29 ธ.ค. 2565 | 12:05 น.
- ร้านชุดชั้นในพรรณี เกิดจากความตั้งใจของ ‘พรรณี คุณประเสริฐ’ ที่อยากส่งต่อชุดชั้นในที่เหมาะกับหญิงไทย เธอจึงลาออกจากโรงเรียนเพื่อเข้าคลาสเรียนตัดชุดจากสถาบันเลื่องชื่อจากอเมริกา
- เป็นเวลากว่า 65 ปีแล้วที่ ‘ร้านชุดชั้นในพรรณี’ ยังคงให้บริการโดยพนักงานรุ่นแรกเริ่มที่คอยดูแลทรวดทรงของสตรีไทยมารุ่นสู่รุ่น
- ปัจจุบัน ‘ร้านชุดชั้นในพรรณี’ มีผู้ช่วยบริหาร ‘วิภา คุณประเสริฐ’ มาช่วยดูแลกิจการ
“ต้องเลือกชุดชั้นในให้มันพอดีกับเรา ตรงนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคนที่เซนซิทีฟเรื่องชุดชั้นในนะเขาจะเลือกให้มันพอดีที่สุด ถ้าไม่กังวลเรื่องนี้ เขาก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวที่ใส่อยู่มันทำให้รูปร่างของเราไม่สะโอดสะอง”
‘หมี่ - วิภา คุณประเสริฐ’ บอกถึงความสำคัญของการเลือกชุดชั้นในที่ต้องเข้ากับสรีระร่างกาย ขณะทีมงานของเราอีกสองคนกำลังง่วนอยู่กับการจัดแจงไฟ เตรียมสถานที่ถ่ายทำเพื่อให้สตรีตรงหน้าเรางดงามมากที่สุด ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าความประทับใจแรกเริ่มของเราทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในร้านพรรณีคือ การตกแต่งที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคแกสบี้ ช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ผู้คนใช้ชีวิตท่ามกลางความเลิศเลอของแฟชั่น โดยเฉพาะไฟแชนเดอเลียร์กลางร้าน ยิ่งขับให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราแต่ยังคงจับต้องได้
“นี่คือความวินเทจค่ะ” ผู้ช่วยบริหารร้านในวัย 59 ส่งยิ้มหวาน ก่อนจะเล่าที่มาของร้านที่เปิดตั้งปี พ.ศ. 2500 ให้ฟังว่า ร้านพรรณีตั้งชื่อตาม ‘คุณพรรณี คุณประเสริฐ’ ปัจจุบันเธออายุ 92 ปี คุณแม่สามีผู้ชื่นชอบการตัดเย็บเสื้อผ้าสตรีเป็นชีวิตจิตใจ แต่เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เธอเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ความชอบของเธอไม่สูญเปล่า
“ตอนเรียนชั้นมัธยมปลายคุณแม่ท่านก็เลยขอที่บ้านหยุดเรียนค่ะ อยากออกมาทำธุรกิจเอง แล้วประจวบกับช่วงเวลานั้นอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ต้องเรียนบ้างหยุดบ้างอยู่แล้ว ทางบ้านของท่านก็เลยเปิดร้านที่แปดริ้วให้ค่ะ ก็ทำเสื้อผ้าสตรีมาตลอด จนทีเทรนด์ชุดชั้นในสตรีเข้ามาในเมืองไทย คุณแม่สนใจก็เลยไปเรียนหลักสูตรที่เขานำเข้ามาจากอเมริกา เรียนทำแพทเทิร์นชุดชั้นในโดยตรง
“พอเรียนเสร็จก็กลับมาทำงานต่อที่บ้าน เพราะฉะนั้นหลักการต่าง ๆ เนี่ย คุณแม่จะมีครบหมดเลยค่ะ ครอบคลุมทุกอย่างไม่มีการถูไถไปแน่นอน ลูกค้าที่มาร้านเราจะได้เสื้อชั้นในที่ถูกต้องและพอดีตัว”
การจะรู้ว่าพอดีตัวหรือไม่พอดีตัวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคุณพรรณีในฐานะเจ้าของร้านและพนักงานตัดเย็บ ลงไปช่วยเลือกสรรชุดชั้นในให้ผู้มาใช้บริการโดยตรง ทำให้เธอรับรู้และเข้าใจว่าอะไรคือปัญหา อะไรคือสิ่งที่ต้องเสริม นี่คือความใส่ใจที่ร้านพรรณียังคงยึดถือมาจนปัจจุบัน เพราะที่แห่งนี้สตรีทุกคนจะต้องงามหยดตั้งแต่ภายในถึงภายนอก
“ที่นี่คุณต้องใส่ยกทรงได้พอดีตัว ถ้าไม่พอดีเราไม่ขาย ยกทรงของที่ร้ายแรกสุดเลยจะไม่มีฟองน้ำ เราใช้ผ้าฝ้าย เพราะคุณแม่เข้าใจว่าเราอยู่เมืองร้อน ผ้าฝ้ายนี่แหละเหมาะกับเมืองไทยที่สุด เพราะระบายเหงื่อได้ดี ไม่เก็บความชื้นในตัว จากนั้นก็มาอยู่ในยุคที่คนไทยนิยมใส่ชุดชั้นในเสริมฟองน้ำมากขึ้น เราก็เลยต้องปรับตัวตาม”
“แต่ว่าหลัง ๆ ลูกค้าจะนิยมฝ้ายมาก เพราะรูปร่างสตรีไทยเริ่มเปลี่ยนไปแล้วค่ะ”
นี่คือสิ่งที่วิภาได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลาที่ได้ช่วยบริหารร้านร่วมกับคุณพรรณี เธอค้นพบว่าผู้หญิงไทยมีขนาดหน้าอกหน้าใจที่เปลี่ยนไป การเสริมด้วยฟองน้ำจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป
“มันก็วนกลับมาอยู่ในยุคแรก ๆ ร้านเราเริ่มด้วยชุดชั้นในที่ไม่มีฟองน้ำ เพราะเราเป็นเมืองร้อน เขาก็อยากสบายตัวไม่อยากใส่อะไรที่อึดอัด ซึ่งมันก็ตรงกับคอนเซ็ปต์ที่คุณแม่ย้ำมาตลอดเหมือนกันค่ะว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องใส่ยกทรงเสริม เพราะทุกคนสวยได้ในแบบของตัวเอง”
“ร้านของเรามีกระเปาะที่พอดีตัวทุกคน เพราะฉะนั้นเวลาคุณใส่เสื้อผ้าออกมาเนี่ย คุณจะใส่สวยกว่าผู้หญิงคนอื่นที่ใส่ยกทรงไม่ถูกต้อง คุณจะได้ไม่ต้องเขินอายแล้วจะรู้ด้วยว่าการใส่ยกทรงที่ถูก มันทำให้รูปร่างของผู้หญิงสะโอดสะองมากแค่ไหน”
“ตรงนี้แหละคือเสน่ห์ของผู้หญิง”
วิภายังเล่าเรื่องน่ารัก ๆ สมัยเธอตบแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านคุณประเสริฐให้ฟัง เธอบอกว่าตอนมาช่วยคุณแม่สามีบริหารร้านใหม่ ๆ โดนจับแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่หมด จนทำให้คนที่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าใส่ชุดชั้นในผิด เพิ่งเข้าใจว่าการใส่ยกทรงที่ถูกต้องช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้สวมใส่ได้มากขนาดไหน
“ส่วนใหญ่คนที่จะดูแลเราเรื่องเสื้อชั้นใน มื่อเราโตเป็นสาวจะเป็นใครไม่ได้ก็ต้องเป็นคุณแม่ แม่เรานั่นแหละที่จะพาเราไปลองยกทรงตอนที่เราเริ่มสาว”
การที่เธอเน้นย้ำมาตลอดว่าผู้หญิงเราต้องใส่ชุดชั้นในให้พอดีตัว ทำให้เราอดสงสัยแล้วที่ร้านแห่งนี้มีการแบ่งไซซ์อย่างไร วิภาเฉลยให้ฟังว่าถึงจะเป็นร้านชุดชั้นในสั่งตัด แต่เพื่อป้องกันความสับสน ทางร้านจึงยังมีไซซ์มาตรฐานตั้งแต่คัพเอถึงคัพดีตามสากล แต่สิ่งที่ต่างคือช่วงลำตัว
“เรามีสมุดจดไซซ์ช่วงลำตัวละเอียดยิบ ไม่ได้มีแค่ 70, 75, 80, 85 เพราะช่วงลำตัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนที่มาร้านเราจะมีพนักงานคอยดูแล ซึ่งเป็นพี่ ๆ ที่อยู่กับเรามา 30 – 40 ปี หลายท่านเลยค่ะ พนักงานทุกคนเขาชอบที่จะอยู่กับเรา อย่างช่วงโควิด-19 นี่เรียกได้ว่ารู้ใจกันเลย ต้องฝ่าฟันกันมาก ๆ”
เท่าที่เราสังเกตพนักงานทุกคนมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปีแน่นอน ร้านพรรณีไม่ได้มีชุดชั้นในสำหรับสตรีที่มีหน้าอกครบสมบูรณ์เท่านั้น หากแต่ยังมีชุดชั้นในสำหรับคนตัดหน้าอกจากการเป็นมะเร็ง “คุณหมอเป็นคนแนะนำให้คุณแม่พรรณีทำค่ะ ช่วงแรก ๆ เราขายดีมาก แล้วยิ่งเราใช้วัสดุจากผ้าฝ้ายก็จะทำให้เขาใส่ได้สบายตัว ไม่ระคายผิว ผ้าฝ้าย 100% จากร้านเราเลยตอบโจทย์เขามาก
“คุณแม่พรรณีเป็นคนที่ทันสมัยมากนะคะ เพราะว่าทุกอย่างที่คุณแม่เคยทำไม่ว่าจะเป็นกางเกงในมีขา บราเซียไร้ตะเข็บ บอดี้สูท สปอร์ตบรา ทุกอย่างมันกลับมานิยมอีกครั้งหมดเลย ไม่ว่ายุคจะเปลี่ยนไปยังไง สุดท้ายแล้วของพวกนี้ก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะชุดชั้นในไร้ฟองน้ำที่ทำมาจากผ้าฝ้ายลายลูกไม้ที่เป็นของวินเทจอยู่คู่กับร้านเรามานาน”
“อย่างลายลูกไม้เด็กรุ่นใหม่ที่เขาชอบสไตล์วินเทจเห็นปุ๊บ เขาชอบทันทีเลยนะ เพราะว่าวินเทจก็คือต้องเป็นลูกไม้ฝ้ายแท้ ๆ ไม่ใช่ลูกไม้จากใยสังเคราะห์ แทนที่เราจะบอกว่าลูกไม้เป็นของคนแก่ ถ้าเราปรับให้เข้ากับยุคสมัยจากคำโบราณมันก็เปลี่ยนมาอยู่ในรูปคำเก๋ ๆ อย่างวินเทจได้ ทำให้ร้านของเรายังอยู่ได้จนถึงวันนี้ เพราะเราไม่โบราณแล้ว มันเป็นสไตล์วินเทจ เป็นอะไรที่ไม่มีวันตาย
“เสื้อชั้นในเป็นอมตะนะ เราต้องใส่แล้วสวยจากข้างใน มันไม่จำเป็นต้องตามสมัยนิยมไปหมด อย่างสมัยก่อนอาจจะนิยมกางเกงขาบาน ขาฟิต แต่ยกทรงมันอยู่ข้างใน เราแค่ต้องคงคุณภาพของของเราให้ดีเท่านี้ก็ทำให้ชุดชั้นในจากร้านของเรากลายเป็นของที่มีคุณค่าอยู่คู่ตู้เสื้อผ้าผู้หญิงต่อไป”
เท่าที่พูดคุยกับเธอราวสองชั่วโมงทำให้เราเห็นและเข้าใจแล้วว่า ร้านอายุ 65 ปีไม่ได้มีความคิดความอ่านที่โบราณแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ร้านพรรณียังคงพยายามปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ ตั้งแต่เปิดขายผ่านทางออนไลน์ ในเพจเฟซบุ๊ก Punnee Lingerie มาจนถึงการเลือกออกแบบชุดชั้นในให้เข้ากับยุคสมัย
“จริง ๆ แล้วเราขายออนไลน์ตั้งแต่มีเฟซบุ๊ก ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังคิดอยู่นะว่า เอ๊ะ! คือรถติดเราอยู่ในย่านที่รถติดลูกค้าเนี่ยมายากขึ้น เราต้องขายออนไลน์ให้ได้ เราต้องสู้ เพราะระบบการขายของออนไลน์ มันจะมี Direct Sales ที่เขาจะไปเคาะประตูถึงบ้านเลย ตอนนั้นทำให้ยอดเราตกเหมือนกันนะคะ เพราะลูกค้าไม่อยากมาที่นี่
“สถานการณ์ตอนนั้นเราก็แย่ แต่ด้วยความที่ชุดชั้นในของเราเป็นของมีคุณภาพ ทำให้ลูกค้ายังคงแวะเวียนมาหาที่ร้านอยู่บ้าง อย่างบางครั้งเขาใส่แล้วมีปัญหา คนที่เป็น Direct Sales เขาขายตรงก็จริงแต่เขาก็ไม่มีความสามารถที่จะแก้จะเก็บอะไรให้ลูกค้าได้ ทำลูกค้าก็เลยต้องกลับมาหาเราที่ร้าน”“แล้วพอมาเป็นเฟซบุ๊ก เราก็หาวิธีอยู่พักนึงว่าจะทำยังไง จนสรุปสุดท้ายว่าเราต้องสอนวิธีวัดตัวให้ลูกค้า พอมีการส่งรูปภาพได้เนี่ยทุกอย่างมันก็ง่ายไปหมดเลย ถ้าชุดชั้นในที่ได้ไปไม่พอดีตัว หรือมีปัญหาตรงไหน ก็สามารถส่งมาแก้ที่ร้านได้ ส่งกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะพอใจ (หัวเราะ)”
นอกจากลูกค้าคนไทยที่แวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อชุดชั้นในตลอด 65 ปีแล้ว ร้านพรรณียังมีลูกค้าต่างประเทศคอยสนับสนุนมาเป็นเวลานานไม่ต่างกัน ตั้งแต่ลูกค้าจากแดนปลาดิบ ไปจนถึงประเทศที่ขึ้นชื่อว่าขับรถโหดที่สุดในเอเชียอย่างเวียดนาม
“เมื่อก่อนลูกค้าต่างประเทศเยอะ อย่างญี่ปุ่นเราก็ส่งออกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้ว การจะอดตาหลับขับตานอนทำกันก็ไม่ไหว เลยเปลี่ยนมาขายที่ร้านกันอย่างเดียวดีกว่า แต่เราก็ยังมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาตลอดนะ พอเราขายออนไลน์เราได้ลูกค้าทั่วโลกเลย ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย”
ส่วนทิศทางการบริหารร้านพรรณีในอนาคต เธอไม่เน้นอะไรมาก ขอแค่ยังรักษามาตรฐานของร้านให้คงอยู่ต่อไป “สมัยก่อนร้านเราร่ำลือกันมากว่าขายของแพง (หัวเราะ) แต่จริง ๆ แล้วร้านพรรณีไม่ได้ขายของแพงนะ เราขายของคุณภาพดี ที่สำคัญคือเราเน้นความปราณีต คุณแม่พรรณีท่านเลือกของดี ๆ มาตัดเย็บ ราคามันก็เลยออกมานั้น อย่างตะขอเนี่ยเมื่อก่อนนำเข้ามาจากเยอรมัน ผ้ายืดก็มาจากเยอรมัน เพราะว่าตอนนั้นในไทยยังไม่ผลิต”
ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นคนที่พอมีสตางค์อยู่บ้าง ส่วนอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ร้านพรรณีทำมาตลอดหกสิบปีคือ การทำให้หญิงไทยสวมใส่ยกทรงให้พอดีทั้งนมและตัว
“เพราะว่ายังมีสุภาพสตรีหลายท่านที่ไม่รู้ตัวว่าใส่ชุดชั้นในไม่ถูกต้อง อันนี้แหละที่เราต้องเก็บเอาไปคิดต่อว่าจะทำยังไงให้ท่านเหล่านั้นรู้ว่าควรจะเปลี่ยนยกทรง เราพยายามให้ความรู้ลูกค้าเยอะ ๆ ว่าการใส่ยกทรงที่ถูกต้องต้องทำยังไง”
ก่อนวิภาจะแอบกระซิบความลับของร้านพรรณีให้ฟังว่า การที่ผู้หญิงทุกคนที่ใช่ชุดชั้นในพรรณีได้สวยและมีรูปร่างสะโอดสะอง เป็นเพราะหลักการทางคณิตศาสตร์ล้วน ๆ
“มันเกี่ยวกับพวกมุมนี่แหละ” เธอกระซิบ
“มันก็คือหลักการคณิตศาสตร์ที่เรานำมาใช้ทำแพทเทิร์น ตัดเย็บขึ้นมาใหม่เพื่อให้เหมาะกับคนใส่จริง ๆ นี่แหละคือความขลังของร้านพรรณี
“แล้วเราก็ได้เรียนจากคุณแม่พรรณี ท่านก็สอนเราจนแตกฉาน แต่มันก็ยังมีความยากตรงที่จะนำมาปรับใช้ยังไงให้เข้ากับยุคสมัย อันนี้คือความท้าทายอีกแบบหนึ่ง แต่ต้องยอมรับเลยว่ายุคคุณแม่ท่านทำมาดีได้มาตรฐานมาก ๆ จนแทบไม่ต้องปรับอะไรเลย”
ไม่แปลกใจว่าทำไมร้านพรรณียังคงเป็นอีกหนึ่งร้านชุดชั้นในสั่งตัดที่คงความคลาสสิก และได้รับความรักล้นเหลือจากลูกค้ามาจนถึงปัจจุบัน เพราะทุกอย่างสะท้อนให้เห็นผ่านยกทรงทุกตัวที่อยู่ในร้าน ทั้งความพิถีพิถันในการเลือกวัสดุ ลูกไม้ ตะขอ ล้วนลงตัวไปหมด แถมพนักงานในร้านยังให้คำแนะนำแทบทุกอย่าง จูงมือไปลองชุด เลือกสียกทรงที่ใช่ จนอดทำให้เราคิดถึง ‘แม่’ ที่มาช่วยเลือกชุดชั้นในตัวแรกในวัยแรกแย้มไม่ได้