จีน เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ โควิด-19 ต้นตอไม่ได้อยู่อู่ฮั่น "ความเกลียดชังและการรุมกล่าวหาคือไวรัสที่ชั่วร้ายที่สุด ในขณะที่เอกภาพและความร่วมมือคือยาดีที่สุดสำหรับรับมือกับการระบาด" ตอนหนึ่งจากแถลงการณ์เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยที่ออกมาตอบโต้บทบรรณาธิการของ Bangkok Post ที่เรียกร้องให้จีนและองค์การอนามัยโลกยอมรับความผิดพลาดในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ( WHO, China must own up )
การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 เป็นที่รับรู้มาโดยตลอดว่า ระบาดมาจากเมืองอู่ฮั่น จีนเองเป็นผู้ที่ออกมาชี้ว่า ต้นตอของโรคระบาดมาจากตลาดสดที่มีการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
ดังที่รายงานวันที่ 22 มกราคม ปี 2020 ของ CGTN สื่อโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษในรัฐบาลจีนระบุว่า
"โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่มาจากสัตว์ป่าที่ซื้อขายอย่างผิดกฎหมายในตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่งของอู่ฮั่น เกา ฟู (Gao Fu) หัวหน้าศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคระบาดของจีนกล่าว"
หรือจากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์จีนเองที่พบว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ตอนนี้ได้ชื่อว่า SARS-CoV-2 นั้นมีความใกล้เคียงกับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรค SARS ถึง 96 เปอร์เซ็นต์ และสัตว์ป่าที่น่าจะเป็นต้นตอของโรค SARS สายพันธุ์เดิมนั้นก็คือค้างคาวที่พบในถ้ำแถบยูนนานของประเทศจีนนั่นเอง ( The People )
ความสามารถในการระบุตัวไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคระบาด ยังทำให้จีนได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากทาง WHO ( The People )
แต่เมื่อสถานการณ์การระบาดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และแผ่ขยายออกไปทั่วโลก ทำให้เกิดการตั้งคำถามกลับมาว่า จีนเผยข้อมูลที่ตัวเองรับรู้มากน้อยแค่ไหน? พยายามปกปิดข้อมูลหรือไม่? เพราะมันทำให้ WHO องค์กรสาธารณสุขนานาชาติ และชาติอื่น ๆ ที่ติดตามการระบาดประเมินสถานการณ์ผิดไป จนทำให้การควบคุมโรคในหลายประเทศเกิดความล่าช้า กลายเป็นวิกฤตทางสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ถึงตอนนี้ หน่วยข่าวในรัฐบาลจีนก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีในการระบุถึงต้นตอที่แท้จริงของโควิด-19
วันที่ 6 มีนาคม บนเฟซบุ๊กของ สำนักข่าวซินหัว โพสต์ข้อความว่า "ในขณะที่ข้อมูลที่ผิด ๆ เกี่ยวกับ #COVID19 ยังคงแพร่หลายอยู่ในโซเชียลมีเดีย นี่คือ ข้อเท็จจริง 3 ประการที่คุณควรรู้ #RumorBuster
"-มันมีที่มาจากธรรมชาติ
"-ต้นกำเนิดยังไม่มีใครรู้ ไม่จำเป็นต้องมาจากจีน
"-จุดศูนย์กลางการระบาด และต้นกำเนิดของไวรัสอาจไม่ใช่ที่เดียวกัน"
ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นการ “โบ้ย” ว่า ต้นต่อของการระบาดแท้จริงมาจาก “สหรัฐฯ” ไม่ใช่จีน
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์ People's Daily สื่อภาษาอังกฤษของพรรคคอมมิวนิสต์ได้รีรันบทความจาก Global Times สื่อภาษาอังกฤษอีกสำนักของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ลงไปวันก่อนหน้าในหัวข้อ "รายงานของทีวีญี่ปุ่นปลุกให้เกิดการสันนิษฐานไปทั่วจีนว่า โควิด-19 อาจมีต้นตอจากสหรัฐฯ"
สื่อรัฐบาลจีนอ้างว่า รายงานของ TV Asahi (แต่ไม่ได้แนบลิงก์ในบทความ) ตั้งข้อสงสัยว่า ผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ จำนวนกว่า 14,000 รายนั้น จริง ๆ อาจจะติดเชื้อโควิด-19 นำไปสู่ทฤษฎีสมคบคิดในหมู่ชาวเน็ตว่า โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่แท้จริงมีที่มาจากสหรัฐฯ ผ่านเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬารายการ Military World Games ในอู่ฮั่นเป็นผู้พาเชื้อมาที่นี่ และเกิดการกลายพันธุ์จนกลายเป็นสายพันธุ์ที่ร้ายแรงที่ระบาดไปทั่วอู่ฮั่น
ส่วนใน Global Times ก็ยังมีรายงานอีกฉบับขึ้นหัวข้อว่า "งานวิจัยของจีนฉบับใหม่ชี้ โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นที่ตลาดอาหารทะเลหัวหนาน (ในอู่ฮั่น)" อย่างไรก็ดี ในรายงานฉบับนี้มิได้บอกว่า เชื้อไวรัสระบาดมาจากต่างประเทศ แต่บอกว่า การระบาดระหว่างคนสู่คนน่าจะเริ่มมีมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงต้นเดือนธันวาคม ก่อนมาติดในหมู่พ่อค้าของตลาดสดในอู่ฮั่น และเกิดการระบาดอย่างใหญ่โตในช่วงปลายเดือน
ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อรัฐบาลจีน นำไปสู่การขุดคุ้ยและการขยายผลสู่ทฤษฎีสมคบคิดที่กว้างขวางขึ้น ผ่านบทความของ ลาร์รี โรมานอฟ (Larry Romanoff) บนเว็บไซต์ที่ชื่อ Global Researh เช่น บทความลงวันที่ 4 มีนาคม ของเขาที่กล่าวว่า
"สื่อตะวันตกรีบขึ้นเวทีวางแนวทางเรื่องเล่าฉบับทางการว่า การระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะเริ่มต้นขึ้นในจีน อ้างว่ามีจุดตั้งต้นจากสัตว์ในตลาดสดแห่งหนึ่งของอู่ฮั่น
"แต่ในความเป็นจริง จุดเริ่มต้นอันไม่ทราบที่มาเป็นเวลานานนั้น มันเริ่มจะปรากฏให้เห็นแล้ว จากรายงานของทั้งจีนและญี่ปุ่น ไวรัสมีต้นกำเนิดที่อื่น หลายสถานที่ แต่เริ่มระบาดอย่างกว้างขวางหลังมันถูกนำเข้าสู่ตลาดสดดังกล่าว
"พูดให้ตรงยิ่งขึ้น ไวรัสไม่น่าจะมีต้นกำเนิดในจีน และจากรายงานในสื่อญี่ปุ่นและสื่ออื่น ๆ มันอาจมีต้นกำเนิดในสหรัฐฯ"
อย่างไรก็ดี ข้อกล่าวหาสื่อตะวันตกของโรมานอฟ (ตามประวัติ เขาเป็นที่ปรีกษาและนักธุรกิจที่เกษียณอายุและใช้ชีวิตอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวพันกับอดีตราชวงศ์ที่ปกครองรัสเซียแต่อย่างใด) ดูจะผิดไปจากความเป็นจริง เพราะผู้ที่ประกาศว่า ต้นตอของโรคมาจากตลาดสดในอู่ฮั่นก็คือสื่อของรัฐบาลจีนนั่นเอง
ต่อมาในบทความฉบับวันที่ 11 มีนาคม โรมานอฟ อ้างรายงานในเดือนสิงหาคม 2019 ของ The New York Times กรณีการปิดห้องแล็บทหารที่ Fort Detrict ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ศึกษาจุลชีพที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งการทหารและสาธารณสุข และเป็นแหล่งเก็บเชื้อไวรัสอันตรายอย่างอีโบลา ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย โรมานอฟอ้างข้อมูลจากนักการเมืองไต้หวันรายหนึ่งว่า หลังการปิดห้องแล็บไม่นาน ก็มีชาวญี่ปุ่นรายหนึ่งไปติดเชื้อมาจากฮาวายในเดือนกันยายน และเขายังอ้างว่า ด้วยเหตุที่สหรัฐฯ มีผู้ติดโควิด-19 ในทุกสายพันธุ์ ต่างจากที่อู่ฮั่นที่มีแค่สายพันธุ์เดียว สหรัฐฯ จึงต้องเป็นต้นตอของไวรัสชนิดนี้
"ดูเหมือนว่าต้นตอของไวรัสมีความเป็นไปได้เพียงประการเดียวว่ามันจะมีที่มาจากสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ เป็นประเทศเดียวที่มี 'ลำต้น' ของกิ่งก้านสายพันธุ์ต่าง ๆ และมันอาจจะเป็นไปได้ว่า ต้นตอของโควิด-19 จะมาจากห้องแล็บอาวุธชีวภาพของสหรัฐฯ ที่ Fort Detrict มันไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย ด้วยเหตุที่ CDC ปิดการใช้งาน Fort Detrict โดยสิ้นเชิง และเพราะอย่างที่ผมได้แจงในบทความก่อนว่าระหว่างปี 2005 ถึง 2012 สหรัฐฯ เกิดกรณีเชื้อโรคหลุดหรือถูกขโมยจากแล็บชีวภาพของสหรัฐฯ ถึง 1,059 ครั้ง" โรมานอฟกล่าว
นอกจากสำนักข่าวในรัฐบาลจีน และสื่อต่อต้านสหรัฐฯ แล้ว กระทรวงการต่างประเทศจีนเองก็มีส่วนสำคัญในการกระจายทฤษฎีสมคบคิดที่มาจากโซเชียลมีเดีย และข้อมูลที่ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ จ้าว ลี่เจียน (Zhao Lijian) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม หลังบทความฉบับอัพเดตของโรมานอฟเผยแพร่ได้หนึ่งวัน จ้าวทวีตข้อความรัว ๆ เพื่อชี้ว่า สหรัฐฯ คือต้นตอของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ว่า
"1/2 ผู้อำนวยการ CDC (ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐฯ) โรเบิร์ต เรดฟิลด์ ยอมรับว่า ชาวอเมริกันที่ตายจากไข้หวัดใหญ่ถูกตรวจพบเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในการชันสูตรพลิกศพ ระหว่างให้การกับคณะกรรมาธิการสอบสวนของสภาผู้แทนราษฎร"
"2/2 CDC ถูกจับคาหนังคาเขา ผู้ป่วยหมายเลข 0 เริ่มในสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อไร? มีคนติดเชื้อแค่ไหน? มีโรงพยาบาลไหนบ้าง มันอาจเป็นกองทัพสหรัฐฯ นั่นแหละ ที่นำโรคระบาดมาแพร่ที่อู่ฮั่น โปร่งใสหน่อย เอาข้อมูลของคุณเผยต่อสาธารณะ สหรัฐฯ จำเป็นต้องอธิบายกับเรา"
"ผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่บางรายติดโควิด-19 โรเบิร์ต เรดฟิลด์จาก CDC ของสหรัฐฯ ยอมรับต่อสภาผู้แทนราษฎร มีรายงานผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ 34 ล้านกรณี มีผู้เสียชีวิต 20,000 ราย จงบอกเราหน่อยว่ามีกี่กรณีที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 @CDCDirector"
ในทวีตทั้ง 3 ยังแนบคลิปของเรดฟิลด์ ที่ยอมรับกับคณะกรรมาธิการฯ ว่า มีผู้ที่เสียชีวิตที่เดิมถูกวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่แต่ตรวจพบในภายหลังว่าเป็นโควิด-19 จริง เนื่องจากก่อนหน้านั้น เจ้าหน้าที่ขาดชุดตรวจเชื้อโควิด-19 จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการวินิจฉัยผิด
โดยหลักเหตุผลแล้ว คำแถลงของเรดฟิลด์น่าจะตีความได้เพียงว่า ตัวเลขผู้ติดโควิด-19 ในสหรัฐฯ น่าจะน้อยกว่าความเป็นจริง เพราะตัวเลขอาจไปปะปนกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ด้วยปัญหาขาดชุดตรวจที่เพียงพอ ไม่ได้แปลว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2019 กว่า 20,000 ราย น่าจะตายด้วยโควิด-19 เพราะข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยอมรับร่วมกันก็คือ โควิด-19 เริ่มระบาดในสหรัฐฯ ก็เมื่อล่วงสู่ปลายเดือนมกราคม 2020 แล้ว
(ทั้งนี้ ตัวเลขการเสียชีวิตของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ ด้วยประชากรผู้สูงอายุมีเป็นจำนวนมาก จึงมีตัวเลขระดับหลักหมื่นเป็นปกติ เช่นในช่วงปลายปี 2018 ถึงต้นปี 2019 อยู่ที่ 34,157 ราย และระหว่างปี 2017 ถึง 2018 อยู่ที่ 61,099 ราย - CDC )
ในวันที่ 13 มีนาคม จ้าวยังทวีตบทความของโรมานอฟสองบทความ พร้อมคำโปรยว่า "บทความนี้มีความสำคัญกับพวกเราทุกคน โปรดอ่านแล้วทวีตต่อ COVID-19: Further Evidence that the Virus Originated in the US " และ "ขอเวลาเพียงไม่กี่นาทีอ่านอีกบทความ ( China's Coronavirus: A Shocking Update. Did The Virus Originate in the US? ) มันน่าอัศจรรย์ใจระดับที่เปลี่ยนความเชื่อหลายอย่างที่ผมเคยเชื่อ โปรดทวีตต่อเพื่อให้คนรู้มากยิ่งขึ้น"
วันที่ 22 มีนาคม จ้าวยังรีทวีตข้อความของผู้ใช้ทวิตเตอร์ในชื่อ the lizard king (@mamaxbea) ที่ทวีตเมื่อวันที่ 14 มีนาคม บอกว่า "ฉันเชื่อว่าโควิด-19 น่าจะอยู่ในสหรัฐฯ มานานแล้ว คุณจำได้มั้ยว่าทุกคนป่วยหนักแค่ไหนช่วงวันหยุดต้นเดือนมกราคม? แล้วทำไมทุกคนพากันพูดว่า พวกเขาติด 'ไข้' แต่ยาฉีดแก้ไข้ 'ไม่ได้ผล'?"
แต่ผู้ทวีตเป็นเพียงผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง มิได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาด และมาจากความรู้สึกเป็นหลัก เพราะหากย้อนกลับไปดูตัวเลขผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ รอบปีก่อน ๆ ก็จะเห็นได้ว่า มันไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (ซ้ำยังน้อยกว่าปีก่อนหน้า) จนกระทั่งเกิดการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในช่วงปลายเดือน
ความพยายามกล่าวหาของจ้าว จึงอยู่บนพื้นฐานของการ “สันนิษฐาน” และ “ตั้งคำถาม” โดยปราศจากหลักฐานที่หนักแน่น การตอบโต้ของเขา เข้าใจได้ว่าน่าจะเกิดจากอาการระคายเคืองที่จีนถูกคาดคั้นให้ยอมรับผิดกับการขาดความโปร่งใสในการรับมือการระบาดของโควิด-19 จากผู้นำอย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐฯ ทั้งที่การระบาดกว่าจะมาถึงสหรัฐฯ ก็ใช้เวลาเกือบสามสัปดาห์ จะโทษจีนอย่างเดียวก็คงไม่ได้
แต่ต่อให้โควิด-19 ไม่ได้มีต้นกำเนิดในจีน (สมมตินะสมมติ) ก็ไม่ใช่ข้อที่จะทำให้จีนหรือรัฐบาลใด ๆ พ้นจากความรับผิดชอบของตนต่อประชาชนในชาติและประชาคมโลกได้ เพราะข้อสำคัญอยู่ที่ว่า รัฐบาลนั้นซื่อสัตย์ต่อประชาชนและเพื่อนบ้านเพียงใด ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ในการจัดการกับการระบาด การโจมตีชาติอื่นว่าเป็นต้นตอของไวรัสทั้งที่ขาดหลักฐานจึงขาดความรับผิดชอบอย่างมาก เหมือนกับที่สถานทูตจีนประจำประเทศไทยกล่าวว่า
"ความเกลียดชังและการรุมกล่าวหาคือไวรัสที่ชั่วร้ายที่สุด ในขณะที่เอกภาพและความร่วมมือคือยาดีที่สุดสำหรับรับมือกับการระบาด"