12 มี.ค. 2568 | 16:00 น.
"พื้นฐานเป็นคนกลัวผีมากค่ะ แทบจะไม่ดูตัวเองเลย เพราะเรารู้สึกว่าผีก็คือคน แค่เป็นคนที่อยู่ในอีกสถานะหนึ่ง เขามีความโลภ ความโกรธ ความหลงเหมือนกัน”
‘นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา’ นักแสดงผู้ผ่านบทบาทผีมาหลายต่อหลายครั้ง และมีสิ่งที่ยังฝังใจเธออยู่เสมอคือ 'ความกลัว' เธอกลัวผีจนสุดใจ แต่สุดท้ายความกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ
"เราคิดว่าผีหลอกเรา แต่สุดท้ายสิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ คือ เราหลอกตัวเองนะ นั้นน่ะน่ากลัวกว่าผีอีก"
กว่าเธอจะตกตะกอนได้ว่าผีนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นผีที่สุด หลังจากผ่านเรื่องราวครั้งนั้น เธอจึงเข้าใจว่าผีนั้นทุกข์ทรมาน เข้าใจว่าผีอาจมีบ่วงที่ติดอยู่ในใจจนไม่จากไปไหน และเข้าใจอีกว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าผี คือ คน…
อันที่จริง ความเข้าใจผีของเธอเกิดขึ้นหลังจากเล่นละครเวที ‘เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี’ ซึ่งมีรอบการแสดงตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2568 - วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์ ในบทบาทพี่สาวที่สูญเสียน้องสาวไปตลอดกาล
และนี่คือเรื่องราวของนักแสดงผู้เข้าใจถึงความทรมานของการเป็น ‘ผี’
The People : เหตุการณ์อะไรที่ทำให้สนใจศาสตร์การแสดง
ศิรพันธ์ : นุ่นอยากเป็นนักแสดงหมายถึงเป็นแบบสวมบทบาทเป็นตัวละครจริง ๆ ตั้งแต่ตอน ม.ต้น เคยมีโอกาสได้ได้ทํากิจกรรมในวิชาเรียนค่ะ แล้วให้ไปแสดงละครแบบหน้าห้องแต่งชุดพละเล่นกันละ มันไปเจอโมเม้นที่แบบไม่ได้เป็นตัวเองอ่ะ เหมือนคิดเป็นตัวละครแล้วมันสนุกมากไปเจอความมหัศจรรย์ของร่างกายตัวเองในการแบบอยู่อยู่ร้องไห้ มันรู้สึกว่าเราเกิดอะไรขึ้น ทําไมเราทําได้แล้วมันรู้สึกน่าสนใจแล
อ๋อ นี่คืออาชีพนักแสดงแบบนักแสดงจริง ๆ ตอนนั้นภาพที่เห็นคืออยากอยู่บนเวทีก็คือละครเวทีนี่แหละ เป็นแบบจุดเริ่มต้นที่ตัวเองแบบอยากทําอาชีพนี้ แต่ว่านกก็อาจจะเป็นเหมือนเด็กในเจนนั้น ที่บางทีแล้วเราอาจจะไม่ได้เราอาจจะไม่ได้เรียนในสิ่งที่เราแบบชอบมาก นุ่นก็นุ่นก็นุ่นก็เรียนในสิ่งที่แบบเออ มันใช้ได้ในชีวิตจริงอะไรอย่างเงี้ยกว่าที่เส้นของแบบความฝันกับความชอบจะมาบรรจบกันก็ใช้เวลาเหมือนกันค่ะ
เพราะว่ามันเป็นเหมือนค่านิยมบางอย่างของแต่ละยุค แต่ละสมัยอ่ะค่ะ ของถ้าในวัยนู่นก็ถ้าไม่หมอก็วิศวะ แต่ด้วยความที่เราพื้นฐานเราชอบคํานวณด้วย เราไม่ได้แบบถูกบังคับขนาดนั้น แต่ว่าเออถ้าเขารู้สึกว่าเรียนอันนี้แล้วมันมีความมั่นคง แล้วถ้าถามว่าชอบอะไร เราชอบชอบชอบการคํานวณ เราชอบอะไรที่มันดูแบบ
เออ ไม่ไม่ได้เรียบร้อยมากอะค่ะ ก็เลยคิดว่า เออ วิศวะ น่าจะแบบเหมาะกับชีวิตเรามากสุด ซึ่งเรียนแล้วก็สนุกตามที่เราคิดไว้จริงจริงเพียงแต่ว่าไอ้ศาสตร์การแสดงหรืออะไรมาเป็นเหมือนก้อน ความฝันเล็ก ๆ อ่ะ ฝังไว้
The People : ที่บ้านมีคนสนใจเรื่องการแสดงเหมือนคุณด้วยไหม
ศิรพันธ์ : ไม่มีค่ะ คุณพ่อคุณแม่รับราชการอยู่ต่างจังหวัดทั้งคู่เลย เรียกว่าวิถีของครอบครัวมันห่างไกลกันมาก ๆ แล้วไม่ค่อยได้ดูทีวีด้วยตอนเด็ก
The People : พอที่บ้านทราบว่าโอเค ลูกสาวเราชื่นชอบการแสดง ครอบครัวมีความเห็นยังไงบ้าง
ศิรพันธ์ : ตีกับแม่คือตัวอย่างที่บอกว่าเราอาจจะเป็นเหมือนแรกๆอ่ะ เราด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น เราก็รู้สึกว่า เออ นี่ความฝันนะ เราอยากทําเนอะ แล้วก็มันอาจจะไม่ได้มีวิธีในการสื่อสารที่ดีในๆบ้าน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะบอกเขายังไง ขณะนั้นก็จะมีช่วงที่ไม่เข้าใจกันเถียงกัน แต่สุดท้ายเราก็อ่ะ โอเค งั้นเรามาครั้งนี้ก็ได้ ก็อย่างที่บอกอ่ะค่ะว่ามันไม่ได้ถูกพูดถึงเหมือนมันหายผ่านมาแล้วก็ไปอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
The People : พอเข้ามาในวงการบันเทิง ความรู้สึกที่เราเข้ามามันตรงกับที่คุณคิดไหม
ศิรพันธ์ : ตรงไหมหรอ มันจะเป็นสเต็ปนะคะ ตอนแรกอ่ะที่ได้ทํางานอ่ะ เราก็คิดว่าอาชีพเนี้ยมันต้องแบบสนุก คือในมุมเรามันแค่สนุกเหมือนได้เล่นในสิ่งที่เราเป็นตัวละคร แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าข้างล่างอ่ะกว่าจะได้งานมาหนึ่งชิ้น มันผ่านกระบวนการเยอะมาก แล้วกว่าที่เราจะเข้าใจศาสตร์การแสดงอ่ะ ในครั้งแรกเรายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ มาครั้งแรกต้องไปคือถ่ายเพื่อนสนิทกับละครเรื่องแผ่นดินหัวใจพร้อม ๆ กัน เป็นทั้งละครกับภาพยนตร์
วิธีการถ่ายก็ต่างกัน ตัวละครก็ 2 คาแรคเตอร์ เจอกล้องอย่างนี้คืองงไปหมด จะต้องผ่านยังไง นอกต้นยังงั้นยังงี้ คือมีการปูพื้นฐานถูกปรับพื้นฐานบ้างเล็กน้อย แต่ว่ามันมันใหม่มันก็จะเป็นทั้งความตื่นเต้น มีทั้งผู้กํากับมีทั้งแบบผู้ร่วมงาน ซึ่งมันหลากหลายมันก็จะแบบไม่เหมือนกับที่คิด ถ้าอย่างละครอย่างเงี้ย เรื่องแรกคือไปไถนาไปปลูกข้าวแล้วก็แบบเป็นนักแสดงต้องทําได้ทุกอย่างจริง ๆ หรอวะเนี่ย
หรือถ้าแบบเรื่องแรกของหนังไปเล่นเพื่อนสนิท มันก็จะมีความแบบเหมือนแก๊งเพื่อน ๆ กัน อายุใกล้ใกล้กัน มันก็จะมีความสนุก เออ ครั้งแรก ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหมือนกับที่ ตัวเองคิดไว้เนาะ แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ แต่พอทํางานสักพักนึงค่ะ มันถึงจุด ที่เรารู้สึกว่า เห้ย! เราต้องต้องเอาจริงเอาจังอ่ะ แล้วก็ไปเนี่ยแหละค่ะ พอไปไปทั้งเจอจุดที่ตัวเองคิดว่าเราอยากจริงจัง แล้วก็ไปเรียนเพิ่มเราถึงเข้าใจคําว่า การแสดงมันเป็นไง อันเนี้ยคือสนุกเลย สนุกแบบ อ๋อคิดแบบนี้เป็นแบบนี้แล้วมันเลยทําให้เราสนุกทุกทุกครั้งที่เราได้เลือกบทที่เราอยากเล่นแล้วทําการบ้านปู background ตัวละครอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
The People : บทที่อยากเล่นเป็นบทรูปแบบไหน
ศิรพันธ์ : บทที่อยากเล่นมันแล้วแต่ช่วงวัยเนาะ มีช่วงที่เอออยากเล่นมากๆ คือหลังจากภาพยนตร์เรื่องเพื่อนสนิท คือด้วยความที่ภาพยนตร์เขาดีอะ แล้วเราเป็นหนึ่งใน production ที่ดี คนก็เลยแบบพูดถึงเราเป็นเหมือนโบนัสที่คนแบบจําเราได้ แต่ว่าเรื่องต่อไปของนุ่นน่ะ นุ่นน่ะ อยากให้อยากให้คนเชื่อหรือว่า คิดว่าเราเป็นนักแสดงจริงๆ ไม่ได้แบบจับพลัดจับผลูมาเป็นดาราอะไรอย่างเงี้ย เราก็เลยแบบจริงจัง กับ การไปแคสหนังเรื่องเป็นชู้กับผี เรื่องนั้นก็คือแบบ เออ ตอนนั้นก็ไม่ได้เรียนการแสดงมากนะคะ แต่แค่รู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ของการแบบ เอาจริงเอาจัง เวอร์ วังมากตรงนั้นใช้สิ่งที่เพิ่งมาดูทีหลังว่าเขาเรียกว่าเม็ดตอดอ่ะ ตอนนั้นคิดเป็นตัวละครอยู่เป็นตัวละครซึมเศร้ากันเลยทีเดียว แบบไปในเวย์นั้นเลยแต่ก็
เอิ่มใช่มั้ย เป็นมันเป็นภาวะของความ ถ้าถามว่าชอบบทบาทไหนคือเพราะว่าทุกๆวัยของนุ่นน่ะ มันจะมีบทที่เราอยากเล่นอย่างเป็นชู้กับผีเราอยากพิสูจน์ตัวตนมันเลยอยากเลือกบทที่มันไกลตัว แต่ละครั้ง ต้องมักจะเลือกบทที่โน่นไม่นุ่น ใช้คําว่านุ่นไม่เคยผ่านอารมณ์นี้มาก่อน คือในความละเอียดของของคาแรคเตอร์อ่ะค่ะ สมมุติเนาะ เป็นตัวร้ายเป็นตัวร้ายเนี่ย มันไม่ใช่แค่เป็นตัวร้ายอ่ะ ในตัวร้ายมันคือถ้าคิดซะว่าเค้าเป็นคนคนนึงอะคะ เค้าจะมีมิติของความร้าย ไม่เหมือนกัน แต่ที่มาที่ไปของความที่จะมีอารมณ์โกรธเนี่ยก็ไม่เหมือนกัน บางคาแรคเตอร์มันจะเป็น ถูก กดขี่ บาง คาแรคเตอร์ ถูก เอาเปรียบ บาง คาแรคเตอร์ รู้สึก อยากได้ 3 อันนี้ จริงๆ มันคือ คนละ ก้อน อารม ณ ์ นะ แต่ สิ่ง ที่ มัน ออกมา คน จะรู้สึก ว่า อี เนี่ย ร้าย
คือถ้าถามว่า บทอะไรที่มันอยากเล่นคือรู้สึกว่ามันเป็นเส้นที่เราไม่เคยไปมันมีพื้นที่ที่เราแบบเราไม่เคยมาศึกษาคนแบบนี้แล้วมันจะสนุกทุกครั้งเวลาที่เราไปเจอคนที่เราไม่รู้จักแล้วเราแบบทําความรู้จักเขาแล้วเราอยากจะเป็นค่ะ ดังนั้นถ้าถามว่าตอนนี้อยากถ้าช่วงวัยนี้ 40 กว่าอยากเป็นอะไร มันก็คงเป็น บทที่เราไม่เคยผ่าน แล้วก็รู้สึกว่ามันมีมิติในการที่เราไปค้นหาตัวละครค่ะ
The People : แล้วโดยพื้นฐานคุณเป็นคนยังไง
ศิรพันธ์ : เป็นคนขี้เกียจ (หัวเราะ) เป็นคนชอบอยู่เฉย ๆ เป็นคนสโลว์มาก เป็นคนที่ถ้าไม่ยิ้มอ่ะก็คือหน้าแบบไม่รับแขก เป็นคนที่ถ้าว่างปุ๊บก็คือสามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้แบบไม่ต้องทําอะไรไม่อ่านหนังสือด้วย นั่งสามารถนั่งสักที่นึงได้นาน ๆ เป็นคนไม่ไม่ได้แอคทีฟมาก แต่ด้วยหลาย ๆ อย่างที่ที่เราทํางานมันเลยทําให้เราติดนิสัยของความที่เป็นคนแบบทํางานเร็ว พูดจาฉะฉาน ถ้าเอาแบบ background นี่คือสามารถนอนแบบโอเควันนี้วันหยุดสมมติวันอาทิตย์อย่างเงี้ย ถ้าเป็นตัวเองจริง ๆ อ่ะ ซักผ้าตอนเช้าเสร็จปุ๊บคือนุ่นสามารถนอนช่วงบ่ายจนถึงแบบห้า หกโมงแล้วออกไปเดินแบบสวนสาธารณะ เป็นชั่วโมงเดินแบบเดินเฉย ๆ นะ เดินแบบฉันไม่ได้วิ่งเอาเอาเหงื่อนะคือเดินเพื่อชมต้นไม้ ดูใบไม้ คือแบบนี้เลย
The People : เหมือนเป็นวิธีการเยียวยาที่คุณห่างจากความเป็นธรรมชาติ ห่างจากบ้านเกิดด้วยหรือเปล่า
ศิรพันธ์ : ก็อาจจะเป็นไปได้ ต้องชอบการไปเดินสวนสาธารณะมาก อยากจะขอบคุณมากที่ปิดตอน 4 ทุ่ม เพราะว่างานในออฟฟิศนุ่นเลิกประมาณ 2-3 ทุ่มแล้วอะ แต่ว่าคอนโดนุ่นกับสวนสาธารณะไม่ไกล แล้วก็จะเดินชอบชอบเดินยิ่งตอนดึกๆ แล้วชอบเดินเพราะคนน้อย
คิดว่าใช่ค่ะ อาจจะมีผลเพราะว่าน้ำโตต่างจังหวัด แล้วต่างจังหวัดสําหรับนุ่นน่ะเหมือนแบบตอนเช้าอากาศเย็น ๆ แล้วเราตื่นมา เราเห็นภูเขา เราเห็นต้นไม้ แต่อยู่ในกรุงเทพเราแบบเออ มันมีต้นไม้ที่เกาะกลางถนนแหละ แต่ถ้าถามความความ ความเขียวฉ่ำของใบไม้มันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้วอะไรอย่างเงี้ยค่ะ อาจจะโหยหาก็ได้
ถามว่ามีไหม ปรับ แต่สุดท้ายนุ่น เราก็คือสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้การปรับตัวเนาะ ไม่ได้รู้สึกขาดอะไร ถามว่าลดทอนบ้างไหม มันก็แค่ไม่เหมือนเดิม แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเนกาทีฟ ถ้าถามอีกอันนึงคือตัวเองเป็นพวกที่ไม่ชอบมองอะไร ให้มัน negative ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกนะ แต่ทุกครั้งที่เนกาทีฟมันจะมีอีกตัวนึง แบบอยู่ซ้ายขวาแล้วแบบเป็นไรคิดแล้วมันได้อะไรคิดแล้วมันแก้อะไร คือแบบ บางทีเราอาจจะไม่ได้เป็นคนชอบคิด negative มาก เพราะสุดท้ายน้องว่ามันไม่มีประโยชน์ เราชอบมองปัญหาแบบ fact ว่าแบบข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้
ถ้านี่คือปัญหาปัญหาคืออะไร มากกว่า แล้วก็แก้ ถ้าแก้ได้ก็ดี ถ้าแก้ไม่ได้ก็คือแบบเออ ช่างแม่งอะไรอย่างเงี้ย แต่ก็มันในหัวโน้นมันจะมีความเป็นแบบเออคิดบางอย่างเป็น logic นะ แต่อีกอันนึงก็เป็นแบบ emotional ได้ อาจจะเป็นข้อดีที่เราอาจจะไม่ได้มาเรียนการแสดงตั้งแต่ต้น เหมือนเราไปฝึกสกิลบางอย่างมา เราต้องเอามาใช้กับการแสดงนุ่นได้ ไม่ได้บอกทุกคนเป็นแบบนี้นะ นี่แค่ตัวนุ่นเท่านั้นนะคะ
The People : การมารับบทบาทเป็น 'พี่สาว' ในเรื่องเล่าคืนเฝ้าผี และวิธีการรับมือกับความสูญเสียของคุณ หากเปรียบเทียบระหว่างคุณกับตัวละครในเรื่องมีความเหมือนหรือแตกต่างอย่างไร
ศิรพันธ์ : ไม่เหมือนกันอยู่แล้วเนาะ ถ้าถ้าพูดในคาแรคเตอร์ของพี่ดาวในเรื่องอ่ะเออเราไปปูคาแรคเตอร์ตัวละครแบบดาร์คมาก เพิ่งขายผู้กํากับไปแล้วเค้าก็แบบเอาแบบนี้เลยหรอ เพราะว่า ย้อนมาคือทุก ๆ การกระทําของคนสําหรับนุ่นอ่ะ มันมีที่มาที่ไปหมดการที่เราจะสามารถบอกได้ว่าฉันเสียใจอ่ะ แล้วสามารถพูดด้วยคําว่าเสียใจแล้วร้องไห้ได้แปลว่าข้างในแบบเรื่องราวสตอรี่ ข้างหลังมันมันต้องเข้มข้นขนาดไหน นุ่นไม่เชื่อนุ่นไม่เชื่อตัวนั่นเองนะว่าเราสามารถพูดได้โดยที่เราไม่รู้สึก
มันเห็นภาพไม่เคยผ่านมาก่อนอ่ะ เราทําไม่ได้ ดังนั้นย้อนมา ก็คือเดี๋ยวพี่ดาวเนี่ยเราปูคาแรคเตอร์เค้ากับพี่ดาวกับฝนน่ะ มันจะมีความสัมพันธ์ที่แปลก ๆ แต่มันไม่ใช่แค่พี่ดาวกับฝนก็คือน้องสาว แต่มันคือนุ่นสร้างไปถึงบ้านว่าพ่อแม่เป็นแบบไหนเลี้ยงมายังไงแล้วทําไมความสัมพันธ์ระหว่างพี่พี่ดาวถึงกล้าที่จะเอาศพน้องสาวอ่ะเอาไว้ในบ้านคือจริง ๆ มันเป็นประเพณีของคนเหนือเหมือนกันเพียงแต่ว่า มันไม่เหมือนคนอื่นตรงที่วางไว้เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง ดังนั้นมันความเข้มข้นของพี่ดาวก็จะเป็นแบบนึง
ส่วนของนุ่น ศิรพันธ์ เองอ่ะ ถ้าถามว่าถ้าเกิดมีการสูญเสียใส่ใจอยู่แล้ว แต่เราก็ด้วยวัยนี้เรารู้สึกว่าทุกการสูญเสียคนเราเจอกันสูญเสียได้ เสมอมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้วมันต้องเจอ ดังนั้นก็แค่ปล่อยให้เวลาเราสูญเสียแล้วก็ใช้เวลาในการเยียวยา
คือเปลือกสําหรับละครเวทีเรื่องนี้ มันคือการที่ชวนคนมาดูละครเรื่องหนึ่งที่มีทั้งความสนุก ความหลอน การค้นหาสืบสวนสอบสวน มันจะมีมันจะมีความเอ็นเตอร์เทนเมนท์อยู่ในนั้นที่ไม่ใช่แบบ อุ้ย! ตลกแต่มันแบบ เฮ้ย! น่ากลัวเว้ยเกาะแขนคนข้าง ๆ อันนี้คือเปลือกที่เรารู้สึกว่าเราอยากให้คนที่มาดูว่าได้อรรถรส ได้ประสบการณ์ แต่ข้างในลึก ๆ อ่ะ ในตัวของพี่ดาวเองอ่ะ เรารู้สึกว่าการยึดติดอะไรบางอย่าง แล้วไม่ปล่อยไป อ่ะ มันทรมานนะ ยิ่งกว่าผีอีก ผีอ่ะหลอกคนเราอ่ะคิดไปเองว่าผีเนี่ยหลอกเรา แต่จริง ๆ แล้วอ่ะ น่ากลัวที่สุดคือตัวเราอะหลอกตัวเองมันไม่มีใครสามารถแก้ได้ข้อยังไงสมมุตินะ
มีผีโซลูชั่นในการแก้ผี มีหลายอย่างมาก นิมนต์พระเชิญหมอผีทําบุญให้ หรือแม้กระทั่งแบบเอ้ยเอานักวิทยาศาสตร์มาตรวจสิมีคลื่นไฟฟ้าอะไรหรือเปล่ามันมีหลายโซลูชั่นเพื่อจัดการกับผีนะ แต่จัดการตัวเองอ่ะ มันทํายาก มันทํายากมาก ซึ่งต่อให้มีเครื่องมือใด ๆ ก็ตามแต่คนที่จะเป็นคนตัดริบบิ้นแล้วบอกว่าเราจัดการมันได้มันคือตัวเองเรื่องนี้สําหรับนุ่น นุ่นว่าพี่ดาวน่าจะเป็นเป็นกระจกในการสะท้อนว่า ถ้าคุณเจออะไรบางอย่างแล้วคุณยึดติดกับมันน่ะ คนที่ทรมานที่สุดเหมือนโดนผีหลอกอดเวลาคือตัวคุณเองนะ
The People : เชื่อเรื่องโลกหลังความตายไหม
ศิรพันธ์ : เชื่อค่ะ นุ่นเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์นะ แต่นุ่นรู้สึกว่าในมุมมองแค่ตัวนุ่นน่ะ นุ่นว่ามันมีอีกเยอะมากเลยที่เราแบบไม่สามารถเห็นหรือพิสูจน์หรือเอากางได้ตอนเนี้ย มันมีอีกเยอะแยะมากมายและเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่จริงอ่ะ เพราะเรารู้สึกว่ามีบางอย่างที่เรายังไม่เคยเห็นแต่มันก็ไม่ได้บอกได้ว่ามันมีจริงหรือไม่จริง เพราะยังไม่เห็นลึก ๆ อีกอันหนึ่ง คือเรา ก็เชื่อว่ามีมิติแบบนี้อยู่ แต่เราอยู่ในสเตตัสที่เรารู้สึกว่าเรายอมรับการมีการของเขา ซึ่งทุกครั้งที่เล่นพวกนี้มันจะมีนุ่น 2 ร่างอยู่ในตัวเองอ่ะ มันจะมีนุ่นที่แบบวายชิบหาย เราเป็นคนไทยชอบดูหนังผีมาก่อน ตอนเด็กขี้กลัวกลัวผีละครเรื่องบ่วงที่เล่นอ่ะ ตอนเด็กก็เคยดูตอนที่พี่หมูพิมพ์ผกาเล่น โอ้ยกลัวชิบโป่งเลยอ่ะ คือติดภาพ ก็คือกลัวตอนตัวเองเล่นก็กลัวแต่ขณะเดียวกันมันก็ดันมีอีกสมองนึงอีก ความคิดนึงก็คือแบบความเป็นนักแสดงอ่ะค่ะ ทุกครั้งที่ต้องทํางานต้องบอกว่านุ่นอยากถ่าย อารมณ์ของตัวละคร เพราะเรารู้สึกว่าผีก็คือคน
ผีคือคนแล้วก็คือแค่คนที่อยู่ในสถานะอีก สถานะหนึ่งเขามีความโลภ ความรัก ความโกรธ ความหลงเหมือนกัน แม้กระทั่งคิดดูนะว่าเราจริงจัง กับการให้ให้ค่าความรู้สึกเขา
คือเคยฝันว่าตัวเองอ่ะเป็นผี ฝันแบบเป็นตุเป็นตะมากเลยนะฝันว่าแบบตัวเองตายแล้วไปแบบจับใครก็ไม่ได้แล้วก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจว่าอยากกอดพ่อกอดแม่แล้วกอดไม่ได้ในฝันอ่ะร้องไห้แล้วตื่นมาก็ยังร้องไห้แล้ววินาทีนั้นน่ะ เรารู้สึกเลยว่าเค้าน่าสงสารจังเลยอ่ะ มันเหมือนแบบในแอดอะเราเป็นคนน่ะเราคิดอะไรเราสามารถส่งสารสื่อสารพิมพ์แชทจับบอก
หิวรู้สึกเราเราทําได้หมดอะแต่พอเราอยู่ในอีกเวย์นึงอะการจะแค่ไปจับคนที่เรารักมันมันทําไม่ได้มันทรมานมากเลยนะ เหมือนอยู่ ๆ ก็เข้าใจ แล้วเราก็เลยรู้สึกว่าทุกครั้งที่ทํางานแบบนี้เราจะบอกว่า ขอให้เราได้เป็นตัวละครแล้วก็แบบได้สะท้อนความคิดเขา เราอยากให้คนเข้าใจ การเข้าใจคนอื่นด้วยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
คืออันนึงก็กลัวนะ แต่อีกอันนึงคือแบบฉันอยากเป็นเธอ แล้วฉันอยากให้คนเข้าใจว่าเธอกําลังรู้สึกอะไร เธอกําลังคิดอะไร ความที่เธอเป็นผีมาหลอกคนน่ะ จริง ๆ ลึก ๆ มันก็ไม่เคยเล่นเลยนะว่าแบบมึงกลัวกูอยู่นี้นะ แต่ลึก ๆ คือแบบ เกลียดชิบหาย มึงคือคนที่ทําให้กูแค้นอ่ะ จ้องไปเพื่อให้รู้ว่ากูโกรธมึง กูทรมานอ่ะ พอเราเล่นแบบนี้มันคือความทรมานที่เราบอก แต่เผอิญหน้าตาเอฟเฟคเรา มันน่ากลัวคนก็เลยกลัวเหมือนกันค่ะ ถ้าย้อนกลับมาว่าถ้าไม่ใช่ผีอ่ะ อันนี้พูดพูดในเชิงการแสดงเนอะทุกคนอ่ะที่เราจะพูดหรือสื่อสารหรือมองหน้ากันในตัวนุ่นที่ต้องคิดก็คือแบบทุกคนจะมีชั้นของความคิดตัวเอง แล้วก็อยากที่จะสื่อสารออกไปเพียงแต่ว่าข้างในมันมันมีแหละไม่ใช่แค่สักแต่ว่าพูด
The People : เหตุการณ์อะไรทำให้คุณฝันว่าตัวเองกลายเป็นผี
ศิรพันธ์ : ในชีวิตไม่เจอ ไม่ได้ทําอะไรด้วยอยู่ ๆ ก็ฝัน อยู่ ๆ ก็แค่รู้สึกว่ามันเป็นถ้าเป็นภาษาแบบดู Abstract หน่อยคือแบบเหมือนเห็นอะไร เหมือนมีอะไรมาแบบดีดนิ้วแล้วแบบอ๋อ ผี นี่ทรมานน่ะ ความกลัวผีสําหรับนุ่นก็คือก็กลัวเหมือนเดิมนะ แต่เข้าใจมากขึ้นว่าแบบเออเขาทรมานไม่รู้หรอก มันอาจจะเป็นจิตปรุงแต่งในฝันแหละ เพียงแต่ว่ามันทําให้มิติความกลัวของเรามันมันเป็นอีกแบบนึง
The People : กลัวความตายไหม
ศิรพันธ์ : ต้องเจอค่ะ
The People : พร้อมไหม
ศิรพันธ์ : ไม่พร้อม (หัวเราะ) แต่ก็รู้สึกว่ากลัวไปก็เท่านั้น เคยเป็นมั้ย เมื่อก่อนเป็นนะแบบชอบอ่านดวงเป็นไหม เวลาอ่านตวงแล้วเวลาช่วงไหนดี เราจะแบบอาทิตย์นี้ดวงดีเว้ย แล้วเมื่อไหร่เค้าทักมาว่าแบบอาทิตย์นี้เราวางเซ็นสัญญาผิดพลาด โอ้โห ทั้งอาทิตย์แล้วนะต้องอ่านเอกสารแบบ 3 รอบอะ แล้วเราก็รู้สึกแบบมันมีภาวะความวิตกกังวลอ่ะ แล้วทั้งอาทิตย์นั้นน่ะ รู้สึกไม่สบายตัวอดเวลา ทั้ง ๆ ที่เกิดไม่เกิดไม่รู้ แต่มันเหมือนเราอ่ะ กลัวไปแล้วอะ เลยไม่ชอบความกลัวมาก เพราะว่าความกลัวมันทําให้เราไม่สบาย จิตไม่สบายใจไปแบบหลาย ๆ ช่วงเลยอ่ะ แต่ถามว่าชอบมันก็ไม่ชอบ แต่ถามว่าอยากอยู่กับมันนาน ๆ ไหมก็ไม่อยากรู้สึกว่าสุดท้าย ถ้าต้องเจออะ มันก็ต้องเจอมาเลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้าสมมุตินะ เราจะซวยวันศุกร์ ถ้าเรากลัวก่อนตั้งแต่วันจันทร์น่ะ เราจะรู้สึกกลัวจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสศุ กร์ แต่ถ้าเราใช้ชีวิตแบบปกติของเราไป 4 วัน จันทร์อังคาร พุธ พฤหัส เรามีวันดี ๆ 4 วันนะ แล้วแม่งค่อยมาซวยวันศุกร์ทีเดียว พอคิดแบบนี้รู้สึกแบบ เออ ช่างแม่งเว้ย เจอก็เจอเว้ย เออ มันจะได้ใช้ชีวิตไปทําอย่างอื่นได้บ้างอะไรอย่างเงี้ย ไม่ใช่แบบพารานอยด์อยู่กับสิ่งที่เรากลัวอะค่ะ
The People : สมมุติว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต คุณอยากให้ใครมาอยู่ข้าง ๆ ถ้าวันนั้นมาถึง
ศิรพันธ์ : ถ้าวันนั้นมาถึงหรอให้ตอบแบบ abstract จริง ๆ อยากให้ตัวเองอยู่กับตัวเองค่ะ เพราะนุ่นรู้สึกว่า เออ ความความกลัวตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว ไม่กลัวตายมันน่ากลัว เพราะว่าเราจะแบบภาวะความกลัวอ่ะ ใจเราจะเต้นแบบ เต้นแรง เหงื่อจะออก มันจะไม่มีสติ แล้วมันก็จะกลัว แล้วมันก็จะไม่สามารถที่จะทําอะไรออกมาได้ดีอ่ะ
นุ่นเชื่อในเรื่องของพระพุทธศาสนา นุ่นเชื่อในเรื่องของวาระสุดท้าย เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราแบบการเตรียมตัวเองว่าสุดท้ายตายแล้ว คือเราตายคนเดียว ไม่มีใครตายด้วย แต่ถ้าเกิดเรามีใครสักคนนึงที่เรารักและเป็นห่วง มันคือมันคือสิ่งที่มันจะผูกพันและยิ่งทําให้เรากลัวความตาย เพราะสุดท้ายเราต้องเจออะ ถ้าเป็นไปได้อยากจะให้ตัวเองตั้งมั่นอยู่กับตัวเองที่สุด
เพราะว่าสุดท้ายแล้วนุ่นว่า ถ้า ณ โมเม้นนั้น และนุ่นอยู่กับตัวนุ่นเองได้ไม่ห่วงไม่พะวงมันน่าจะเป็นภาวะของความปกติ ที่น่าจะไปด้วยความปกติ ไม่ร้อน ไม่ทุรนทุราย ไม่ห่วง เพราะว่าเราเคยเล่นเป็นผีที่แบบ เออชีวิตการแสดงนั้นก็ดีอย่างนี้อะเนาะ (หัวเราะ) ถ้าเกิดเรากําลังเคยเล่นเป็นผีที่แบบเป็นคน แล้วตอนตายมันโกรธมากอ่ะ เชื่อไหมว่าตอนนู้นเล่นเป็นผีอ่ะ นุ่นเอาก้อนความโกรธภาพความเห็นคนที่ฆ่าเราอ่ะ ก็ร่างกายเรามันมหัศจรรย์มากเลย เวลาต้องรู้สึกว่าแบบฆ่าเราอ่ะมัน
ความโป่งข้างในมันมีอ่ะ มันจะข้างในอากาศมันจะแบบโหวง ใจมันจะเต้นแรง แล้วเราเก็บพลังงานนี้ไว้ แล้วไปอยู่กับมันนาน ๆ น่ะ ไม่สบายตัวสุด ๆ เลยอ่ะ แล้วถ้าเกิดเรากําลังตายด้วยความแบบกลัว เราเล่นมาหลายบทละเป็นแม่ที่ตายแล้วยังหวงลูกอะไรอย่างเงี้ย มันก็จะเป็นก้อนที่แบบลูกเป็นยังไง มันมีความห่วงหาสุดท้ายมันคือความทรมานอีกรูปแบบหนึ่ง โชคอาจจะโชคดีก็ได้นะ ที่เล่นเรื่องผีบ่อยมันเลยมันเลยรู้สึกว่าเภาวะของความเป็นผีที่มันมันไม่สบายอะ มันทรมาน