สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

บทสัมภาษณ์ ‘เว็กซ์ คิง’ (Vex King) นักเขียนชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย ผู้เขียน Good Vibes, Good Life, Healing is the New High และ Things No One Taught Us About Love

 

เวลาพูดถึงการคิดบวก หลายคนอาจมองเห็นบ้านไฟไหม้อยู่ตรงหน้า

แล้วบอกว่า “แค่คิดบวกก็พอ”

ซึ่งความคิดแบบนั้นมันไม่ทำให้ไฟดับได้นะครับ

เราต้องลงมือทำด้วย”

 

ไม่กี่ปีให้หลังมานี้มีหนังสือพัฒนาตัวเองเรียกได้ว่าเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับนักอ่านทั่วโลก รวมไปถึงนักอ่านชาวไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเกราะกำบังทางจิตใจให้แข็งแรงในโลกทุกวันนี้ การสร้างกฎระเบียบในชีวิตเพื่อให้ตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิม หรือแม้แต่วิธีการต่อกรกับสังคมโดยรอบผ่านในรูปแบบต่าง ๆ 

ในโลกที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทมากในโลกทุกวันนี้ ไม่แปลกที่พวกเราจะถูกกระตุ้นให้ขยับตัวเองขึ้นไปผ่านการพัฒนาตัวเองในมิติต่าง ๆ เราจะได้เห็นหนังสือมากมายที่ถูกต่างแนะนำ รีวิว หรือแม้แต่ตั้งไว้ที่หน้าของร้านขายหนังสือแทบจะทุกที่ และในบรรดาชั้นวางนั้น เชื่อว่าใครที่แวะเวียนไปสถิตอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นอาจิณ หรือเพียงเดินผ่านแล้วเหลือบมอง ต้องเคยเห็นหนังสือปกสีทอง ประดับด้วยชื่อเรื่อง ‘Good Vibes, Good Life - ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข’ กันมาบ้าง

นับว่าเป็นหนึ่งในหนังสือพัฒนาตัวเองลำดับต้น ๆ ที่ผู้คนต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก โดยคำแนะนำทั้งหลายที่ถูกจรดบนลงแต่ละหน้าของหนังสือเล่มนี้บรรจงออกมาจากคำแนะนำของชายนามว่า ‘เว็กซ์ คิง’ (Vex King) นักเขียนชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดีย ที่สร้างชื่อจาก ‘Good Vibes, Good Life’ ตามมาด้วยเล่มอื่น ๆ อย่าง ‘Healing is the New High’ ที่พูดถึงการเปลี่ยนขีดจำกัดจากปมในชีวิตให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโต หรือแม้แต่ตำรารัก ‘Things No One Taught Us About Love’ ที่จะชวนสำรวจวิธีมองความรักที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ ‘ดีต่อใจ’ แต่จะดีต่อตัวของเราเองด้วย

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

แม้จะตีแผ่พลังบวกของเขาผ่านทั้งผลงานการตีพิมพ์และโซเชียลมีเดียจนมีผู้ติดตามมากมายทั่วทั้งโลก แต่ในวัยเด็กของเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากและความโหดร้าย ไม่ว่าจะในแง่ของความยากจนและการถูกแบ่งแยก จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาตัดสินใจที่จะลองสนองปณิธานภายในของตัวเองว่า

 

สักวันหนึ่งผมจะเปลี่ยนชีวิตของตัวเองและครอบครัวให้ได้

และวันหนึ่งในอนาคต ผมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นด้วย

 

ช่วงเทศกาลสัปดาห์หนังสือปี 2568 ภายหลังที่ประเทศไทยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แผ่นดินไหวหนึ่งวัน เว็กซ์ คิง ก็ได้มาพบปะกับแฟน ๆ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต (Queen Sirikit National Convention Center) และ The People ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาในวันนั้น

ในบทสัมภาษณ์นี้ เราได้พูดคุยกันตั้งแต่เรื่องราวในวัยเด็กของคิงที่ไม่ได้ถูกประดับประดาด้วยความสวยหรู ถ้อยคำของคนแปลกหน้าที่ผลักให้เขาลองส่งต่อคำแนะนำผ่านจนกลายเป็นหนังสือเล่มแรก ไปจนถึงหนังสือเล่มอื่น ๆ ของเขา ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงที่มาและความหมายของหนังสือแต่ละเล่มที่ตัวของเขาพยายามจะส่งต่อไปถึงผู้อ่าน

นอกจากนั้นเราก็ยังชวนคุยไปถึงนิยามของการ ‘มองโลกในแง่ดี’ ว่าแบบไหนกันคือการคิดบวกที่เหมาะสม การอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองไม่ให้เผชิญหน้ากับความเหนื่อยล้าจากคำแนะนำมหาศาล ไปจนถึงคำถามว่าคนที่คิดบวกแบบเขา มีความสุขตลอดเวลาไหม? อ่านเรื่องราวทั้งหมดได้ที่บทความนี้

 

สิ่งสำคัญสำหรับผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็คือ

พยายามทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นเท่าที่ผมจะทำได้

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’
 

The People : นี่ถือเป็นครั้งแรกของคุณไหมกับประเทศไทย?

Vex King : ใช่แล้ว ผมมาที่นี่เพราะมีนักอ่านชาวไทยหลายคนได้ส่งความรักและแรงสนับสนุนมาถึงผม และผมอยากจะมาที่นี่เพื่อส่งความรักเหล่านั้นกลับไปให้พวกเขา ผมรู้สึกดีมากที่ได้อยู่ที่นี่ คนไทยเป็นมิตรกับผมมาก 

 

The People : เมื่อวานนี้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้น ซึ่งเป็นการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษของประเทศไทยเลย ณ ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหน?

Vex King : จำได้ว่าเมื่อวานผมกำลังเดินอยู่ แล้วผมรู้สึกเหมือนตัวเองโงนเงนไปข้างหนึ่งตลอดเวลา ผมเลยหันไปถามภรรยาว่า “ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเอียงแบบนี้?” แล้วเธอก็บอกว่า “ใช่ ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน” แต่ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเกิดแผ่นดินไหว จนกระทั่งเห็นคนยืนอยู่ข้างนอก ผมเลยถามว่า “มีไฟไหม้หรืออะไรหรือเปล่า?” แล้วพวกเขาก็บอกว่า “ไม่ใช่ครับ แผ่นดินไหว” ตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันช็อกมากครับ

 

The People : ทุกวันนี้คุณเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เขียน ‘Good Vibes, Good Life’ ซึ่งหนังสือของคุณส่งต่อพลังบวกและกระตุ้นความคิดให้กับผู้คนจำนวนมาก แต่ก่อนหน้านั้น ชีวิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง กว่าจะมาเป็นคุณในแบบฉบับทุกวันนี้?

Vex King : ถ้าย้อนกลับไปในอดีต ชีวิตผมค่อนข้างลำบากเลยล่ะ หกเดือนหลังจากที่ผมเกิด พ่อของผมก็เสียชีวิต แล้วธุรกิจของแม่กับญาติคนหนึ่งก็ล้มละลาย เราต้องไร้บ้านถึงสามปี คือไม่ได้อยู่ข้างถนนตลอดเวลา แต่ต้องย้ายที่ไปเรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายเราก็ได้บ้านอยู่ แต่ก็ยังลำบากเรื่องเงินอยู่ดี ผมต้องเผชิญกับการถูกเหยียดเชื้อชาติความรุนแรง เห็นเหตุการณ์ที่มีอาวุธปืน เห็นเลือด เห็นคนโดนทำร้ายบ่อยมาก

ผมเคยบอกตัวเองไว้ว่า สักวันหนึ่งผมจะเปลี่ยนชีวิตของตัวเองและครอบครัวให้ได้ และวันหนึ่งในอนาคต ผมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำ เพื่อช่วยเหลือคนอื่นด้วย แต่ตอนนั้นผมก็แค่คิดไว้เฉย ๆ ยังไม่ได้จริงจังอะไร ผมเลยตั้งใจเรียนจนได้เป็นเด็กหัวกะทิของโรงเรียน เรียนดีมาก แล้วก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นผมก็เริ่มทำเพลงด้วย ทำโปรดักชันเอง มีธุรกิจแฟชั่นของตัวเอง ทำหลายอย่างมาก แต่ในใจลึก ๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างที่เรียกร้องผมอยู่ เหมือนมีจุดมุ่งหมายที่ใหญ่กว่านั้นรอผมอยู่ข้างนอก

แล้วก็มีเรื่องแปลก ๆ หน่อย คือคนแปลกหน้าหลายคนเข้ามาหาผมตามท้องถนน พูดเหมือนกันว่า “คุณมาเพื่อช่วยเหลือผู้คน เพื่อช่วยโลกนี้” ผมไม่เชื่อเลย คิดว่าเขาอาจจะแค่เพี้ยน ๆ หรือพูดไปงั้น ๆ แต่พอได้ยินแบบนี้บ่อยเข้า ผมก็เริ่มคิดว่าอาจจะมีบางอย่างจริงอยู่ในสิ่งที่พวกเขาพูด

มีเหตุการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเลย ตอนนั้นผมทำงานเป็นนักวิเคราะห์ระบบ วันหนึ่งหลังเลิกงาน ขณะกำลังจะขึ้นรถไฟกลับบ้าน เดินลงบันไดไปที่ชานชาลา ซึ่งปกติผมจะยืนรอที่ฝั่งที่มีที่นั่งเยอะ พอเดินไป คนที่อยู่ตรงนั้นเขาหลบผมหมดเลย ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าผมตัวเหม็นหรือเปล่าก็ไม่รู้

แล้วผู้หญิงคนหนึ่งเดินมานั่งข้าง ๆ แล้วก็เริ่มพูดคุยกับผม เธอเล่าเรื่องชาติก่อนของผม แล้วก็พูดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ผมไม่แน่ใจว่าจะเชื่อดีไหม แต่ผมก็ฟังเธอเพราะไม่อยากจะเสียมารยาท เธอบอกว่า

 

วันหนึ่งคุณจะเปลี่ยนโลกได้

แต่คุณต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ก่อน” 

 

ผมก็แค่ตอบไปว่า ขอบคุณ ฟังดูดีนะ แต่ชีวิตผมมันก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรพิเศษเลย

ตอนที่รถไฟกำลังมา ผมก็ขอบคุณเธอ บอกว่ายินดีที่ได้คุยกัน แล้วกำลังจะกลับบ้าน เธอรู้ว่าผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เลยมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วพูดว่า “คุณไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้ แต่อย่างน้อยคำแนะนำก็มีค่ามากนะ” ผมก็บอกว่าโอเค แล้วเธอก็พูดชื่อผมออกมา ทั้งที่ตอนนั้นผมไม่มีอะไรติดตัวที่ระบุชื่อเลย เธอเป็นคนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้จัก

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

The People : เป็นไปได้ยังไง อย่างกับภาพยนตร์หรือนวนิยายเลย

Vex King : ใช่ครับ ตอนที่เธอพูดชื่อผม ผมถึงกับงงมาก คิดว่าเธอรู้ได้ยังไง? ผมขึ้นรถไฟ แล้วหันกลับไปดูอีกที เธอก็หายไปแล้ว ผมถึงกับคิดว่าหรือผมฝันไป? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมถึงมีคนพูดกับผมเรื่องแบบนี้ซ้ำ ๆ บอกว่าผมเกิดมาเพื่อช่วยผู้คน?

ผมเคยมีคนเข้ามาหาผมแล้วบอกว่า “คุณใกล้ชิดกับพระเจ้า” แม่ของผมเธอเคร่งศาสนามาก เคยไปงานหนึ่งที่มีพระพูดกับเธอว่า “ลูกชายคุณเป็นคนพิเศษมาก” แต่ตอนนั้นผมไม่เชื่ออะไรพวกนั้นเลย ผมแค่อยากปาร์ตี้ อยากทำเพลง ผมไม่สนใจอะไรที่ลึกซึ้งแบบนั้น

แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมก็หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลย ผมลาออกจากงาน ขายกิจการที่มี แล้วเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด บอกตัวเองว่าจะเริ่มแชร์ข้อความดี ๆ กับโลกนี้ และดูว่ามันจะพาไปถึงไหน และตอนนี้… ผมก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว

 

The People : แล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็ผลักให้คุณเขียนหนังสือเล่มแรกขึ้นมาใช่ไหม?

ใช่ครับ ใช่เลย หนังสือเล่มนั้นเกิดขึ้นเพราะผมอยากช่วยผู้คน แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนที่ผมเริ่มใช้โซเชียลมีเดีย และเริ่มโพสต์ข้อความสร้างแรงบันดาลใจทุกวัน ก็มีคนส่งคำถามมาหาผมตลอด เช่น ฉันจะรักตัวเองได้อย่างไร จะคิดบวกได้ยังไง เป้าหมายในชีวิตของฉันคืออะไร หรือ จะเริ่มลงมือทำอย่างไรดี

ผมก็จดทุกคำถามไว้ และบางครั้งก็คิดว่า เอ๊ะ...จริง ๆ มันก็มีหนังสือตั้งมากมายที่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร ผู้คนกลับเชื่อในสิ่งที่ผมพูด

จากนั้นผมก็เริ่มเขียนหนังสือขึ้นมาจากคำถามที่มีคนถามผมเข้ามาบ่อยที่สุด หนังสือเล่มนั้นจึงถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคำตอบของคำถามเหล่านั้น

ตอนนั้นจำนวนผู้ติดตามของผมยังน้อยอยู่มากเลยครับ ตอนที่เริ่มเขียนหนังสือ ผมมีผู้ติดตามแค่ประมาณ 50,000 หรือ 60,000 คนเท่านั้นเอง และพอหนังสือออกวางจำหน่าย ผมมีผู้ติดตามอยู่ประมาณ 140,000 คน และตอนนี้ก็ทะลุ 2 ล้านไปแล้ว

นั่นคือเรื่องเมื่อหลายปีก่อน บนแพลตฟอร์มที่เล็กกว่ามาก แต่หนังสือเล่มนั้นถูกเขียนขึ้นมาเพื่อคนอ่านของผม จริง ๆ และแน่นอน ความฝันของผมก็คือให้หนังสือนี้เข้าถึงผู้คนทั่วโลก ซึ่งสุดท้ายมันก็ทำได้จริง ๆ

 

The People : ที่คุณเล่าว่าผู้หญิงคนนั้นบอกให้คุณควบคุมอารมณ์ของตัวเอง หมายความว่า ตอนนั้นคุณเป็นคนที่โมโหง่ายหรืออะไรแบบนั้นใช่ไหม?

Vex King : ใช่ครับ บ่อยครั้ง ผมโกรธเพราะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมกับผมเลย แม่ของผมค่อนข้างเคร่งศาสนา เธอมักพูดว่า “พระเจ้าจะช่วยเรา พระเจ้าจะทำให้ชีวิตดีขึ้น” แต่ผมก็มักจะพูดกลับว่า

 

ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง ทำไมผมถึงไม่มีบ้านอยู่?

ถ้าพระเจ้ามีอยู่ ทำไมผมถึงไม่มีเงินซื้ออาหาร?

พระเจ้าแบบไหนกันที่จะปล่อยให้ผมต้องเจ็บปวดขนาดนี้?

 

ผมเลยเต็มไปด้วยความโกรธ และบางครั้งก็ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วย ตอนอยู่โรงเรียนผมก็ถือว่าโอเคนะ แต่บางครั้งแค่เหตุการณ์เล็ก ๆ ก็เหมือนเป็นชนวนจุดระเบิด ผมรู้ว่ามันคือจุดอ่อนของตัวเอง เพราะบางครั้งความโกรธก็ครอบงำผมจนควบคุมตัวเองไม่ได้

แต่สุดท้ายผมก็หันมาใช้การทำสมาธิ ซึ่งมันช่วยผมได้มากเลยครับ และตอนนี้ มีแค่บางครั้งที่ผมหิวมาก ๆ แล้วอาจจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง แต่โดยรวมแล้ว ผมแทบไม่โกรธอะไรเลยครับ

พูดได้เลยว่าผมเปลี่ยนไปเยอะมากจริง ๆ

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

The People : แล้วคำแนะนำต่าง ๆ ที่คุณจรดมันลงหน้าหนังสือ คุณไปได้คำตอบเหล่านั้นมาได้อย่างไร?

Vex King : จริง ๆ แล้วมันมีอยู่สองส่วน อย่างแรกเลยคือ ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ผมมักจะถูกบอกว่าเป็นคนที่มีสติและช่างวังเกตสิ่งรอบข้าง ผมมักจะสังเกตเห็นสิ่งที่เด็กคนอื่นไม่ค่อยสังเกตกัน

ผมคิดว่าเพราะผมชอบตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น ทำไมถึงเป็นแบบนี้? หรือ ทำไมคนคนนี้ถึงแสดงพฤติกรรมแบบนั้น? ผมมองรอบตัวและพยายามค้นหาคำตอบจากภายในตัวเอง นั่นคือส่วนหนึ่งของตัวผมตั้งแต่เด็กเลยครับ

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ตอนผมอายุประมาณ 14 หรือ 15 ผมชอบดนตรีฮิปฮอปมาก และตอนนั้นมีเว็บบอร์ดหรือฟอรัมที่คนเข้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเพลงกัน แล้วในนั้นจะมีหมวดย่อยเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ปรัชญา และประสาทวิทยา ซึ่งคนในนั้นจะแนะนำหนังสือให้อ่าน

ผมเองเป็นแฟนตัวยงของศิลปะการต่อสู้และชื่นชอบบรูซ ลีมาก แล้วมีคนแนะนำหนังสือเล่มหนึ่งว่า “นี่คือหนังสือที่บรูซ ลีอ่าน แล้วมันเปลี่ยนชีวิตเขา” — ชื่อว่า ‘Think and Grow Rich’ โดย นโปเลียน ฮิลล์ (Napoleon Hill)

ทั้งที่แต่ก่อนผมไม่ชอบอ่านหนังสือเลยนะครับ พูดตรง ๆ คือไม่เคยอ่านหนังสือเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมต้องอ่านเล่มนี้ให้ได้ เพื่อจะดูว่ามันช่วยเขาได้อย่างไร

พออ่านจบ ผมก็ตระหนักเลยว่าผมต้องเปลี่ยน ‘วิธีคิด’ ของตัวเอง ผมรักกีฬา เลยเริ่มศึกษานักกีฬาระดับโลกหลายคน เช่น ไมเคิล จอร์แดน, พีท แซมพราส นักเทนนิส, ไทเกอร์ วูดส์ — ตลอดจนนักกีฬาระดับตำนานและบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของโลก อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

 

ผมก็เริ่มเห็นว่า ทุกคนที่ประสบความสำเร็จล้วนมีกรอบความคิดที่พิเศษ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บน ‘ทัศนคติเชิงบวก’ และ ‘การมองโลกในแง่ดี’ พวกเขารู้วิธีที่จะดึงสิ่งดี ๆ ออกมาจากความท้าทาย เพราะจริง ๆ แล้ว ความท้าทายไม่ได้เป็นตัวกำหนดเรา แต่วิธีที่เราตอบสนองต่อความท้าทายนั่นแหละ ที่จะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเรา

 

The People : คุณเลยค่อนข้างเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกใช่ไหม?

Vex King : ผมเป็นคนคิดบวก แต่ไม่ใช่ในแบบโลกสวยจนไร้เดียงสานะ เพราะบางครั้งผมคิดว่า โดยเฉพาะในวงการที่พูดถึงการคิดบวก หลายคนมองเห็นบ้านไฟไหม้อยู่ตรงหน้า แต่กลับบอกว่า ‘แค่คิดบวกก็พอ’ ซึ่งความคิดแบบนั้นมันไม่ทำให้ไฟดับได้นะครับ เราต้องลงมือทำด้วย

 

The People : ทีนี้อะไรคือเส้นแบ่งระหว่าง ‘คิดบวก’ (Optimistic) กับ ‘ไร้เดียงสา’ (Naive)?

Vex King : ผมคิดว่า ‘การยอมรับความจริง’ คือกุญแจสำคัญครับ การยอมรับความเป็นจริงในสิ่งที่มันเป็น และเข้าใจว่าการคิดบวกไม่ใช่การปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงปัญหา แต่คือการมองหาโอกาสท่ามกลางความท้าทาย

โลกทุกวันนี้มีแนวโน้มจะสุดโต่งมาก เรามักจะไปสุดขั้วด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งในคำสอนของพระพุทธเจ้าเองก็พูดถึง ‘ทางสายกลาง’ ที่หมายถึงการมีสมดุลในชีวิต ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป

การมีมุมมองที่ตั้งอยู่ตรงกลางจึงสำคัญ เราควรยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามที่มันเป็น แล้วตอบสนองต่อมันด้วยความคิดบวกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ บางครั้งเราแค่ต้องยอมรับสิ่งนั้น ทำใจให้สงบกับมัน แล้วค่อยก้าวเข้าสู่ความคิดบวกในเวลาที่เหมาะสม

 

 

 

The People : เมื่อเราต้องเผชิญกับสิ่งลบ ๆ เราควรเปลี่ยนมันให้เป็นพลังบวกใช่ไหม?

Vex King : ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการพยายามมองหาสิ่งดี ๆ หรือพลังบวกในสถานการณ์นั้น แต่ก็ไม่ควร ผลักไสความรู้สึกด้านลบ ออกไปด้วย

ผมพูดแบบนี้เพราะว่าหลายครั้ง เวลาเราพูดถึง ‘การคิดบวก’ ผู้คนมักจะตีความว่าต้อง ผลักทุกความรู้สึกลบออกไปให้หมด แต่จริง ๆ แล้ว แนวคิด ‘Good Vibes Only’ หรือ ‘พลังบวกเท่านั้น’ ที่ผมเขียนไว้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปฏิเสธความรู้สึกลบเลยนะครับ

มันหมายถึงการ พยายามรักษาพลังงานของเราให้อยู่ในระดับสูง หรือมุ่งไปสู่สิ่งที่ดี แต่ ไม่ใช่การกดทับความรู้สึกลบ

ลองนึกภาพลูกบอลเป่าลมบนชายหาด ลูกบอลนั้นแทนความรู้สึกลบของเรา ถ้าคุณพยายามกดลูกบอลนั้นให้จมลงในน้ำ ยิ่งคุณกดแรงเท่าไหร่ มันก็จะเด้งกลับขึ้นมาสูงเท่านั้น

ความรู้สึกลบก็เช่นเดียวกัน ยิ่งเราพยายามผลักมันออกไป มันก็จะยิ่งระเบิดกลับมาแรงกว่าเดิม ภายในตัวเรา และนั่นแหละครับคือที่มาของความโกรธ ความไม่เข้าใจ และการแสดงออกด้วยความไม่เมตตาต่อคนอื่น

 

สิ่งที่เราควรทำคือ พยายามมองสถานการณ์ลบให้เป็นอีกมุมหนึ่งที่บวกกว่าเดิม

 

ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ถ้าผมบอกคุณว่า ‘คุณมีโอกาสรอดชีวิต 10%’ กับอีกคำพูดหนึ่งที่ว่า ‘คุณมีโอกาสตาย 90%’  คุณรู้สึกยังไงกับแต่ละประโยค?

แน่นอนว่าประโยคแรกฟังดูให้ความหวังและสร้างแรงบันดาลใจมากกว่า

ทั้งสองประโยคพูดความจริงเหมือนกัน แต่เรารู้สึกต่างกันเพราะ ‘มุมมองที่เรามีต่อมัน’ ต่างกัน

 

The People : ทำไมการที่เรามี ‘Good Vibes’ จะทำให้เรามี ‘Good Life’ ได้?

Vex King : คำว่า ‘พลังบวก’ (Good Vibes) นั้น มาจากแนวคิดที่เรียกว่า ‘กฎแห่งการสั่นสะเทือน’ (Law of Vibration) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เข้าใจง่ายมากเลยครับ มันหมายความว่าพลังงานที่คุณส่งออกไปสู่โลกแบบไหน คุณก็จะได้รับพลังงานแบบนั้นกลับมา ฟังดูคล้าย ๆ กฎแห่งกรรม แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

กฎแห่งการสั่นสะเทือนนี้บอกว่า ถ้าคุณรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่คุณมีอยู่ คุณก็จะได้รับสิ่งอื่น ๆ เพิ่มเติมที่ทำให้คุณรู้สึกขอบคุณอีก เพราะคุณได้ปรับคลื่นพลังงานของตัวเองให้ตรงกับความปรารถนานั้นแล้ว

ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนสั่นสะเทือนในระดับพลังงานที่ต่างกัน ความปรารถนาทุกอย่างของเราก็มีคลื่นพลังงานเฉพาะตัวเหมือนกัน และคุณจำเป็นต้อง ปรับพลังงานของตัวเอง ให้ตรงกับคลื่นนั้น เพื่อดึงสิ่งนั้นเข้ามาสู่ชีวิตจริง

ให้นึกภาพเหมือนการหมุนหน้าปัดวิทยุ ถ้าคุณอยากฟังคลื่นวิทยุช่องหนึ่ง คุณต้องหมุนหน้าปัดให้ตรงเป๊ะ ถ้าไม่ตรงคุณก็จะไม่ได้ยินอะไรเลย ชีวิตจริงก็คล้ายกัน เราต้องปรับตัวเองให้ตรงกับคลื่นของความปรารถนาที่เราต้องการรับฟัง

และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความปรารถนาของคุณ ไม่ได้อยู่ที่ ‘สิ่งของ’ แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ ที่สิ่งของนั้นมอบให้

เช่น ถ้าผมอยากมีบ้าน สิ่งที่ผมต้องการจริง ๆ อาจไม่ใช่แค่ตัวบ้าน แต่คือ ‘ความสุข’ หรือ ‘ความมั่นคง’ ที่บ้านนั้นมอบให้

ถ้าคุณสามารถปรับอารมณ์ของตัวเองให้สอดคล้องกับความรู้สึกนั้นได้ — ความสุข และ ความมั่นคง — คุณก็จะสามารถดึงดูดบ้านหลังนั้น หรือสิ่งที่คุณต้องการเข้ามาในชีวิตได้

ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดในการเข้าใจกฎแห่งการสั่นสะเทือนคือ ให้คุณปรับอารมณ์ของตัวเองให้ตรงกับ ‘ความรู้สึก’ ที่คุณอยากสัมผัส เมื่อคุณรู้สึกดีในสิ่งที่มีอยู่แล้ว ความสุขอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ เข้ามาเองครับ

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

The People : ในหนังสือของคุณ คุณยังพูดถึงกฎนี้ในมุมอื่น ๆ ด้วย เช่นเรื่องอาหาร หรือการรับรู้ของเรา แปลว่าเราสามารถนำกฎแห่งการสั่นสะเทือนไปใช้กับทุกด้านของชีวิตเลยใช่ไหม?

Vex King : ใช่ครับ ทุกด้านของชีวิตเลย เอาแค่เรื่องอาหารก็เห็นชัดเลยนะครับ เช่น ที่อังกฤษเราจะมีอาหารที่เรียกว่า Jacket Potato (มันฝรั่งอบ) ซึ่งผมเคยกินเป็นมื้อกลางวันที่ทำงาน กินคู่กับชีส พอกินเสร็จเท่านั้นแหละ ผมจะรู้สึกง่วงและเหนื่อยทันที

แล้วพอเรารู้สึกง่วงและเหนื่อย เราก็ยากที่จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ยากที่จะทำงานได้ดี หรือมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นหมายความว่า ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่เรารับเข้ามา ล้วนส่งผลกับพลังงานของเรา

แม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ ถ้าคุณอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationshi[p) มันก็ยากที่คุณจะรู้สึกมีแรงบันดาลใจ หรือทำสิ่งดี ๆ ได้

 

เพราะฉะนั้น ทุกด้านของชีวิตเราสำคัญหมด และควรอยู่ในสมดุลที่สอดคล้องกัน

 

แน่นอนว่าเราทุกคนก็เป็นมนุษย์ มันพูดง่ายแต่ทำยาก แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือพยายามอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ

 

The People : ต่อมา ผมอยากให้คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับ Healing Is the New High ให้ฟังหน่อยได้ไหม ว่าเล่มนี้พูดถึงอะไรบ้าง?

Vex King : Healing Is the New High คือหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของการเปลี่ยนความเชื่อที่จำกัดเราให้กลายเป็นความเชื่อที่ดีต่อสุขภาพจิตและจิตใจมากขึ้น เพราะความจริงก็คือ ทุกคนเกิดมาแล้วก็ถูกหล่อหลอมโดยสิ่งรอบตัว ตั้งแต่เราเกิดมา เราเต็มไปด้วยความรัก สิ่งที่เราต้องการคือแสดงความรักและรับความรักจากพ่อแม่หรือคนรอบข้าง

แต่พอเราโตขึ้น เรากลับถูกสอนให้ ‘ไม่รัก’ ผู้อื่น ถูกสอนให้ตัดสินคนอื่น เห็นความแตกต่างและแยกคนอื่นออกจากตัวเรา เราจึงค่อย ๆ สูญเสียการเชื่อมโยงกับความรักภายในตัวเอง และนั่นก็กลายเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อวิธีที่เราปฏิบัติต่อตัวเองและผู้อื่น

หลายครั้งเราคิดว่า ‘เราไม่ดีพอ’ เพราะมีใครบางคนในอดีตบอกเราว่า ‘เราไม่คู่ควรกับสิ่งดี ๆ’ และความเชื่อแบบนั้นก็ฝังรากลึกลงไปในตัวเราจนโตเป็นผู้ใหญ่

เมื่อเราถูกปลูกฝังแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็สร้างร่องลึก ในจิตใจ และเราก็มักจะใช้ชีวิตตามร่องเดิมเหล่านั้น ซึ่งสุดท้ายก็สร้างสถานการณ์ที่สอดคล้องกับความเชื่อผิด ๆ เหล่านั้น

ดังนั้น Healing Is the New High จึงตั้งคำถามว่า เราจะปลดแอกตัวเองจากการถูกหล่อหลอมเหล่านั้นได้อย่างไร?

และบทเรียนที่ลึกที่สุดในหนังสือคือ เราจะปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตนี้ได้อย่างไร เพื่อที่จะได้รู้ว่า จริง ๆ แล้ว เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ในแบบของเราเอง

 

The People : โดยหนังสือเล่มนี้ก็พูดถึงเรื่องการเยียวยาบาดแผลในใจด้วยใช่ไหม?

เรื่องของ ‘บาดแผลในใจ’ (Trauma) เป็นส่วนสำคัญของหนังสือเล่มนี้เลย ความจริงแล้ว นักจิตวิทยาและนักบำบัดเองก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่า “Trauma คืออะไรแน่” เพราะ Trauma บางทีมันไม่ได้ต้องเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตอะไรเลย มันอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่กระทบเราได้ลึกมาก

ผมเล่าถึงความสัมพันธ์หนึ่งที่ผมเคยมี ซึ่งสำหรับผม มันเป็นเหตุการณ์ที่สร้างบาดแผล เพราะมันเปลี่ยนมุมมองต่อโลกของผมไปทั้งระบบ และแม้แต่หลังจากจบความสัมพันธ์นั้นไปแล้ว เวลาผมมีความสัมพันธ์ใหม่ ระบบประสาทในร่างกายของผมก็ยังตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบเดิม นั่นเพราะ Trauma ไม่ได้อยู่แค่ในจิตใ แต่ฝังอยู่ในร่างกายด้วย

หนังสือเล่มนี้จึงพาผู้อ่านเดินทางไปพร้อมกัน ทั้งในระดับ จิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ เพื่อให้ทั้งหมดสั่นสะเทือนไปในทิศทางเดียวกัน และคุณจะค่อย ๆ เรียนรู้ว่า จะปล่อยวางบาดแผลที่คุณแบกไว้มาตลอดชีวิตได้อย่างไร

เล่มนี้จะมีแบบฝึกหัดให้ทำด้วย เป็นแนวทางที่สามารถลงมือปฏิบัติตามได้ ซึ่งแตกต่างจากหนังสืออีกสองเล่มที่เน้นให้ข้อมูลพร้อมแนวคิด และมีแบบฝึกหัดแทรกอยู่เล็กน้อยครับ

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

The People : ในช่วงที่คุณเขียนเล่มนี้ขึ้นมา คุณมีแรงบันดาลใจ ความคิด หรือความรู้สึกอย่างไรจนกลายเป็นผลงานชิ้นนี้?

Vex King : มันเกิดขึ้นช่วงก่อนโควิดไม่นาน ผมเคยบอกกับสำนักพิมพ์ที่สหราชอาณาจักรว่า — คือพวกเขาอยากให้ผมรีบเขียนหนังสือเล่มต่อไป — แต่ผมก็บอกพวกเขาไปว่า ผมต้องรอจังหวะที่ใช่ก่อน ผมไม่สามารถเขียนมันขึ้นมาแบบไม่มีความรู้สึกได้

ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าโควิดจะกลายเป็นโรคระบาดใหญ่ ผมแค่รู้สึกประหลาดใจแบบแปลก ๆ ว่ามีพลังงานบางอย่างในโลกใบนี้ที่มันไม่ปกติ

ผมนั่งมองและเริ่มสังเกตเห็นว่า บนโซเชียลมีเดีย หลาย ๆ คนเริ่มพูดถึงคำว่า การเยียวยา หลายคนเริ่มถามว่า จะเยียวยาตัวเองยังไง? แม้แต่ตัวโควิดเองก็เป็นสิ่งที่ผู้คนรู้สึกกระทบกระเทือน ลึก ๆ เพราะมันสร้างความสูญเสีย

เราเคยเข้าใจว่าความเศร้าเสียใจ เกิดขึ้นแค่ตอนที่เราสูญเสียคนที่เรารัก เช่น คนในครอบครัวจากไป
แต่ความจริงคือ ความเศร้าแบบนั้นเกิดขึ้นได้จากการสูญเสียอะไรก็ตาม เช่น ถ้าคุณสูญเสียความสัมพันธ์ คุณก็สามารถรู้สึกเศร้าได้ หรือแม้แต่การสูญเสียแผนการในชีวิตมันก็ทำให้เกิดความเศร้าได้เช่นกัน

ก่อนโควิด ผู้คนมีแผนมากมาย — “หน้าร้อนนี้จะไปที่นั่น จะทำสิ่งนี้” แต่แล้วอยู่ ๆ โลกทั้งใบก็หยุดนิ่ง

 

พวกเราทุกคนต้องติดอยู่ในบ้าน

ผมเลยรู้สึกว่ามันมีความเศร้าแบบรวมหมู่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในจิตใจของผู้คน

 

ผู้คนกำลังเผชิญกับความทุกข์จริง ๆ อยู่ในบ้าน สุขภาพจิตของพวกเขาก็แย่ลงมาก ผมเลยรู้ว่านี่แหละคือช่วงเวลาที่ใช่ ที่ผมควรเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือผู้คนบนเส้นทางของพวกเขา

และในช่วงที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ คุณยายของผมก็เสียชีวิตด้วย ผมเองก็เลยกำลังเผชิญกับกระบวนการของตัวเองเช่นกัน และการเขียนมันออกมา มันก็กลายเป็น การเยียวยา ให้กับตัวผมด้วยครับ

 

The People : พอมาถึงเล่ม Things No One Taught You About Love? ทำไมคุณถึงอยากเขียนหนังสือเกี่ยวกับ ‘ความรัก’ ล่ะ?

Vex King : มันน่าสนใจตรงที่ว่า จริง ๆ แล้วเล่มนี้เคยถูกวางแผนไว้ให้เป็นเล่มที่สองครับ ตอนนั้นผมพูดเลยว่าผมไม่อยากเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรัก เพราะผมไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของผมกับภรรยาดูเหมือนว่าสมบูรณ์แบบจนเกินจริง ผมไม่อยากให้มันเหมือนการยกตัวอย่างว่าความสัมพันธ์ของเรานั้นเพอร์เฟกต์และที่สำคัญ ผมไม่อยากเขียนหนังสือเกี่ยวกับ ‘ความสัมพันธ์’ ด้วยซ้ำ

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

แต่ถ้าคุณลองเข้าไปอ่านข้อความในอินสตาแกรมของผม ดูเลยครับ เกือบ 90% ของข้อความที่ผมได้รับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักทั้งนั้น เช่น

  • ฉันจะรักคู่ของฉันให้มากขึ้นได้อย่างไร?
  • ฉันจะปล่อยมือจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษได้ยังไง?
  • ฉันควรเลิกกับเขาไหม?

บางครั้งมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเล่าเรื่องแฟนหนุ่มให้ผมฟังเต็มไปหมด สมมติว่าเขาชื่อ แจ็ค เธอก็จะบอกว่า “แจ็คทำแบบนี้ แจ็คพูดแบบนั้น แจ็ค แจ็ค แจ็ค...” แล้วก็ถามผมว่า “ฉันควรเลิกกับเขาไหม?” “ฉันควรให้โอกาสเขาอีกไหม?”

แต่ผมตอบไม่ได้จริง ๆ ครับ เพราะผมได้ยินแค่ ‘มุมของเธอ’ เท่านั้น ผมไม่รู้ว่าฝั่งของแจ็คคิดหรือรู้สึกยังไง ผมก็ไม่สามารถตัดสินแทนเธอได้

นั่นแหละครับคือเหตุผลที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมอยากส่งคืนพลัง กลับไปให้ผู้อ่าน ให้พวกเขาเริ่มต้นจากการรักตัวเองก่อน

 

เพราะเมื่อคุณรักตัวเองได้ คุณก็จะสร้างความไว้ใจในตัวเองและเมื่อคุณไว้ใจตัวเองได้

 

คุณก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องสำหรับตัวคุณเอง

อีกอย่างคือ ผมอยากพูดถึง ‘ความจริง’ ของความรักและความสัมพันธ์ด้วย เพราะทุกวันนี้บนโลกโซเชียล เราจะเห็นคู่รักที่ดูเพอร์เฟกต์ไปหมดแต่ความจริงคือ เบื้องหลังภาพถ่ายเหล่านั้น มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป

คุณแค่เห็นช็อตสวย ๆ ที่ถูกเลือกมาโพสต์ แต่ไม่ได้เห็นเบื้องหลังที่แท้จริง ผมเล่าเรื่องหนึ่งไว้ในหนังสือ ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเขียนเรื่อง ความเป็นจริงของความสัมพันธ์

เรื่องมีอยู่ว่า หลายปีก่อน ผมไปงานของภรรยา เป็นอีเวนต์เกี่ยวกับเมกอัพ เพราะเธอทำคอนเทนต์ด้านความงาม ที่งานนั้นมีคู่รักคู่หนึ่งทะเลาะกันหนักมาก แบบเหมือนจะลงไม้ลงมือกันเลย สถานการณ์ดูแย่มาก จนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องเข้ามาแยกพวกเขาออกจากกัน ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครนะครับ แค่ตกใจกับสิ่งที่เห็น

แต่ไม่กี่วันต่อมา ผมเลื่อนดูอินสตาแกรมแล้วเจอโพสต์แนะนำ เห็นรูปคู่นี้แล้วก็รู้สึกคุ้น ๆ พอกดเข้าไปอ่าน เป็นแคปชันที่ซึ้งมาก พวกเขากำลังแสดงความรักต่อกัน แล้วก็มีคอมเมนต์เต็มไปหมดว่า “โอ้ย พวกคุณเป็นคู่รักในฝัน” “ฉันอยากมีความสัมพันธ์แบบพวกคุณ” อะไรแบบนี้

ผมถึงกับอึ้งเลยครับ เพราะนั่นคือรูปของคู่รักที่ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย  ในคืนวันนั้น แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า คนกำลังยกให้พวกเขาเป็น ‘Relationship Goals’ จากแค่ภาพเดียว โดยที่ไม่รู้เลยว่าความจริงเบื้องหลังมันเป็นยังไง

 

The People : ดูเหมือนว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่าตัดสินความสัมพันธ์ของผู้อื่นจากแค่ภาพในอินสตาแกรม”

Vex King : ถูกต้องที่สุดครับ ผมมักจะพูดเสมอว่า “อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณเห็นในโซเชียลมีเดีย” และจริง ๆ ก็อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณอ่านด้วยซ้ำ

 

The People : คุณมีคำจัดกัดความของ ‘ความรัก’ ว่าอย่างไร?

Vex King : คำจำกัดความของผมเกี่ยวกับความรักเหรอ... อืม นี่เป็นคำถามที่ดีมากเลยนะครับถ้าจะให้นิยามความรัก ผมขออธิบายแบบนี้ ซึ่งอาจจะฟังดูเป็นแนวทางจิตวิญญาณหน่อยนะครับ สำหรับผม ความรักคือ ‘ธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล’ และมันคือพลังงานที่เชื่อมโยงเรากับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา

 

The People : ในยุคนี้ เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของพวกเรา เพราะเราก็ใช้มันกันทุกวัน ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ทุกอย่างดูวุ่นวาย สับสน เต็มไปด้วยความโกรธและความขัดแย้ง คุณคิดว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทต่อชีวิตของเราบ้างไหม?

Vex King : สำหรับผม โซเชียลมีเดียเป็นทั้ง ‘พร’ และ ‘คำสาป’ ในเวลาเดียวกัน ในด้านดี — มันช่วยให้ผมเข้าถึงและช่วยเหลือผู้คนได้มากมาย ผ่านข้อความหรือคำคมต่าง ๆ ที่ผมแชร์ลงออนไลน์ แต่มันก็มีด้านมืดเช่นกัน — ผมเองก็เคยเจอกับผลกระทบด้านลบจากมัน

บางครั้งผมได้รับข้อความที่ไม่ดีเลย บางคนส่งข้อความส่วนตัวเข้ามาว่าทั้งผม ภรรยา และครอบครัวของผมในเชิงรุนแรง แล้วยังมีเรื่องของ ‘วัฒนธรรมการเปรียบเทียบ’ ด้วย — คนเห็นรูปคนอื่นแล้วก็คิดว่า ฉันอยากเป็นเหมือนเขา

มีความไม่จริงมากมายในโซเชียล ผู้คนไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริง บางครั้งก็โชว์บ้านหรือรถหรู แล้วบอกว่านี่คือชีวิตของพวกเขา แต่ความจริงคือสิ่งเหล่านั้นอาจจะเช่ามา หรือเป็นภาพลวงตา พวกเขาไม่ได้บอกความจริงทั้งหมด

และพวกเราก็ติดมือถือกันมาก จนแทบจะตัดขาดจากปัจจุบัน โซเชียลมีเดีย รวมถึงโทรศัพท์โดยทั่วไป มันเป็นเครื่องมือที่ดีในการเชื่อมต่อ แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราตัดขาดจากช่วงเวลาตรงหน้าด้วย บางทีแค่คุณเดินเข้าร้านอาหาร คุณก็จะเห็นว่ามีคู่รักนั่งตรงข้ามกัน แต่ไม่ได้พูดกันเลย ทั้งคู่เอาแต่ก้มดูโทรศัพท์

แล้วพอเราไม่เชื่อมโยงกับคนที่อยู่ตรงหน้า เราก็ไม่ได้ใส่ใจเขา เราไม่ได้รับฟังหรือแสดงความเข้าใจต่อกันจริง ๆ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ผมเห็นปัญหาความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเยอะมาก เพราะพวกเขาถูกฝึกให้ใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นแทนที่จะอยู่กับปัจจุบัน พอหน้าจอหายไป สมองของเขาก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว มันล่องลอยไปที่อื่น

ซึ่งนั่นแหละคือสาเหตุของความวิตกกังวล — ความกลัวที่เกิดจากการจินตนาการถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นและทุกอย่างมันเริ่มจากความคิดในหัวเราเอง เพราะงั้นโซเชียลมีเดียส่งผลในทางลบอย่างมาก

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

และสำหรับผม สิ่งที่สำคัญคือ ผมต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย เพราะถ้าผมบอกคนอื่นว่าโซเชียลมีเดียไม่ดี แต่ตัวเองกลับใช้มันทั้งวัน นั่นก็แปลว่าผมไม่ทำตามสิ่งที่ตัวเองสอน

ผมเลยสร้างขอบเขตในการใช้โซเชียลของตัวเอง ผมจะโพสต์อะไรเสร็จ แล้วก็ปิดมันไปเลย แม้โทรศัพท์จะอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่ผมพยายามไม่หยิบมาดูบ่อย ๆ เพราะทุกอย่างในชีวิตคือ ความสมดุล เราต้องใช้โซเชียลมีเดียในแบบที่เหมาะกับเรา และรู้ด้วยว่าบนโลกออนไลน์นั้นเต็มไปด้วย ข้อมูลผิด ๆ มันเหมือนเราถูกล้างสมองจากสิ่งที่เราเสพอยู่ทุกวันด้วยซ้ำ

อย่าง Twitter ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น X ถ้าคุณเข้าไปดู จะเห็นแต่ความรุนแรงและความโกรธเต็มไปหมด ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันกระทบต่ออารมณ์ของเราทันที พออารมณ์เข้ามาเกี่ยว ความคิดและการกระทำของเราก็จะเริ่มขุ่นมัว เรามองโลกผ่านเลนส์ที่ไม่ใส เห็นแต่ความมืด เห็นแต่ปัญหา เพราะงั้น สิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยคือ เราควรสร้างฟีด ที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง และรู้สึกมีแรงบันดาลใจจริง ๆ ครับ

 

The People : เรียกได้ว่าในยุคนี้ หนังสือพัฒนาตัวเองถือเป็นที่นิยมอย่างมากจากนักอ่านมากมาย ทว่าในขณะเดียวกัน บางคนก็ได้สะท้อนว่า เวลาอ่านหนังสือทำนองนี้เยอะ ๆ เข้า เผชิญกับภาวะ ‘Self-Help Fatigue’ คือรู้สึกเหนื่อยหรืออิ่มตัวกับคำแนะนำเยอะ ๆ ไปหมด คุณมีมุมมองอย่างเราต่อวิธีการที่พวกเราควรเข้าหาหนังสือประเภทนี้?

Vex King : นั่นเป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ เพราะผมเองก็สังเกตเห็นเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ บางคนถึงขั้นเสพติดการอ่านหนังสือพัฒนาตัวเอง ต้องหาคำตอบใหม่อยู่ตลอดเวลา หรือคิดว่าตัวเองต้องแก้ไขอะไรสักอย่างตลอดเวลา เหมือนตัวเองยังไม่ดีพอ

สิ่งที่ผมอยากแนะนำคือ — ถ้าคุณเจอหนังสือเล่มหนึ่งที่สะท้อนใจคุณจริง ๆ คุณไม่จำเป็นต้องอ่านทุกเล่ม ผมพูดจากประสบการณ์ตรงเลยนะครับ เพราะผมเคยทำพลาดแบบนั้น ผมเคยอ่านหนังสือพัฒนาตัวเองไปมากกว่า 1,000 เล่ม และสุดท้ายเนื้อหาส่วนใหญ่ก็จะพูดสิ่งคล้าย ๆ กันในรูปแบบที่ต่างกันไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำบทเรียนเหล่านั้นมาใช้จริง และต้องเข้าใจด้วยว่าชีวิตไม่มีทางสมบูรณ์แบบ 100% อยู่แล้ว เมื่อคุณเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก นั่นแหละครับคือช่วงเวลาที่คุณต้องนำสิ่งที่คุณเรียนรู้มาใช้ เพราะการจะเข้มแข็งขึ้น หรือมีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้นได้ คุณต้องลงมือทำ ไม่ใช่แค่อ่านเฉย ๆ และถ้าคุณล้มเหลว หรือทำไม่ได้สมบูรณ์แบบ — ก็ไม่เป็นไรเลยครับ นั่นแหละคือกระบวนการเติบโตคือส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์

สิ่งที่อยากให้ทำคือ หยุดพักบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องอ่านเล่มแล้วเล่มเล่า เล่มต่อไป ต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าคุณรู้สึกว่าหนังสือเล่มไหนเรียกหาคุณ ก็อ่านได้เลย แต่ให้อยู่กับบทเรียนในเล่มนั้นก่อน อ่านเสร็จแล้วลองนำบทเรียน 1 หรือ 2 อย่างมาปฏิบัติดูเลย ว่ามันใช้ได้ผลกับคุณไหม

ถ้าคุณรู้สึกว่าชีวิตตอนนี้ต้องการแรงบันดาลใจอีกสักรอบ หรือคุณกำลังมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ แล้วอยากอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนั้น แบบนี้โอเคเลยครับ

แต่อีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ผมเห็นในวงการพัฒนาตัวเองก็คือ เรามักรู้สึกว่า ‘ตัวเองยังไม่ดีพอ’ และจะไม่มีวันดีพอ พอเราคิดแบบนั้น เราก็จะออกเดินทางแบบไม่รู้จบเพื่อพยายามแก้ไขตัวเอง แต่สิ่งที่ย้อนแย้งที่สุดคือ

 

ยิ่งคุณคิดว่าตัวเองต้องแก้ไขมากเท่าไหร่

คุณจะยิ่งรู้สึกไม่สมบูรณ์มากขึ้นตลอดเวลา

 

 

The People : อาจจะเป็นคำถามบ้า ๆ หน่อย แต่เมื่อได้มีโอกาสคุยกับคุณแล้ว คงต้องถามสักหน่อย ในฐานะคนที่เขียนหนังสือ Good Vibes, Good Life หลายคนอาจสงสัยว่า —
คุณรู้สึกมีความสุขตลอดเวลาหรือเปล่า?

Vex King : (หัวเราะ) คำตอบสั้น ๆ คือ “ผมก็เป็นมนุษย์นะครับ” ชีวิตของคนเรามีเรื่องเกิดขึ้นทุกวันสมมติว่าวันนี้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีก แล้วทุกอย่างเริ่มสั่นไหว ถ้ามีคนถามผมตอนนั้นว่า “คุณมีความสุขอยู่ไหม?” ผมก็คงตอบว่า “ไม่ครับ ตอนนี้ผมกลัวมาก”  ผมจะรู้สึกกลัวจริง ๆ

สำหรับผมตอนนี้ ผมรู้สึกว่า ชีวิตผมมีความสมดุลมากกว่าสมัยก่อนเยอะเลยครับ แต่ถ้าถามว่ามีความสุขตลอดเวลาไหม? ผมคิดว่านั่นคือเป้าหมายที่ยากมากที่จะไปถึง และเอาจริง ๆ ผมยังไม่เคยเจอใครที่มีความสุขได้ตลอดเวลาเลยนะครับ
อาจจะมีอยู่คนเดียวคือครูด้านจิตวิญญาณของผมที่ดูจะมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านอาจจะบรรลุไปแล้วก็ได้

แต่นอกจากท่านแล้ว ผมไม่คิดว่าจะมีใครเป็นแบบนั้น

 

ถ้ามีใครบอกคุณว่าเขามีความสุขตลอดเวลา — เขากำลังโกหกครับ

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’

 

The People : ในฐานะมนุษย์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อจะมีความสุข ตลอดเวลาด้วยซ้ำ

Vex King : ถูกต้องครับ

 

The People : เราจำเป็นต้องได้สัมผัสกับอารมณ์หลากหลายรูปแบบ

Vex King : ใช่เลยครับ และนั่นแหละคือหัวใจของการเดินทางในชีวิต คือการได้สัมผัสกับอารมณ์ทุกเฉดสี ทุกความรู้สึก ที่มีอยู่ในชีวิตมนุษย์ และนั่นก็เป็นความงดงามของชีวิตด้วยเช่นกัน

 

The People : ความงามของชีวิตอยู่ที่ความไม่สมบูรณ์แบบของมัน

Vex King : ใช่เลยครับ ใช่เลย

 

The People : ย้อนกลับไปตอนที่คุณเคยพูดว่า “วันหนึ่งฉันจะเปลี่ยนโลกให้ได้” ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรที่หนังสือของคุณได้ช่วยเหลือผู้คนทั่วโลกมาแล้วมากมาย?

Vex King : พูดตรง ๆ เลยนะครับ ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมากจริง ๆ ตอนที่ผมเขียน Good Vibes, Good Life ผมภาวนาหลังจากทุกบรรทัดเลยนะครับ ผมพูดกับตัวเองว่าขอให้ใครก็ตามที่อ่านประโยคนี้ ได้เปลี่ยนชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 

แต่หนังสือเล่มนั้นก็ไม่ได้กลายเป็นหนังสือขายดีตั้งแต่แรกเลยนะครับเพราะตอนนั้นผมไม่มีงบทำการตลาดอะไรเลย ไม่มีทีม ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ตอนนี้มันขายได้มากกว่า 2 ล้านเล่มแล้ว และได้รับการแปลมากกว่า 40 ภาษา ผมรู้สึกขอบคุณจากหัวใจจริง ๆ

แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผม ตัวเลขพวกนั้นก็แค่ตัวเลข

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือภารกิจในการช่วยเหลือผู้คน และยังต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ

 

สิ่งสำคัญสำหรับผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่งก็คือ

พยายามทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นเท่าที่ผมจะทำได้

 

สัมภาษณ์ Vex King ผู้เขียน Good Vibes, Good Life ที่ต่ออขอกรกับชีวิตด้วยการ ‘คิดบวก’