เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

บทสัมภาษณ์ ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ หรือในฉายา ‘The Queen’ แชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105-115 ปอนด์)

 

ในตอนนั้นถ้าไม่มีผู้หญิงชก

หนูก็ขอชกกับผู้ชายก็ได้ เพราะหนูอยากชก

 

มันอาจจะเป็นเช่นนั้นมาตลอดเมื่อนึกถึงกีฬาที่จะต้องเจ็บตัว โดยเฉพาะกับ ‘มวย’ ว่าเป็นขอบเขตอาณาบริเวณที่เหมาะสมกับเพศชายมากกว่า จนในยุคสมัยหนึ่งมันถูกจดจำในฐานะ ‘กีฬาของผู้ชาย’ ในเชิงกายภาพเพศชายย่อมมีข้อได้เปรียบกว่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าสังเวียนจะถูกจำกัดไว้ให้กับนักมวยชายเสมอไป เพราะหลาย ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะกีฬาใดก็ตาม ‘ผู้หญิง’ ก็ล้วนเคยฉายแววความสามารถอย่างโดดเด่นจนทำให้ใครหลายคนลืมกรอบความคิดและภาพจำแบบเดิม ๆ ไปอย่างสนิท

ในประเทศไทยเองก็มีนักกีฬาหญิงมากฝีมือที่โดดเด่นนับไม่ถ้วน แถมยังคว้าชัยชนะอยู่ในแทบทุกครั้งไป รวมไปถึงบนสังเวียนสัญชาติไทยของเราเองด้วยที่เต็มไปด้วยนักชกมากฝีมือ และหากพูดถึงในยุคสมัยนี้ หนึ่งในนามที่เราไม่เอ่ยถึงเป็นไม่ได้ก็คงหนีไม่พ้น ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ หรือในฉายา ‘The Queen’ ที่ปัจจุบันครองแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105-115 ปอนด์)

กว่าเธอจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านการฝึกซ้อมและการชกบนสังเวียนมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เธอต้องชกกับคู่ชกที่เป็น ‘ผู้ชาย’ เพราะยากจะหาคู่ชกในเพศเดียวกันได้ จนถึงขั้นที่ว่าในบางช่วงเธอต้องไปสลับไปชกในมวยสากลทีมชาติเพราะไม่สามารถหาคู่ชกได้ เมื่อภายหลังมีกฎพรบ.กีฬามวยที่ห้ามไม่ให้นักมวยหญิงขึ้นชกกับนักมวยชาย

ในบทสัมภาษณ์นี้  The People ได้มีโอกสพูดคุยกับ ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ ถึงเรื่องราวชีวิต แนวคิด และประสบการณ์ต่าง ๆ ของเธอตั้งแต่วันที่ขอพ่อและแม่ชกมวย มาจนถึงวันที่ประจัญหน้าแชมป์มากประสบการณ์จนสามารถมีเข็มขัดพาดอยู่บนบ่าได้

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

คงจะไฟท์เดียวเลิก

อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่เดือดดาลรอบข้างสนาม อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นพร้อมเสียงโห่ร้องของผู้ชม หรืออาจเป็นเพราะหยาดเหงื่อของนักสู้ที่กัดฟันชกบนสังเวียน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีโอกาสไปดูน้าชายขึ้นชก ความรู้สึกในวันนั้นก็ได้บันดาลให้ ‘นิลดา มีคุณ’ หรือ ‘นิล’ ในตอนที่มีอายุ 6 ขวบที่เติบโตขึ้นที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรี พลันรู้สึกว่า ‘การชกมวย’ เป็นกีฬาที่น่าเย้ายวนยิ่ง

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนักที่พ่อและแม่จะให้คำตอบว่า ‘ไม่’ เมื่อเธอ พร้อมกับพี่ชาย ลองขอพ่อและแม่ว่าอยากจะลองซ้อมมวยดู เพราะท่ามกลางกีฬานานาประเภท การชกมวยถือเป็นทางเลือกที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อ ‘ลูกสาว’ มาเป็นคนขอด้วยตัวของเธอเอง ในวันที่กีฬาประเภทนี้มักถูกจดจำในฐานะกีฬาของผู้ชายเป็นหลัก

 

แต่พอขอประมาณครั้งที่สามพวกท่านก็เหมือนใจอ่อนค่ะ

ให้เราลองซ้อมดู เผื่อว่าลองแล้วสักไฟต์น่าจะไม่ชกอีก

 

เรียกได้ว่าเมื่ออยาก ก็ต้องลองให้หายอยาก คุณพ่อของเธอจึงไปหากระสอบทรายก่อนจะใส่ดินเข้าไปเพื่อให้เป็นคู่ซ้อมแรกของเธอ ไม่นานหลังจากนั้น ณ งานวัดแถวบ้านก็ได้มีกิจกรรม ‘การเปรียบมวย’ ที่จะเป็นการเปรียบคู่ชักกันข้างเวทีก่อนที่จะกลับมาชกกันในเดือนถัดไป หรือบางกรณีก็อาจเปรียบกันช่วงเช้าชกกันในช่วงเย็นในทันที โดยที่นิล — ที่ขึ้นชกในนาม ‘เพชรสีนิล’ — และพี่ชายก็ได้เดินทางไปเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ในตอนนั้นเธออายุย่างเข้าเจ็ดขวบและมีน้ำหนักเพียง 20 กิโลกรัม โดยคู่ชกของเธอน้ำหนักมากกว่าเธอสองกิโลกรัม

 

ไม่มีผู้หญิงชกด้วย ก็เลยบอกคุณพ่อว่า

ถ้าไม่มีผู้หญิงก็ไม่เป็นอะไร ลองชกกับผู้ชายก็ได้

 

การซ้อมเริ่มขึ้นที่บ้านโดยมีคุณพ่อเป็นผู้ฝึกซ้อม แน่นอนเมื่อลูกสาวมีปณิธานอันแรงกล้า การสนับสนุนคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อสักคนจะทำได้ นวมสองคู่และกระสอบทรายจึงเป็นสถานที่แห่งการฝึกซ้อมที่เต็มไป ไม่ใช่ความเหนื่อย แต่เป็นความสนุกสนาน จนกระทั่งถึงไฟท์แรกในชีวิตของพวกเขาทั้งสอง

ปรากฎว่าหนูกับพี่ชายแพ้ทั้งคู่เลยค่ะ แต่ก็ได้ค่าตัวมา 300 บาท ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ชกมาตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ

ทั้งได้สนุกและได้สตางค์ อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่นิลจะรู้สึกตกหลุมรักกีฬาชกมวยขึ้นมาทันใด แม้จะเหนื่อย เจ็บตัว และพ่ายแพ้ในครั้งแรกก็ตามที ดูเหมือนว่าทุกอย่างอาจไม่เป็นเหมือนที่คุณพ่อและคุณแม่คิด — ชกไฟท์เดียวแล้วเลิก — ตรงกันข้าม มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตที่จะก่อร่างสร้างนักมวยนามว่า ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ ขึ้นมาให้สังเวียนมวยไทยได้รู้จัก 

 

ตั้งแต่ตอนนั้นก็รักการชกมวยเลยค่ะ

ก็เลยต่อยอีก…

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

‘เพชรจีจ้า’ นักมวยหญิงผู้ข้ามชกนักมวยชาย

เมื่อมาถึงไฟต์ที่สองเธอก็ได้ชกกับผู้หญิงแล้ว แถมแทบจะทุกไฟท์หลังจากนั้น ‘เพชรจีจ้า’ ก็ชนะน็อกมาโดยตลอดกว่าสิบไฟท์ จนพ่อของเธอตัดสินใจว่าจะยกระดับความจริงจังขึ้นโดยการพาเธอไปเข้าค่ายมวยที่พัทยา แม้ทางค่ายจะไม่ได้เน้นมวยรุ่นเด็กมากนัก แต่เธอก็ได้เดินหน้าขึ้นชกเรื่อยมากว่า 20 ไฟท์ 

 

แต่หลังจากนั้นหนูก็ไม่มีผู้หญิงให้ชกด้วยแล้ว — เพราะเขาไม่อยากชกด้วย — ก็เลยต้องขึ้นชกกับนักมวยชาย

 

ในยุคสมัยนี้ การชกมวยถือเป็นกีฬาที่เปิดรับอย่างกว้างขวางและไม่เกี่ยงเพศ แต่หากย้อนกลับไปเมื่อก่อน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากีฬาแขนงนี้มักถูกจดจำในฐานะ ‘กีฬาของผู้ชาย’ เสียมากกว่า จึงไม่แปลกที่จะมีจำนวนนักมวยหญิงน้อยกว่า ผสานเข้ากับชัยชนะที่คว้ามาต่อเนื่อง ทำให้การหาคู่ชกผู้หญิงที่มีฝีมือเหมาะสมกับเธอเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อยังอยากชกอยู่ หากฝ่ายตรงข้ามดันเป็นเพศตรงข้ามด้วย ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร เธอคิดเช่นนั้น

อันเป็นสาเหตุให้เพชรจีจ้าต้องขึ้นชกกับผู้ชายตั้งแต่อายุ 9 ขวบไปจนถึงประมาณอายุ 12 ปี เธอได้เดินสายไปชกนานาจังหวะทั่วประเทศ บ้างอาจคิดว่าเธอจะรู้สึกเสียเปรียบในเชิงกายภาพบ้างไหมเมื่อชกกับผู้ชาย แต่ก็ตอบว่าไม่ เพราะตลอดช่วงเวลานั้นเพชรจีจ้าเองก็ซ้อมหนักมาโดยตลอด อีกทั้งยังซ้อมกับนักมวยชายเป็นหลัก ซ้อมแบบให้ 2 คนไปจนถึง 5 คนรุมชกเสียด้วยซ้ำ จึงทำให้เธอมีพลกำลังที่ไม่ได้เสียเปรียบไปกว่าคู่ต่อสู้ที่เป็นเพศชายเลยแม้แต่น้อย ทำให้เธอเดินหน้าต่อยและสามารถคว้าชัยเรื่อยมา ในขณะนั้นก็ได้ไปต่อยออกทีวีในศึกอัศวินดำอีกด้วย

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

ว่าด้วยชื่อ ‘เพชรจีจ้า’ เดิมเธออาจจะเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เพชรสีนิล’ ก่อนที่ถัดมาจะเป็น ‘เพชรชีต้า’ แต่เมื่ออายุ 11 ปีและได้เข้ามาในกรุงเทพมหานครก็เป็นช่วงเดียวกับที่ ‘จีจ้า-ญาณิน วิสมิตะนันทน์’ นักแสดงหญิงผู้เป็นดาวบู๊ไทยจากภาพยนตร์เรื่อง ช็อคโกแลต (2551) ในยุคสมัยนั้นพอดิบพอดี

“ที่กางเกงมวยของหนูปักชื่อเอาไว้ว่า ‘เพชรชีต้า’ ในระหว่างชกหรือตอนชกเสร็จ คนเขาก็ไม่ได้เรียกเพชรชีต้า แต่ไปเรียก ‘เพชรจีจ้า’ ในไฟท์ต่อไปหนูก็เลยเปลี่ยนเลยค่ะ ก็เปลี่ยนไปเรียกตามที่เซียนมวยเขาเรียกค่ะ”

เมื่อถูกถามว่าหากรวมทั้งหมดแล้ว ชกกับนักมวยชายมาทั้งหมดกี่ครั้ง “140 กว่าครั้ง” คือคำตอบ

 

ไร้คู่ชกไม่ไร้หวัง

ทว่าเมื่ออายุได้ 12 ปี ก็มีกฎพรบ.กีฬามวยที่ห้ามไม่ให้นักมวยหญิงขึ้นชกกับนักมวยชาย เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ แม้ว่าคนส่วนมากอาจจะไม่กังวลเรื่องนี้กับเธอมากนัก แต่เมื่อนึกถึงคู่อื่นด้วยแล้ว การกันไว้ก็อาจจะดีกว่าการแก้ไขในภายหลัง อันเป็นเหตุให้เพชรจีจ้าต้องเลิกชกกับคู่ชกผู้ชายและต้องพักชกไปกว่าสองปี เหตุเพราะไม่มีคู่ชก

 

ช่วงหนึ่งหนูก็อยากเลิก เพราะถ้าเกิดอยู่อย่างนี้

มวยผู้หญิงก็คงไม่มีชก แม้แต่เวทีหลักก็ไม่มี

 

ภาวะสุญญากาศทำนองนี้เกือบจะผลักให้เธอเกือบจะมุ่งไขว่คว้าอีกความชอบของเธอ — ฟุตบอล — แต่เมื่อผ่านไปสองปี อยู่ดี ๆ ก็ดันมีนักมวยหญิงเป็นคู่ชกเข้ามาจึงทำให้ทั้งตัวเธอและความหวังหวนคืนกลับสู่สังเวียนอีกครั้ง และทำให้เธอได้ชกต่อกว่าสิบไฟท์ แต่หลังจากนั้นเธอก็เบนเข็มไปชกในมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติตอนมีอายุได้ 16 ปี ในช่วงเวลานั้นเธอก็ได้ไปเก็บตัวมวยสากลและได้มีโอกาสซ้อมกับทีมชาติชุดเอ แต่แม้ว่าเธอจะผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก มวยไทยกับมวยสากลก็มีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ทำให้เธอก็ต้องปรับตัวมากเป็นพิเศษ

 

เปลี่ยนไปเยอะค่ะ ทั้งพื้นฐานการชก การออกหมัด การมองคู่ต่อสู้ เราต้องมีสมาธิตลอดเวลาเพราะมวยสากลมันเร็วมาก แล้วเหนื่อยกว่าเยอะ

 

นิลเล่าต่อว่าในช่วงแรกนั้นแทบจะสู้ใครไม่ได้เลย แต่อาศัยที่ว่าซ้อมหนักและจดจำเทคนิคจากรุ่นพี่และสิ่งที่โค้ชสอนเป็นเวลากว่า 6 ปีจนทำให้เธอสามารถสู้ได้กับทุกคน จนทำให้เธอสามารถไปแข่งในทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ไปจนถึงการชิงแชมป์เอเชีย รุ่นเยาวชน ก่อนที่เธอจะสามารถคว้าเหรียญเงินมาครองได้สำเร็จ และได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกและคว้าเหรียญเงินในลำดับต่อมา ต่อมาอีกเธอก็ได้ไปชกในทัวร์นาเมนต์จนได้เหรียญทองมาอีกหลายแมทช์ติดต่อกัน

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

พอขยับมาช่วงที่เธอได้ขยับจากเยาวชนมาเป็นประชาชน ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดพอดิบพอดี จึงทำให้เธอไม่ได้เดินทางไปชกที่ต่างประเทศ ก่อนที่จะมาถึงรายการสุดท้ายในซีเกมส์ 2021 ที่จัดขึ้นนที่ประเทศเวียดนามที่ทำให้เธอได้คว้าเหรียญทองแดงกลับบ้านมา

ในช่วงนั้น รายการ ONE Lumpinee ก็เข้ามาในไทย เลยคิดว่าจะกลับมาชก (มวยไทย) ดีไหม เพราะในตอนนั้น พี่แสตมป์ (แสตมป์ แฟร์เท็กซ์) ก็กำลังชกอยู่พอดี หนูก็ดูพี่เขาและติดตามว่ามวยไทยหญิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพราะหนูก็กลับไปชกมวยไทยอยู่แล้ว

นิลยังคงมีฝันในมวยสากลอยู่ — ซึ่งก็คือการไปแข่งโอลิมปิก — แต่เธอก็คิดว่าในรุ่นราวคราวเดียวกันก็มีอยู่หลายคนที่มีฝีมือ เธอจึงตัดสินใจที่จะลาออกทีมชาติ และมาขึ้นชกในเวที ONE Lumpinee อันเป็นจุดเริ่มต้นในเสียงระฆังยกต่อไปบนสังเวียนอาชีพของเธอ

 

หวนคืนเพื่อเป็น ‘The Queen’

ในช่วงไฟท์แรกหนูหาคู่ชกยากมากเลยนะคะ 15 คนนี่ไม่มีใครกล้าชกกับหนูเลย ตอนนั้นหนูก็คิดว่า หนูหยุดไปนานขนาดนี้ ตั้ง 5-6 ปี ทำไมยังไม่มีใครกล้าชกกับหนูอีก

แต่แล้วในเดือนมีนาคม 2566 ไฟท์แรกของเพชรจีจ้าในสังเวียน ONE Lumpinee ก็มาถึง ในไฟท์ที่เป็นการชกกันระหว่าง ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ กับ ‘ฟานี ปยอมวี’ (Fani Peloumpi) ที่ประเทศกรีซ โดยเธอได้เล่าว่าถือเป็นการชกที่ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเป็นเวทีแรกที่รองรับหญิง อีกทั้งผู้เข้าชมก็แน่นสนาม จนกระทั่งเธอสามารถคว้าชัยชนะน็อกในยกที่สอง เมื่อผ่านจากการกครั้งนี้ไป เพชรจีจ้าก็มีเวลาพักผ่อนราวหนึ่งสัปดาห์ก็มีรายการต่อในทันที และในการแข่งขันไฟท์ที่สองเธอก็สามารถชนะน็อกได้อีก จนทำให้เธอคว้าทั้งโบนัสสามแสนห้าหมื่นบาท และได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับจาก ONE (ใหญ่) อีกด้วย

ไฟท์แรกที่เข้า ONE ใหญ่ก็ซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีก ซ้อมเสร็จแทบจะคลานเข้าห้อง เหนื่อยมาก เพราะว่าเราแพ้ไม่ได้ 

 

เข้า ONE ใหญ่แล้ว เราแพ้ไม่ได้

 

ไฟท์แรกในสังเวียนใหญ่ (ไฟท์ที่สามในสังเวียน ONE) ของเธอภายหลังจากซ้อมหนักจนร่างจวนสลาย เพชรจีจ้าได้เผชิญหน้ากับ ‘ลารา เฟอร์นานเดซ’ (Lara Fernandez) นักมวยสัญชาติสเปน และในการแข่งขันเธอก็สามารถเอาชัยไปด้วยการชนะน็อคในยกที่หนึ่งก่อนที่จะได้โบนัสไปกว่าหนึ่งล้านแปดแสนบาท ภายหลังจากไฟท์นั้นเธอก็ได้ชกต่อ และก็สามารถชนะน็อกอีกเช่นเคย

 

หนูต่อย 4 ไฟท์ก็จะชนะน็อกทั้งหมด

ยังไม่เคยครบยกเลยค่ะ

 

ในช่วงที่เธอกลับมาชกมวยไทยนี้เอง เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม ก็ได้รับฉายาว่า ‘The Queen’ จนกลายเป็นวลีที่ว่า “The Queen is Back” ซึ่งก็เปรียบเปรยไปถึงการกลับมาชกและคว้าชัยชนะอย่างสง่างามของเธอเอง

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

คิกบ็อกซิ่งครั้งแรกกับเข็มขัดเส้นแรก

และภายหลังประกาศศักดาความยิ่งใหญ่จากฟอร์มทั้งสี่ยกของเธอ เพชรจีจ้าก็ได้มีโอกาสชิง ‘แชมป์เฉพาะกาล’ แต่ในในคราวนี้จะไม่ได้เป็นการชกด้วยกติกามวยไทยเหมือนสี่ครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นจะเป็นการชกด้วยกติกา ‘คิกบ็อกซิ่ง’ (Kickboxing) ซึ่งจะแตกต่างออกไปจากมวนไทยคือไม่สามารถใช้ศอกหรือตีเข่าได้ แน่นอนว่านี่เป็นกติกาที่เธอจะไม่ถนัดนัก เพราะ ‘ศอก’ ถือเป็นอาวุธถนัดของเธอ แต่เพชรจีจ้าก็มองว่าเป็นการที่จะได้ลองอะไรใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม

 

ทว่าคู่ชกของเธอในครั้งนี้มีนามว่า ‘อนิสสา เม็กเซน’ (Anissa Meksen) นักชกลูกครึ่งฝรั่งเศส-อัลจีเรีย เพชรจีจ้าเล่าว่าในช่วงที่เตรียมตัวกดดันไม่น้อย เพราะเม็กเซนถือเป็นนักมวยมากประสบการณ์เทียบกับเธอที่จะขึ้นสังเวียนด้วยกติกานี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งเม็กเซนก็ยังไม่เคยแพ้ใครอีกด้วย

หนูดูคลิป เขาต่อยหนัก ต่อยนับทุกคน เขาเก่งมาก แต่หนูก็ฝึกซ้อมให้ดีที่สุด ถึงผลจะเป็นอย่างไร ถ้าฝึกซ้อมดีแล้ว พยายามแล้ว ถ้าแพ้ก็คงไม่เป็นอะไร

ในการชกครั้งนั้น เพชรจีจ้าได้บรรยายความรู้สึกเอาไว้ว่า

ยกแรกก็สูสีค่ะ เพราะเราก็ชกดูเชิงกันก่อน เขาก็ดูจังหวะหนู หนูก็ดูจังหวะเขา พอยกสองเริ่มก็ยังสูสีอยู่ ในยกสามหนูก็รู้สึกว่าเริ่มได้เปรียบอาวุธเขามันก็สูสี แต่หนูรู้สึกว่าหนูได้เปรียบเขา พอยกที่สี่ หนูซ้อมมาดี มีแรงเยอะ หนูก็ใส่เข้าไปอีก จากที่คิดว่าเป็นเกมที่ยากมาก ในตอนชกมันกลับกลายเป็นไม่ยากเหมือนที่คิดไว้ มันเหมือนง่ายไปหมด อาจเป็นเพราะเราคาดหวังว่ามันจะยาก แต่มันก็ไม่ได้ยากเหมือนที่คิด

แล้วเธอก็คว้าชัยชนะในการชกครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ชกครบทั้งห้ายก 

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

ภายหลังจากไฟท์นั้นราวสามเดือนถัดมา เพชรจีจ้าก็ได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับ ‘แชมป์ตัวจริง’ ในตอนนั้น อย่าง ‘เจเน็ต ท็อดด์’ (Janet Todd) และแม้จะคว้าชัยชนะไปในครั้งก่อนหน้าได้ แต่ในการชกครั้งนี้ ความกดดันอันหนักอึ้งก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งความกดดันในตัวเองที่อยากจะคว้าแชมป์ให้ได้ และความกดดันที่จะต้องเผชิญหน้ากับนักมวยมากฝีมือ

ไฟท์นี้มีความยากเพราะเขาก็มากประสบการณ์ เป็นถึงระดับแชมป์ เก่งมาก แต่หนูเองก็ต้องวางแผนมาเหมือนกันว่าในแต่ละยกจะต้องชกอย่างไร ในยกหนึ่งก็ดูเชิงกันเหมือนเดิมค่ะ ยกสองและยกที่สามก็ยังสูสีกันอยู่ หมายถึงว่าคนหนึ่งออกอาวุธ อีกคนก็ตอบโต้ แต่พอมายกที่สี่ หนูรู้สึกว่าหนูเริ่มได้เปรียบเขา แล้วพอมาถึงยกที่ห้าก็มีจังหวะที่เขาเตะหลุด หนูเลยดึงแล้วก็เตะกับออกหมัดเข้าไปในจังหวะนั้น เขาก็เลยร่วงลงไป แต่เขาก็ลุกขึ้นมานะคะ จนท้ายที่สุด พอหมดยก หนูก็เป็นฝ่ายชนะคะแนน

จึงทำให้เพชรจีจ้าได้คว้าแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105-115 ปอนด์) ในที่สุด

 

 

นอกจากนั้น เร็ว ๆ นี้ ในวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคมนี้ ในศึก ONE 172 ที่จัดขึ้นที่ จากสังเวียน ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา ประเทศญี่ปุ่น ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ จะต้องป้องกันเข็มขัดเป็นครั้งแรก ‘คานะ โมริโมโตะ’ นักมวยคิกบ็อกซิ่งสัญชาติญี่ปุ่น ที่จะกลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญอีกครั้งบนเส้นทางอาชีพการเป็นนักมวยของเธอ

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง

 

สังเวียนชีวิตและแนวคิดของ ‘นิล’

 

ครอบครัวค่ะ ครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุด

 

คือคำตอบของนิลต่อคำถามถึงกำลังใจที่สำคัญที่สุดตลอดเส้นทางของเธอ เธอเล่าต่อถึงในตอนที่ต้องจากบ้านในตอนที่อายุ 16 ปี เพื่อการชกมวย เพราะในตอนที่เธอจากบ้านไปนั้น นอกจากการฝึกซ้อมและการทำหน้าที่บนสังเวียนเพื่อชัยชนะ สิ่งอื่นที่เธอคิดถึงก็มีเพียง ‘ครอบครัว’ ด้วยความเชื่อเช่นนั้น มันจึงทำให้เธออยากจะสู้และทำให้ดีที่สุดเพื่อครอบครัว

ช่วงที่เหนื่อยหรือท้อ หนูก็จะบอกตัวเองว่าช่วงนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่วันหน้าเราจะไม่เหนื่อยอีกแล้ว หมายถึงว่าหนูจะพยายามเก็บเงินเพื่อที่… หนูคิดว่า 27-28 หนูก็จะเลิกแล้ว

ท้ายที่สุดเราได้พูดคุยกันถึงผู้หญิงกับกีฬามวย เธอก็ตอบว่า แม้มวยจะถูกมองว่าเป็นกีฬาของผู้ชายเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าจะผู้หญิงจะฝึกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝึกเพื่อแข่งหรือฝึกเพื่อออกกำลังกายมันก็ได้ทั้งนั้น เรื่องราวของ ‘เพชรจีจ้า’ หรือ ‘นิล’ แม้ฉากหน้าจะถูกเรียงลำดับด้วยชัยชนะเรื่อยมา แต่ฉากหลังของเธออุดมไปด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายจากการฝึกซ้อมที่ได้มอบความสามารถให้เธอกลายเป็นราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิงดังที่เรารู้จักเธอในทุกวันนี้

 

เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม : ราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิง