20 มี.ค. 2568 | 20:00 น.
“ในตอนนั้นถ้าไม่มีผู้หญิงชก
หนูก็ขอชกกับผู้ชายก็ได้ เพราะหนูอยากชก”
มันอาจจะเป็นเช่นนั้นมาตลอดเมื่อนึกถึงกีฬาที่จะต้องเจ็บตัว โดยเฉพาะกับ ‘มวย’ ว่าเป็นขอบเขตอาณาบริเวณที่เหมาะสมกับเพศชายมากกว่า จนในยุคสมัยหนึ่งมันถูกจดจำในฐานะ ‘กีฬาของผู้ชาย’ ในเชิงกายภาพเพศชายย่อมมีข้อได้เปรียบกว่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าสังเวียนจะถูกจำกัดไว้ให้กับนักมวยชายเสมอไป เพราะหลาย ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะกีฬาใดก็ตาม ‘ผู้หญิง’ ก็ล้วนเคยฉายแววความสามารถอย่างโดดเด่นจนทำให้ใครหลายคนลืมกรอบความคิดและภาพจำแบบเดิม ๆ ไปอย่างสนิท
ในประเทศไทยเองก็มีนักกีฬาหญิงมากฝีมือที่โดดเด่นนับไม่ถ้วน แถมยังคว้าชัยชนะอยู่ในแทบทุกครั้งไป รวมไปถึงบนสังเวียนสัญชาติไทยของเราเองด้วยที่เต็มไปด้วยนักชกมากฝีมือ และหากพูดถึงในยุคสมัยนี้ หนึ่งในนามที่เราไม่เอ่ยถึงเป็นไม่ได้ก็คงหนีไม่พ้น ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ หรือในฉายา ‘The Queen’ ที่ปัจจุบันครองแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105-115 ปอนด์)
กว่าเธอจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องผ่านการฝึกซ้อมและการชกบนสังเวียนมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เธอต้องชกกับคู่ชกที่เป็น ‘ผู้ชาย’ เพราะยากจะหาคู่ชกในเพศเดียวกันได้ จนถึงขั้นที่ว่าในบางช่วงเธอต้องไปสลับไปชกในมวยสากลทีมชาติเพราะไม่สามารถหาคู่ชกได้ เมื่อภายหลังมีกฎพรบ.กีฬามวยที่ห้ามไม่ให้นักมวยหญิงขึ้นชกกับนักมวยชาย
ในบทสัมภาษณ์นี้ The People ได้มีโอกสพูดคุยกับ ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ ถึงเรื่องราวชีวิต แนวคิด และประสบการณ์ต่าง ๆ ของเธอตั้งแต่วันที่ขอพ่อและแม่ชกมวย มาจนถึงวันที่ประจัญหน้าแชมป์มากประสบการณ์จนสามารถมีเข็มขัดพาดอยู่บนบ่าได้
อาจเป็นเพราะบรรยากาศที่เดือดดาลรอบข้างสนาม อาจเป็นเพราะความตื่นเต้นพร้อมเสียงโห่ร้องของผู้ชม หรืออาจเป็นเพราะหยาดเหงื่อของนักสู้ที่กัดฟันชกบนสังเวียน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มีโอกาสไปดูน้าชายขึ้นชก ความรู้สึกในวันนั้นก็ได้บันดาลให้ ‘นิลดา มีคุณ’ หรือ ‘นิล’ ในตอนที่มีอายุ 6 ขวบที่เติบโตขึ้นที่บ้านบึง จังหวัดชลบุรี พลันรู้สึกว่า ‘การชกมวย’ เป็นกีฬาที่น่าเย้ายวนยิ่ง
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนักที่พ่อและแม่จะให้คำตอบว่า ‘ไม่’ เมื่อเธอ พร้อมกับพี่ชาย ลองขอพ่อและแม่ว่าอยากจะลองซ้อมมวยดู เพราะท่ามกลางกีฬานานาประเภท การชกมวยถือเป็นทางเลือกที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อ ‘ลูกสาว’ มาเป็นคนขอด้วยตัวของเธอเอง ในวันที่กีฬาประเภทนี้มักถูกจดจำในฐานะกีฬาของผู้ชายเป็นหลัก
“แต่พอขอประมาณครั้งที่สามพวกท่านก็เหมือนใจอ่อนค่ะ
ให้เราลองซ้อมดู เผื่อว่าลองแล้วสักไฟต์น่าจะไม่ชกอีก”
เรียกได้ว่าเมื่ออยาก ก็ต้องลองให้หายอยาก คุณพ่อของเธอจึงไปหากระสอบทรายก่อนจะใส่ดินเข้าไปเพื่อให้เป็นคู่ซ้อมแรกของเธอ ไม่นานหลังจากนั้น ณ งานวัดแถวบ้านก็ได้มีกิจกรรม ‘การเปรียบมวย’ ที่จะเป็นการเปรียบคู่ชักกันข้างเวทีก่อนที่จะกลับมาชกกันในเดือนถัดไป หรือบางกรณีก็อาจเปรียบกันช่วงเช้าชกกันในช่วงเย็นในทันที โดยที่นิล — ที่ขึ้นชกในนาม ‘เพชรสีนิล’ — และพี่ชายก็ได้เดินทางไปเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ในตอนนั้นเธออายุย่างเข้าเจ็ดขวบและมีน้ำหนักเพียง 20 กิโลกรัม โดยคู่ชกของเธอน้ำหนักมากกว่าเธอสองกิโลกรัม
“ไม่มีผู้หญิงชกด้วย ก็เลยบอกคุณพ่อว่า
ถ้าไม่มีผู้หญิงก็ไม่เป็นอะไร ลองชกกับผู้ชายก็ได้”
การซ้อมเริ่มขึ้นที่บ้านโดยมีคุณพ่อเป็นผู้ฝึกซ้อม แน่นอนเมื่อลูกสาวมีปณิธานอันแรงกล้า การสนับสนุนคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อสักคนจะทำได้ นวมสองคู่และกระสอบทรายจึงเป็นสถานที่แห่งการฝึกซ้อมที่เต็มไป ไม่ใช่ความเหนื่อย แต่เป็นความสนุกสนาน จนกระทั่งถึงไฟท์แรกในชีวิตของพวกเขาทั้งสอง
“ปรากฎว่าหนูกับพี่ชายแพ้ทั้งคู่เลยค่ะ แต่ก็ได้ค่าตัวมา 300 บาท ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ได้ชกมาตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ”
ทั้งได้สนุกและได้สตางค์ อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลยที่นิลจะรู้สึกตกหลุมรักกีฬาชกมวยขึ้นมาทันใด แม้จะเหนื่อย เจ็บตัว และพ่ายแพ้ในครั้งแรกก็ตามที ดูเหมือนว่าทุกอย่างอาจไม่เป็นเหมือนที่คุณพ่อและคุณแม่คิด — ชกไฟท์เดียวแล้วเลิก — ตรงกันข้าม มันกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตที่จะก่อร่างสร้างนักมวยนามว่า ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ ขึ้นมาให้สังเวียนมวยไทยได้รู้จัก
“ตั้งแต่ตอนนั้นก็รักการชกมวยเลยค่ะ
ก็เลยต่อยอีก…”
เมื่อมาถึงไฟต์ที่สองเธอก็ได้ชกกับผู้หญิงแล้ว แถมแทบจะทุกไฟท์หลังจากนั้น ‘เพชรจีจ้า’ ก็ชนะน็อกมาโดยตลอดกว่าสิบไฟท์ จนพ่อของเธอตัดสินใจว่าจะยกระดับความจริงจังขึ้นโดยการพาเธอไปเข้าค่ายมวยที่พัทยา แม้ทางค่ายจะไม่ได้เน้นมวยรุ่นเด็กมากนัก แต่เธอก็ได้เดินหน้าขึ้นชกเรื่อยมากว่า 20 ไฟท์
“แต่หลังจากนั้นหนูก็ไม่มีผู้หญิงให้ชกด้วยแล้ว — เพราะเขาไม่อยากชกด้วย — ก็เลยต้องขึ้นชกกับนักมวยชาย”
ในยุคสมัยนี้ การชกมวยถือเป็นกีฬาที่เปิดรับอย่างกว้างขวางและไม่เกี่ยงเพศ แต่หากย้อนกลับไปเมื่อก่อน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากีฬาแขนงนี้มักถูกจดจำในฐานะ ‘กีฬาของผู้ชาย’ เสียมากกว่า จึงไม่แปลกที่จะมีจำนวนนักมวยหญิงน้อยกว่า ผสานเข้ากับชัยชนะที่คว้ามาต่อเนื่อง ทำให้การหาคู่ชกผู้หญิงที่มีฝีมือเหมาะสมกับเธอเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อยังอยากชกอยู่ หากฝ่ายตรงข้ามดันเป็นเพศตรงข้ามด้วย ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร เธอคิดเช่นนั้น
อันเป็นสาเหตุให้เพชรจีจ้าต้องขึ้นชกกับผู้ชายตั้งแต่อายุ 9 ขวบไปจนถึงประมาณอายุ 12 ปี เธอได้เดินสายไปชกนานาจังหวะทั่วประเทศ บ้างอาจคิดว่าเธอจะรู้สึกเสียเปรียบในเชิงกายภาพบ้างไหมเมื่อชกกับผู้ชาย แต่ก็ตอบว่าไม่ เพราะตลอดช่วงเวลานั้นเพชรจีจ้าเองก็ซ้อมหนักมาโดยตลอด อีกทั้งยังซ้อมกับนักมวยชายเป็นหลัก ซ้อมแบบให้ 2 คนไปจนถึง 5 คนรุมชกเสียด้วยซ้ำ จึงทำให้เธอมีพลกำลังที่ไม่ได้เสียเปรียบไปกว่าคู่ต่อสู้ที่เป็นเพศชายเลยแม้แต่น้อย ทำให้เธอเดินหน้าต่อยและสามารถคว้าชัยเรื่อยมา ในขณะนั้นก็ได้ไปต่อยออกทีวีในศึกอัศวินดำอีกด้วย
ว่าด้วยชื่อ ‘เพชรจีจ้า’ เดิมเธออาจจะเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เพชรสีนิล’ ก่อนที่ถัดมาจะเป็น ‘เพชรชีต้า’ แต่เมื่ออายุ 11 ปีและได้เข้ามาในกรุงเทพมหานครก็เป็นช่วงเดียวกับที่ ‘จีจ้า-ญาณิน วิสมิตะนันทน์’ นักแสดงหญิงผู้เป็นดาวบู๊ไทยจากภาพยนตร์เรื่อง ช็อคโกแลต (2551) ในยุคสมัยนั้นพอดิบพอดี
“ที่กางเกงมวยของหนูปักชื่อเอาไว้ว่า ‘เพชรชีต้า’ ในระหว่างชกหรือตอนชกเสร็จ คนเขาก็ไม่ได้เรียกเพชรชีต้า แต่ไปเรียก ‘เพชรจีจ้า’ ในไฟท์ต่อไปหนูก็เลยเปลี่ยนเลยค่ะ ก็เปลี่ยนไปเรียกตามที่เซียนมวยเขาเรียกค่ะ”
เมื่อถูกถามว่าหากรวมทั้งหมดแล้ว ชกกับนักมวยชายมาทั้งหมดกี่ครั้ง “140 กว่าครั้ง” คือคำตอบ
ทว่าเมื่ออายุได้ 12 ปี ก็มีกฎพรบ.กีฬามวยที่ห้ามไม่ให้นักมวยหญิงขึ้นชกกับนักมวยชาย เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ แม้ว่าคนส่วนมากอาจจะไม่กังวลเรื่องนี้กับเธอมากนัก แต่เมื่อนึกถึงคู่อื่นด้วยแล้ว การกันไว้ก็อาจจะดีกว่าการแก้ไขในภายหลัง อันเป็นเหตุให้เพชรจีจ้าต้องเลิกชกกับคู่ชกผู้ชายและต้องพักชกไปกว่าสองปี เหตุเพราะไม่มีคู่ชก
“ช่วงหนึ่งหนูก็อยากเลิก เพราะถ้าเกิดอยู่อย่างนี้
มวยผู้หญิงก็คงไม่มีชก แม้แต่เวทีหลักก็ไม่มี”
ภาวะสุญญากาศทำนองนี้เกือบจะผลักให้เธอเกือบจะมุ่งไขว่คว้าอีกความชอบของเธอ — ฟุตบอล — แต่เมื่อผ่านไปสองปี อยู่ดี ๆ ก็ดันมีนักมวยหญิงเป็นคู่ชกเข้ามาจึงทำให้ทั้งตัวเธอและความหวังหวนคืนกลับสู่สังเวียนอีกครั้ง และทำให้เธอได้ชกต่อกว่าสิบไฟท์ แต่หลังจากนั้นเธอก็เบนเข็มไปชกในมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติตอนมีอายุได้ 16 ปี ในช่วงเวลานั้นเธอก็ได้ไปเก็บตัวมวยสากลและได้มีโอกาสซ้อมกับทีมชาติชุดเอ แต่แม้ว่าเธอจะผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก มวยไทยกับมวยสากลก็มีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย ทำให้เธอก็ต้องปรับตัวมากเป็นพิเศษ
“เปลี่ยนไปเยอะค่ะ ทั้งพื้นฐานการชก การออกหมัด การมองคู่ต่อสู้ เราต้องมีสมาธิตลอดเวลาเพราะมวยสากลมันเร็วมาก แล้วเหนื่อยกว่าเยอะ”
นิลเล่าต่อว่าในช่วงแรกนั้นแทบจะสู้ใครไม่ได้เลย แต่อาศัยที่ว่าซ้อมหนักและจดจำเทคนิคจากรุ่นพี่และสิ่งที่โค้ชสอนเป็นเวลากว่า 6 ปีจนทำให้เธอสามารถสู้ได้กับทุกคน จนทำให้เธอสามารถไปแข่งในทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ไปจนถึงการชิงแชมป์เอเชีย รุ่นเยาวชน ก่อนที่เธอจะสามารถคว้าเหรียญเงินมาครองได้สำเร็จ และได้มีโอกาสชิงแชมป์โลกและคว้าเหรียญเงินในลำดับต่อมา ต่อมาอีกเธอก็ได้ไปชกในทัวร์นาเมนต์จนได้เหรียญทองมาอีกหลายแมทช์ติดต่อกัน
พอขยับมาช่วงที่เธอได้ขยับจากเยาวชนมาเป็นประชาชน ก็เป็นช่วงเดียวกับที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดพอดิบพอดี จึงทำให้เธอไม่ได้เดินทางไปชกที่ต่างประเทศ ก่อนที่จะมาถึงรายการสุดท้ายในซีเกมส์ 2021 ที่จัดขึ้นนที่ประเทศเวียดนามที่ทำให้เธอได้คว้าเหรียญทองแดงกลับบ้านมา
“ในช่วงนั้น รายการ ONE Lumpinee ก็เข้ามาในไทย เลยคิดว่าจะกลับมาชก (มวยไทย) ดีไหม เพราะในตอนนั้น พี่แสตมป์ (แสตมป์ แฟร์เท็กซ์) ก็กำลังชกอยู่พอดี หนูก็ดูพี่เขาและติดตามว่ามวยไทยหญิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เพราะหนูก็กลับไปชกมวยไทยอยู่แล้ว”
นิลยังคงมีฝันในมวยสากลอยู่ — ซึ่งก็คือการไปแข่งโอลิมปิก — แต่เธอก็คิดว่าในรุ่นราวคราวเดียวกันก็มีอยู่หลายคนที่มีฝีมือ เธอจึงตัดสินใจที่จะลาออกทีมชาติ และมาขึ้นชกในเวที ONE Lumpinee อันเป็นจุดเริ่มต้นในเสียงระฆังยกต่อไปบนสังเวียนอาชีพของเธอ
“ในช่วงไฟท์แรกหนูหาคู่ชกยากมากเลยนะคะ 15 คนนี่ไม่มีใครกล้าชกกับหนูเลย ตอนนั้นหนูก็คิดว่า หนูหยุดไปนานขนาดนี้ ตั้ง 5-6 ปี ทำไมยังไม่มีใครกล้าชกกับหนูอีก”
แต่แล้วในเดือนมีนาคม 2566 ไฟท์แรกของเพชรจีจ้าในสังเวียน ONE Lumpinee ก็มาถึง ในไฟท์ที่เป็นการชกกันระหว่าง ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ กับ ‘ฟานี ปยอมวี’ (Fani Peloumpi) ที่ประเทศกรีซ โดยเธอได้เล่าว่าถือเป็นการชกที่ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเป็นเวทีแรกที่รองรับหญิง อีกทั้งผู้เข้าชมก็แน่นสนาม จนกระทั่งเธอสามารถคว้าชัยชนะน็อกในยกที่สอง เมื่อผ่านจากการกครั้งนี้ไป เพชรจีจ้าก็มีเวลาพักผ่อนราวหนึ่งสัปดาห์ก็มีรายการต่อในทันที และในการแข่งขันไฟท์ที่สองเธอก็สามารถชนะน็อกได้อีก จนทำให้เธอคว้าทั้งโบนัสสามแสนห้าหมื่นบาท และได้มีโอกาสเซ็นสัญญากับจาก ONE (ใหญ่) อีกด้วย
“ไฟท์แรกที่เข้า ONE ใหญ่ก็ซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีก ซ้อมเสร็จแทบจะคลานเข้าห้อง เหนื่อยมาก เพราะว่าเราแพ้ไม่ได้
“เข้า ONE ใหญ่แล้ว เราแพ้ไม่ได้”
ไฟท์แรกในสังเวียนใหญ่ (ไฟท์ที่สามในสังเวียน ONE) ของเธอภายหลังจากซ้อมหนักจนร่างจวนสลาย เพชรจีจ้าได้เผชิญหน้ากับ ‘ลารา เฟอร์นานเดซ’ (Lara Fernandez) นักมวยสัญชาติสเปน และในการแข่งขันเธอก็สามารถเอาชัยไปด้วยการชนะน็อคในยกที่หนึ่งก่อนที่จะได้โบนัสไปกว่าหนึ่งล้านแปดแสนบาท ภายหลังจากไฟท์นั้นเธอก็ได้ชกต่อ และก็สามารถชนะน็อกอีกเช่นเคย
“หนูต่อย 4 ไฟท์ก็จะชนะน็อกทั้งหมด
ยังไม่เคยครบยกเลยค่ะ”
ในช่วงที่เธอกลับมาชกมวยไทยนี้เอง เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม ก็ได้รับฉายาว่า ‘The Queen’ จนกลายเป็นวลีที่ว่า “The Queen is Back” ซึ่งก็เปรียบเปรยไปถึงการกลับมาชกและคว้าชัยชนะอย่างสง่างามของเธอเอง
และภายหลังประกาศศักดาความยิ่งใหญ่จากฟอร์มทั้งสี่ยกของเธอ เพชรจีจ้าก็ได้มีโอกาสชิง ‘แชมป์เฉพาะกาล’ แต่ในในคราวนี้จะไม่ได้เป็นการชกด้วยกติกามวยไทยเหมือนสี่ครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นจะเป็นการชกด้วยกติกา ‘คิกบ็อกซิ่ง’ (Kickboxing) ซึ่งจะแตกต่างออกไปจากมวนไทยคือไม่สามารถใช้ศอกหรือตีเข่าได้ แน่นอนว่านี่เป็นกติกาที่เธอจะไม่ถนัดนัก เพราะ ‘ศอก’ ถือเป็นอาวุธถนัดของเธอ แต่เพชรจีจ้าก็มองว่าเป็นการที่จะได้ลองอะไรใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม
ทว่าคู่ชกของเธอในครั้งนี้มีนามว่า ‘อนิสสา เม็กเซน’ (Anissa Meksen) นักชกลูกครึ่งฝรั่งเศส-อัลจีเรีย เพชรจีจ้าเล่าว่าในช่วงที่เตรียมตัวกดดันไม่น้อย เพราะเม็กเซนถือเป็นนักมวยมากประสบการณ์เทียบกับเธอที่จะขึ้นสังเวียนด้วยกติกานี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งเม็กเซนก็ยังไม่เคยแพ้ใครอีกด้วย
“หนูดูคลิป เขาต่อยหนัก ต่อยนับทุกคน เขาเก่งมาก แต่หนูก็ฝึกซ้อมให้ดีที่สุด ถึงผลจะเป็นอย่างไร ถ้าฝึกซ้อมดีแล้ว พยายามแล้ว ถ้าแพ้ก็คงไม่เป็นอะไร”
ในการชกครั้งนั้น เพชรจีจ้าได้บรรยายความรู้สึกเอาไว้ว่า
“ยกแรกก็สูสีค่ะ เพราะเราก็ชกดูเชิงกันก่อน เขาก็ดูจังหวะหนู หนูก็ดูจังหวะเขา พอยกสองเริ่มก็ยังสูสีอยู่ ในยกสามหนูก็รู้สึกว่าเริ่มได้เปรียบอาวุธเขามันก็สูสี แต่หนูรู้สึกว่าหนูได้เปรียบเขา พอยกที่สี่ หนูซ้อมมาดี มีแรงเยอะ หนูก็ใส่เข้าไปอีก จากที่คิดว่าเป็นเกมที่ยากมาก ในตอนชกมันกลับกลายเป็นไม่ยากเหมือนที่คิดไว้ มันเหมือนง่ายไปหมด อาจเป็นเพราะเราคาดหวังว่ามันจะยาก แต่มันก็ไม่ได้ยากเหมือนที่คิด”
แล้วเธอก็คว้าชัยชนะในการชกครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ชกครบทั้งห้ายก
ภายหลังจากไฟท์นั้นราวสามเดือนถัดมา เพชรจีจ้าก็ได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับ ‘แชมป์ตัวจริง’ ในตอนนั้น อย่าง ‘เจเน็ต ท็อดด์’ (Janet Todd) และแม้จะคว้าชัยชนะไปในครั้งก่อนหน้าได้ แต่ในการชกครั้งนี้ ความกดดันอันหนักอึ้งก็กลับมาอีกครั้ง ทั้งความกดดันในตัวเองที่อยากจะคว้าแชมป์ให้ได้ และความกดดันที่จะต้องเผชิญหน้ากับนักมวยมากฝีมือ
“ไฟท์นี้มีความยากเพราะเขาก็มากประสบการณ์ เป็นถึงระดับแชมป์ เก่งมาก แต่หนูเองก็ต้องวางแผนมาเหมือนกันว่าในแต่ละยกจะต้องชกอย่างไร ในยกหนึ่งก็ดูเชิงกันเหมือนเดิมค่ะ ยกสองและยกที่สามก็ยังสูสีกันอยู่ หมายถึงว่าคนหนึ่งออกอาวุธ อีกคนก็ตอบโต้ แต่พอมายกที่สี่ หนูรู้สึกว่าหนูเริ่มได้เปรียบเขา แล้วพอมาถึงยกที่ห้าก็มีจังหวะที่เขาเตะหลุด หนูเลยดึงแล้วก็เตะกับออกหมัดเข้าไปในจังหวะนั้น เขาก็เลยร่วงลงไป แต่เขาก็ลุกขึ้นมานะคะ จนท้ายที่สุด พอหมดยก หนูก็เป็นฝ่ายชนะคะแนน”
จึงทำให้เพชรจีจ้าได้คว้าแชมป์โลก ONE คิกบ็อกซิ่ง รุ่นอะตอมเวต (105-115 ปอนด์) ในที่สุด
นอกจากนั้น เร็ว ๆ นี้ ในวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคมนี้ ในศึก ONE 172 ที่จัดขึ้นที่ จากสังเวียน ไซตามะ ซูเปอร์ อารีนา ประเทศญี่ปุ่น ‘เพชรจีจ้า ลูกเจ้าพ่อโรงต้ม’ จะต้องป้องกันเข็มขัดเป็นครั้งแรก ‘คานะ โมริโมโตะ’ นักมวยคิกบ็อกซิ่งสัญชาติญี่ปุ่น ที่จะกลายเป็นบทพิสูจน์สำคัญอีกครั้งบนเส้นทางอาชีพการเป็นนักมวยของเธอ
“ครอบครัวค่ะ ครอบครัวเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุด”
คือคำตอบของนิลต่อคำถามถึงกำลังใจที่สำคัญที่สุดตลอดเส้นทางของเธอ เธอเล่าต่อถึงในตอนที่ต้องจากบ้านในตอนที่อายุ 16 ปี เพื่อการชกมวย เพราะในตอนที่เธอจากบ้านไปนั้น นอกจากการฝึกซ้อมและการทำหน้าที่บนสังเวียนเพื่อชัยชนะ สิ่งอื่นที่เธอคิดถึงก็มีเพียง ‘ครอบครัว’ ด้วยความเชื่อเช่นนั้น มันจึงทำให้เธออยากจะสู้และทำให้ดีที่สุดเพื่อครอบครัว
“ช่วงที่เหนื่อยหรือท้อ หนูก็จะบอกตัวเองว่าช่วงนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่วันหน้าเราจะไม่เหนื่อยอีกแล้ว หมายถึงว่าหนูจะพยายามเก็บเงินเพื่อที่… หนูคิดว่า 27-28 หนูก็จะเลิกแล้ว”
ท้ายที่สุดเราได้พูดคุยกันถึงผู้หญิงกับกีฬามวย เธอก็ตอบว่า แม้มวยจะถูกมองว่าเป็นกีฬาของผู้ชายเป็นหลัก แต่ก็ใช่ว่าจะผู้หญิงจะฝึกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝึกเพื่อแข่งหรือฝึกเพื่อออกกำลังกายมันก็ได้ทั้งนั้น เรื่องราวของ ‘เพชรจีจ้า’ หรือ ‘นิล’ แม้ฉากหน้าจะถูกเรียงลำดับด้วยชัยชนะเรื่อยมา แต่ฉากหลังของเธออุดมไปด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายจากการฝึกซ้อมที่ได้มอบความสามารถให้เธอกลายเป็นราชินีดาวรุ่งแห่งสังเวียนมวยหญิงดังที่เรารู้จักเธอในทุกวันนี้