04 มี.ค. 2568 | 18:45 น.
KEY
POINTS
*** คำเตือน: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ (Spoiler) ของละครเวที ‘เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี’ ***
วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่โรงละครรัชดาลัย ดวงตาของเราถูกแรงดึงดูดลึกลับบังคับให้จ้องมองไปยังโลงศพสีขาวกลางเวที ที่ตั้งตระหง่านรายล้อมด้วยบรรยากาศบ้านไม้อันโดดเดี่ยว กิ่งไม้แห้งไหวเอนเมื่อลมพัดผ่าน เสียงแมลงยามราตรีแว่วดังกังวานในความมืดสลัว... หัวใจของเราเริ่มเต้นเร็วขึ้น มือพยายามควานหาบัตรละครเวที เพื่อให้มั่นใจว่า เรากำลังมาชมการแสดง ไม่ใช่มางานศพของใครบางคน!
‘เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี’ พาเราดำดิ่งลงสู่ห้วงเวลาของมิตรภาพและความลับอันมืดมิดของกลุ่มเพื่อนที่ต้องมาร่วมไว้อาลัยให้กับ ‘ฝน’ หญิงสาวผู้จากไปอย่างไร้คำอธิบาย พวกเขาได้พบกับ ‘ดาว’ พี่สาวผู้มีแววตาลึกลับและท่าทีชวนให้สงสัย ซึ่งเปลี่ยนการมาเยือนธรรมดาให้กลายเป็นค่ำคืนแห่งการเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าสะพรึงกลัว เมื่อเธอเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ถ้าอยากรู้ว่าน้องฉันตายเพราะอะไร? ก็เล่าเรื่องผีให้ฉันฟังก่อนสิ”
และแล้วค่ำคืนแห่งความหวาดกลัวก็เริ่มต้นขึ้น... เรื่องผีแต่ละเรื่องที่พวกเขาหยิบยกมาเล่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวิญญาณในสถานีวิทยุ, ผีในห้องน้ำโรงเรียน หรือวิญญาณหญิงสาวที่สิ้นชีวิตด้วยการทำแท้งอันน่าอนาถ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเล่าชวนสยองขวัญเท่านั้น แต่กลับเป็นเศษชิ้นส่วนของปริศนาที่สะท้อนความจริงอันแสนเจ็บปวด
ละครเวทีเรื่องนี้เป็นพื้นที่ ‘ปล่อยของ’ ของนักแสดงหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ตั้ม วราวุธ’ ผู้สวมบทบาทคู่ทั้ง ‘จ๋อง’ ในเรื่องหลัก และ ‘ดีเจอ้น’ ในเรื่องย่อย การแสดงของเขาสามารถควบคุมลมหายใจของผู้ชมทั้งโรงละครด้วยจังหวะการเล่าที่สมบูรณ์แบบ ทั้งเสียงกระซิบ เสียงตะโกน ช่วงเวลานิ่งเงียบ และการปล่อยมุกตลกซ้อนความหวาดกลัว ทั้งหมดถูกผสมผสานอย่างลงตัวจนทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฟังรายการวิทยุยามดึกจริง ๆ และลืมไปเลยว่ากำลังดูละครอยู่
“ขิมปะ?”
หญิงสาวชื่อ ‘ขิม’ ผู้โผล่มาเพียงแค่เสียงทางโทรศัพท์ แต่กลับทำให้ทั้งโรงละครต้องกลั้นหายใจด้วยความหวาดผวา ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มือของผู้ชมจะกำเก้าอี้แน่น ลุ้นว่าเจ้าของเสียงจะวาร์ปออกมาตัวเป็น ๆ หรือไม่?
เรื่องราวของเธอยิ่งสมจริงมากขึ้นเมื่อเธอเล่าว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่วัด มีพวงหรีดเต็มไปหมด ในจังหวะนั้นเอง กลิ่นดอกไม้หอมบางเบาโชยเข้ามาในโรงละคร ทำเอาผู้ชมหลายคนต้องสะกิดถามคนข้าง ๆ ว่า “ได้กลิ่นเหมือนกันไหม?” เพราะต่างก็กลัวว่าตนเองจะเป็นคนเดียวที่ได้กลิ่นประหลาด เป็นช่วงเวลาที่เส้นแบ่งระหว่างการแสดงและความเป็นจริงเลือนรางลงอย่างน่าอัศจรรย์
เรื่องผีในห้องน้ำที่ ‘ปีโป้ ณัชพัณณ์’ นำแสดง ก็สะกดผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะในช่วงที่ม่านเปิดเผยให้เห็นศาลที่ตั้งอยู่ในห้องน้ำ บรรยากาศหม่นหมองที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแสงไฟสลัวและเสียงน้ำหยดติ๋ง ๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในห้องน้ำร้างนั้นด้วย
เรื่องผีเรื่องย่อยทั้งสองเรื่อง มีจุดเด่นที่การต้อนคนดูให้จนมุมในตอนจบ เรื่องแรก แม้จะไม่เห็นผีในฉากสุดท้าย แต่การปล่อยให้คนดูจินตนาการไปเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับดีเจอ้นและเก้าอี้ที่หมุนวนอย่างแรง ได้เรียกเสียงกรี้ดและทำให้คนดูหลายคนถึงกับต้องเอามือปิดตา ส่วนเรื่องที่สอง ปิดด้วยท่าไม้ตายของคอนเทนต์ผี นั่งคือศพที่ร่วงลงมาจากด้านบนในจังหวะที่คนดูคาดไม่ถึง แม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่เชื่อว่าหลายคนคงจะผวาไปหลายคืน และอดไม่ได้ที่จะมองสำรวจไปด้านบนบ่อย ๆ ด้วยหวั่นว่าจะมีอะไรร่วงลงมาเหมือนในละครเวที
อีกเทคนิกที่ยังคงถูกนำมาใช้ในเวอร์ชันนี้คือการเล่นกับประสาทสัมผัสคนดูผ่านแสงจากไฟฉาย สารภาพว่าทุกครั้งที่ตัวละครฉายไฟมายังผู้ชม หัวใจของเราแทบหยุดเต้น มือเปียกชื้นด้วยเหงื่อ ภาวนาขออย่าให้มีวิญญาณใดปรากฏกายท่ามกลางความมืดในโรงละครเลย
เบื้องหลังปริศนาการจากไปของฝนเปิดเผยออกมาอย่างช้า ๆ ในเรื่องเล่าเรื่องที่สาม... หญิงสาวที่เสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง ก่อนเรื่องราวของรักสามเส้าอันซับซ้อนระหว่างฝน เอก และแทน จะถูกคลี่คลายด้วยความเจ็บปวดที่แสนสาหัส
ฝน เลือกที่จะคบกับ ‘เอก’ (ฟิล์ม ธนภัทร) ชายหนุ่มรูปงามที่ดูเพียบพร้อมในทุกด้าน ทั้งฐานะ หน้าตา และอนาคตอันสดใส แต่แล้วในช่วงเวลาหนึ่งที่หัวใจพลั้งเผลอ เธอกลับหวนคืนสู่อ้อมกอดของ ‘แทน’ (อัค อัครัฐ) คนรักเก่าผู้เข้าใจเธอดีกว่าใคร จนกระทั่งความสัมพันธ์ลับ ๆ นำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่คาดฝัน
เมื่อความจริงถูกเปิดเผย เอกผู้ซึ่งเคยเป็นเหมือน ‘เจ้าชายในฝัน’ กลับแปรเปลี่ยนเป็น ‘ปีศาจร้าย’ ที่ถอดหน้ากากแห่งความสมบูรณ์แบบออก บีบบังคับให้ฝนไปทำแท้ง โดยไม่สนใจความรู้สึกและชีวิตของเธอแม้แต่น้อย การตัดสินใจนี้นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อชีวิตของฝนต้องดับลงบนเตียงทำแท้งด้วยความผิดพลาดทางการแพทย์
ความน่าสะพรึงกลัวที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่ความตายของฝน แต่เป็นการที่เอก ชายหนุ่มผู้ถูกห้อมล้อมด้วยความนิยมชมชอบ เลือกที่จะปกปิดความจริงทั้งหมด แทนที่จะเผชิญหน้าและรับผิดชอบ เขาหลอกลวงทุกคนอย่างแยบยล ทั้งยังกล้าเดินเข้ามาเคารพศพและแสดงความเสียใจราวกับตนเองคือผู้สูญเสีย
‘นุ่น’ ศิรพันธ์ ในบทบาทของ ‘ดาว’ พี่สาวของฝน ที่แว่บแรกเราแอบคิดว่าคาแรกเตอร์คล้าย ‘ป้าแม่บ้าน’ ในหนังเรื่อง ‘เปนชู้กับผี’ ได้ปล่อยพลังการแสดงออกมาอย่างเต็มที่ในช่วงท้ายของเรื่อง โดยเฉพาะในฉากที่เธอถูกวิญญาณน้องสาวเข้าสิงร่าง มือที่บิดเกร็งและงอด้วยความเจ็บปวดราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา (สื่อถึงร่างของฝนที่ถูกเผาเพื่ออำพรางความจริง) ความเศร้าโศก ความแค้น และความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อน้องสาวสะท้อนออกมาผ่านแววตาและทุกอณูของร่างกาย ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความปวดร้าวในหัวใจได้อย่างแท้จริง
จุดพลิกผันที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดของละครเวทีเรื่องนี้คือการเปิดเผยว่า ‘เอก’ ชายหนุ่มรูปงามที่ดูเพียบพร้อมดั่งพระเอกละครเกาหลี กลับเป็นตัวร้ายที่แท้จริงของเรื่อง! จากคนที่ฝนเลือกเพราะมองเห็นความมั่นคงและอนาคตอันสดใส กลับกลายเป็นผู้ที่พรากชีวิตเธอไปด้วยความเห็นแก่ตัว
ละครได้ฉายภาพบทเรียนอันเจ็บปวดที่ว่า อย่าตัดสินคนจากภาพลักษณ์ภายนอกที่เห็น เพราะคนที่ดูเพียบพร้อมที่สุดอาจซ่อนด้านมืดที่น่าสยดสยองที่สุดไว้เบื้องหลัง ในขณะที่คนธรรมดาที่มีข้อบกพร่องอย่าง ‘แทน’ อาจมีความจริงใจและพร้อมที่จะแก้ไขความผิดพลาดมากกว่า
บทสุดท้ายของเรื่องที่วิญญาณของฝนกลับมาเอาชีวิตเอก ได้สะท้อนแนวคิดเรื่อง ‘กรรม’ อย่างชัดเจน เป็นการเตือนใจว่า แม้จะสามารถหลบหนีกฎหมายของมนุษย์ไปได้ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นการลงทัณฑ์จากกฎแห่งจักรวาลได้ ผีในเรื่องจึงไม่ใช่เพียงตัวละครที่มาหลอกให้กลัว แต่เป็นตัวแทนของความยุติธรรมที่มาทวงคืนดุลยภาพให้แก่โลก
ในโลกที่ภาพลักษณ์และความเพียบพร้อมภายนอกมีความสำคัญมากเกินไป ‘เรื่องเล่าคืนเฝ้าผี’ เป็นเหมือนคำเตือนให้เราระมัดระวังในการตัดสินและเลือกคนเข้ามาในชีวิต เพราะบางครั้ง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดอาจไม่ใช่วิญญาณที่มองไม่เห็น แต่เป็นปีศาจที่ซ่อนอยู่ในร่างของคนที่ดูเพียบพร้อมที่สุดต่างหาก
ละครเวทีเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ‘บอย’ ถกลเกียรติ วีรวรรณ โดยมี ‘อ้า’ สันติ ต่อวิวรรธน์ ทำหน้าที่กำกับการแสดง ร่วมด้วยทีมนักแสดงมากฝีมืออย่าง ฟิล์ม ธนภัทร, นุ่น ศิรพันธ์, อัค อัครัฐ, ปีโป้ ณัชพัณณ์, ตั้ม วราวุธ, จ๊ะจ๋า แดนดาว, เจฟ ญาณกวี และมีน อาลามินา
การแสดงเปิดม่านระหว่างวันที่ 6 - 23 มีนาคม 2568 ณ เมืองไทยรัชดาลัย เธียเตอร์
เรื่อง: พาฝัน ศรีเริงหล้า