็นประชาธิปไตย แต่ว่ารูปแบบที่เราใช้ในการเคลื่อนไหวมันก็อาจจะเป็นรูปแบบในลักษณะ ตั้งแต่การจัดเสวนาการ จัดเวทีปราศรัย จัดม็อบเพื่อต่อต้านรัฐบาล อันนั้นมันก็เป็นรูปแบบหนึ่ง แต่พอเรามาอยู่ในสภามันก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถามว่ามันเหมือนเดิมไหม สำหรับผมข้างในเราเหมือนเดิม เราอยากจะเห็นแบบไหน เราก็ทำแบบนั้น ในวันที่เรายังอายุประมาณสัก 20 ต้น ๆ เราเคลื่อนไหวปราศรัย มันก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เราสามารถส่งสิ่งที่เราต้องการสื่อสารไปทั่วทางสังคม แต่พอเรามาอยู่ในสภา เราก็ใช้อีกวิธีการหนึ่ง แล้วด้วยการที่เราอยู่ในสภามันทำให้เรามีโอกาสเข้าถึงข้อมูลหลาย ๆ อย่างมากขึ้น การเคลื่อนไหวการพูดในสภามันก็มีข้อมูลมากกว่าเดิม มันทำให้เราสามารถพูดได้ลึกขึ้น แล้วก็พูดในสิ่งที่อาจจะเรียกว่ามันเป็นสิ่งที่แอคทิวิสต์อย่างตอนที่ผมเป็นมันทำไม่ได้ เพราะเราไม่เคยได้ข้อมูลแบบนี้มาก่อน แล้วก็อันที่สอง การที่เราพูดในสภาในแบบที่เราไม่ต้องกังวลว่าเราจะถูกดำเนินคดี การพูดในสภาที่มันปลอดภัยกว่าประชาชนพูดข้างนอก มันทำให้ผมสามารถทำในสิ่งที่ผมอยากจะทำมานานแล้ว ในการพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดตอนที่ยังเป็นแอคทิวิสต์แต่ทำไม่ได้ แล้วมาพูดในสภาได้ ผมก็เลยคิดว่าจุดนี้มันคงเป็นจุดที่มันไม่เหมือนกับตอนที่เราเป็นแอคทิวิสต์แต่มันคือหนังภาคต่อ มันคือซีรีส์ภาคต่อที่เกิดขึ้น หลังจากที่เราผ่านช่วงเวลาของการเป็นแอคทิวิสต์มาก่อน