02 มิ.ย. 2563 | 19:00 น.
“บางคนเกลียดเสื้อผ้าที่ฉันใส่ บางคนชื่นชมมัน บางคนใช้มันเพื่อดูถูกคนอื่น บางคนก็ใช้เพื่อดูถูกตัวฉันเอง”
ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว บิลลี อายลิช (Billie Eilish) วัย 14 ปี ที่โด่งดังในโลกออนไลน์จากการปล่อยเพลง Ocean Eyes และกลายเป็นนักร้องที่มีแฟนคลับทั่วโลก คงนึกไม่ถึงว่าเธอจะต้องพบกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์แง่ร้าย การคุกคามทางคำพูดเสีย ๆ หาย ๆ และการจับผิดเรื่องรูปร่าง (body shaming) ที่แถมมาพร้อมกับชื่อเสียงอันโด่งดังท่วมท้นด้วย ก่อนหน้านี้บิลลีมีสไตล์การแต่งตัวในแบบตัวเอง เธอมักจะใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ ที่มีลวดลายและสีสันแสบทรวง ช่วงแรกเธอให้เหตุผลว่ามันเป็นแฟชันแถมยังใส่สบาย แต่ภายหลังก็ออกมายอมรับว่า เป็นเพราะเธอกังวลกับรูปร่างตัวเอง “ฉันเกลียดหุ่นของฉัน” บิลลีบอกกับนิตยสาร Vogue "ฉันทำมาทุกอย่างแล้วที่จะเปลี่ยนมัน" บิลลีตัดสินใจใส่เสื้อผ้าโอเวอร์ไซส์เพื่อไม่ให้ใครเห็นรูปร่าง แต่ความพยายามปกปิดร่างกายเพื่อป้องกันคำวิจารณ์ ก็ส่งผลร้ายต่อสภาพจิตใจเธอไม่หยุด บิลลีเล่าว่าเธอเคยพยายามฆ่าตัวตายเพราะโรคซึมเศร้าและความเครียดที่ถาโถมระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตในยุโรป แม้ภายหลังสภาพจิตใจจะดีขึ้น แต่บิลลีก็ยังต้องใช้ชีวิตกับคำล้อเลียนและด่าทอจากบรรดา haters ของเธอเสมอ คำพูดเหยียดหยาม ล้อเลียน ยังถาโถมเข้าหาเธอต่อไป จนในที่สุด บิลลีก็ตัดสินจะตอบโต้คนที่วิพากษ์วิจารณ์รูปร่างของเธอ ด้วยการถ่ายภาพยนตร์สั้นความยาว 3 นาที ผู้คนจะได้เห็นบิลลีค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น ทีละชิ้น พร้อมกับกล่าวถ้อยคำตัดพ้อที่สวยงามเหมือนบทกวีคลอไปด้วย ภาพยนตร์ดังกล่าวมีชื่อว่า “Not My Responsibility”[embed]https://www.youtube.com/watch?v=ZlvfYmfefSI[/embed]
“ฉันรู้สึกว่าถูกจับตามองตลอดเวลา ไม่มีสิ่งไหนที่ฉันทำแล้วไม่มีใครเห็น” บิลลีกล่าวขณะถอดเสื้อผ้า “ฉันรู้สึกถึงสายตา ความรังเกียจ ความโล่งใจของคุณ หากฉันยอมให้มันมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ฉันคงไม่กล้าจะขยับเขยื้อน” เธอค่อย ๆ ส่งผ่านความในใจที่เคยได้รับคำวิจารณ์ถึงรูปร่าง การถูกตัดสินจากผู้อื่นไม่ว่าเธอจะเลือกที่จะปกปิดหรือเปิดเผยมันก็ตามว่า “คุณเป็นใครถึงมาตัดสินว่าอะไรคือตัวฉัน” ก่อนจะจบภาพยนตร์ด้วยประโยคที่ว่า “คุณค่าของฉัน มาจากสิ่งที่คุณมองเห็นเท่านั้นหรือ บางทีความเห็นของคุณ คงไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันกระมัง” ผลงานดังกล่าวได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ทั้งหลังจากปล่อยครั้งแรกในคอนเสิร์ตที่ไมอามีเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2020 และได้รับการพูดถึงอีกครั้งหลังปล่อยลงในแชแนลยูทูบของบิลลีในวันที่ 26 พฤษภาคม บิลลี บอกว่าเธอตั้งใจให้คลิปนี้เป็นกระบอกเสียง เพื่อส่งผ่านข้อความไปถึงผู้คนที่คอยจับผิด และตั้งคำถามถึงการแต่งตัวของเธอ เพราะบิลลีเคยถูกวิพากษ์วิจารณ์และคุกคามทางเพศอย่างหนัก หลังจากเธอถ่ายภาพตัวเองในชุดว่ายน้ำโพสต์ลงบนอินสตาแกรมส่วนตัว นับเป็นการตอบโต้อย่างเป็นทางการครั้งแรกของนักร้องสาว ที่จะไม่ขออยู่เงียบ ๆ และยอมรับคำวิจารณ์ที่ไม่ยุติธรรมกับตัวเธออีกต่อไป ล่าสุด กรณีของ จอร์จ ฟลอยด์ เหยื่อชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ต้องเสียชีวิตเพราะถูกเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงขณะจับกุม จนเกิดเป็นกระแส #BlackLivesMatter และ #JusticeForGeorgeFloyd ในอเมริกา ก็พาให้บิลลีออกมาแสดงจุดยืนของเธอในประเด็นนี้ผ่านการแชร์ภาพและโพสต์ข้อความต่าง ๆ อีกครั้ง[embed]https://www.instagram.com/p/CAzwncfFm7G/[/embed]
คราวนี้บิลลีแสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อนว่า ไม่เห็นด้วยต่อกรณีที่มีคนขาวออกมาพูดว่า “All Lives Matter” หรือ ทุกชีวิตก็สำคัญ ใจความส่วนหนึ่งเธอเขียนว่า “ถ้าฉันได้ยินคนขาวออกมาพูดว่า ‘ทุกชีวิตสำคัญหมด’ ฉันจะเป็นบ้าแล้วนะ ช่วยหุบปากสักทีได้ไหม ไม่มีใครบอกว่าชีวิตคุณมันง่าย ไม่มีใครพูดอะไรถึงคุณเลย เลิกทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องของตัวเองสักที” นอกจากจะยกประเด็นเอกสิทธิ์ของคนขาวมาพูดแล้ว เธอยังยกตัวอย่างให้คนเข้าใจง่าย ๆ ว่าทำไมในเวลานี้เราจึงควรให้ความสำคัญกับชีวิตของคนดำ โดยเปรียบว่า หากเพื่อนคุณโดนมีดบาด คุณต้องรีบรักษาเพื่อนคุณก่อน เพราะเขาเลือดออก ไม่ใช่รักษาทุกคนพร้อมกัน เพราะ ‘แขนของทุกคนก็สำคัญ’ ถูกไหม? ถ้าบ้านใครไฟไหม้ ก็ต้องรีบช่วยบ้านนั้นก่อน ไม่ใช่ช่วยทุกบ้าน เพราะทุกบ้านก็สำคัญใช่หรือเปล่า? “ถ้าทุกชีวิตสำคัญจริง ๆ ทำไมคนดำถึงถูกฆ่าเพราะแค่เป็นคนดำ? ทำไมผู้อพยพถึงถูกกดขี่? แล้วทำไมคนขาวถึงได้รับโอกาสดี ๆ มากกว่าคนอื่น?” บิลลีย้ำในตอนท้ายว่า “ถึงเวลาที่เราต้องพูดถึงปัญหาที่มีมาร้อยกว่าปีเสียที สโลแกน ‘ชีวิตคนดำก็สำคัญ’ ไม่ได้หมายความว่าชีวิตคนอื่นไร้ความหมาย มันแค่กำลังเรียกร้องให้ผู้คนเห็นความจริงว่า สังคมนี้แม่งไม่เคยเห็นค่าชีวิตของคนดำเลย” หลังจากโพสต์ข้อความเหล่านี้ลงไป บิลลีก็ได้รับคำชมจากการใช้ช่องทางของตัวเองเป็นกระบอกเสียงให้ความหลากหลาย และทวงความยุติธรรมให้คนดำในอเมริกาอีกครั้ง นอกจากเธอแล้ว ยังมีศิลปินอเมริการวมถึงทั่วโลกอีกมากมายที่ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าว ส่วนคนทั่วโลกก็คงถึงคราวได้ใช้โอกาสนี้ประเมินว่าจะบอกลาหรือสนับสนุนคนดังที่พวกเขาเคยชื่นชอบ โดยตัดสินจากจุดยืนที่พวกเขามีต่อประเด็นระดับโลกครั้งนี้เอง