01 ก.ย. 2563 | 20:38 น.
“อายุเท่าไหร่ถึงควรแต่งงาน ?” บางคนอาจรู้สึกว่าอายุ 25 ก็แต่งได้แล้ว หลายคนมองว่าสัก 30 ต้น ๆ อีกคนบอก 30 ปลาย ๆ ก็ยังไม่สาย แต่ในโลกแห่งความจริงมีเด็กหญิงอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเลือกคำตอบนี้ให้ตัวเองได้ เหมือนกับเด็กสาวชาวเยเมนคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้แต่งงานด้วยวัยเพียงแค่ 9 ขวบเท่านั้น ช่วงเที่ยงในวันเปิดเทอม เด็ก ๆ ทุกคนออกจากห้องเรียนมุ่งตรงมายังโรงอาหาร พวกเขารู้สึกหิว ซื้อข้าวมานั่งกินร่วมกับเพื่อน ๆ พูดคุยถึงสิ่งที่เพิ่งเรียน เล่าถึงคนที่แอบชอบ แลกเปลี่ยนแฟชั่นที่สนใจ ยิ้มหัวเราะกันอย่างมีความสุข แต่ นูจูด อาลี (Nujood Ali) ไม่มีโอกาสทำทุกอย่างที่กล่าวมา แทนที่จะได้นั่งอยู่ตรงโต๊ะสักตัวในโรงอาหารแต่เธอกลับต้องใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน ทำกับข้าว ดูแลสามี นูจูด อาลี เป็นเด็กผู้หญิงที่เกิดในปี 1998 เติบโตมาในครอบครัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าชีวิตของอาลีต้องเจอกับเรื่องสาหัสตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุ 9 ขวบ พ่อบังคับให้เธอแต่งงานกับ ฟายา อาลี ทาห์มะ (Faez Ali Thamer) พนักงานไปรษณีย์วัยสามสิบที่ต้องการซื้อตัวเจ้าสาวในราคา 750 ดอลลาร์ (ประมาณ 24,000 บาท) เขามอบแหวนแต่งงานราคา 20 ดอลลาร์ให้อาลี และยืนยันกับพ่อแม่ฝั่งว่าที่เจ้าสาวว่าจะไม่แตะต้องเธอจนกว่าบรรลุนิติภาวะ แต่สิ่งที่น่าหดหู่ได้เกิดขึ้นเมื่อเธอถูกข่มขืนตั้งแต่คืนแรกของการแต่งงาน ที่ตลกร้ายกว่านั้น สามีของอาลีขอแหวนแต่งงานที่เคยให้ไว้คืน เพื่อเอาไปจำนำแล้วซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเอง“ฉันหนีออกจากบ้าน ไปที่ศาล และขอหย่ากับชายที่ข่มขืนฉัน”
ด้านบุพการีกล่าวว่าที่พวกเขาต้องขายลูกเพราะจะได้ไม่ต้องโดนลักตัวไปเหมือนกับพี่สาว เนื่องจากผู้ชายส่วนใหญ่ในชุมชนถูกใจเด็กสาวคนไหนจะไปสู่ขอ แต่ถ้าปฏิเสธเขาจะมาลักตัวไปทีหลัง ทั้งหมดทำไปเพราะต้องการปกป้องอาลี ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ได้ฟังก็รู้สึกว่าเหตุผลมันช่างเบาบางเสียเหลือเกินที่ทำให้พ่อแม่ยอมขายลูกตัวเอง ยอมดูลูกถูกทุบตี และถูกข่มขืน ผู้พิพากษาพยายามไกล่เกลี่ยด้วยการถามว่าอาลีต้องการกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับสามีอีกครั้งหรือไม่ เด็กสาวยืนยันหนักแน่นว่าไม่ สิ่งเดียวที่ต้องการคือการหย่า เธอเล่าให้ผู้พิพากษาและลูกขุนฟังว่า “ในคืนแรกของการแต่งงาน เขาพยายามขอมีเซ็กซ์ด้วย ด้วยความกลัวจึงตัดสินใจวิ่งหนีออกจากห้องไปหาพ่อแม่ แต่พวกเขาช่วยอะไรไม่ได้เลย ในคืนต่อ ๆ มา ฉันขอร้องไม่ให้เขานอนข้าง ๆ แต่เขาปฏิเสธแล้วบอกว่าพ่อยกฉันให้เขาแล้ว เขาจะทำอะไรก็ได้ แล้วทำไมคุณถึงต้องการให้ฉันกลับไปอยู่กับผู้ชายคนนี้อีก” การฟ้องหย่าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนชาวเยเมนจำนวนมาก พวกเขาติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิด เพราะทุกคนต่างรับรู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครกล้าออกมาพูดตรง ๆ เท่าไหร่นัก“ในประเทศของเราผู้ชายจะออกคำสั่ง และผู้หญิงต้องทำตามคำสั่งนั้น”
– นูจูด อาลี
วันที่ 15 เมษายน 2008 ศาลตัดสินให้ นูจูด อาลี หย่าขาดจากสามีได้ ถือเป็นกรณีแรกในประวัติศาสตร์เยเมนที่เด็กสาวยังไม่บรรลุนิติภาวะฟ้องหย่าแล้วได้หย่า ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้ในเวลาต่อมามีเด็กผู้หญิงหลายคนยื่นเรื่องฟ้องหย่าแบบเดียวกับที่อาลีทำ ส่วนพ่อกับอดีตสามีถูกจำคุกในเวลาสั้น ๆ ฐานสมรู้ร่วมคิดโกหกปกปิดศาลเรื่องอายุเยาวชน (หากเป็นประเทศอื่นคงโดนโทษหนักกว่านี้มาก) ทางด้านอาลีที่ถูกสื่อรุมสัมภาษณ์ก็ยืนยันเหมือนทุกครั้งที่ถูกถามว่าการหย่าคือความต้องการแท้จริง ตอนนี้เธอยังไม่สามารถทำหน้าที่แม่ที่ดีได้เพราะอายุแค่ 10 ขวบ หลังการฟ้องร้องจบลงด้วยการหย่า อาลีต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเพราะเป็นเยาวชน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเธอได้กลับไปเรียนอีกครั้ง ได้วางแผนชีวิตตัวเองพร้อมตั้งเป้าว่าโตขึ้นจะเป็นทนายความ ทนายนัสเซอร์เคยถามอาลีว่าหลังคดีนี้จบลงเธอต้องการพบจิตแพทย์หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไปเพราะประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้แข็งแกร่งและฉลาดขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ แถมตอนนี้ยังรู้สึกสบายดีและตื่นเต้นที่จะได้มีชีวิตใหม่ เมื่ออาลีถูกถามว่าอะไรที่ทำให้ยิ้มได้ เธอนึกตามอยู่ชั่วครู่ ยิ้มอย่างเขินอายพร้อมตอบว่า “ทอม แอนด์ เจอร์รี่ และการหย่าร้างของฉัน” เรื่องของนูจูด อาลี กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก นักเขียนและนักข่าวชื่อดัง เดลฟีน มีนุย (Delphine Minoui) เดินทางจากฝรั่งเศสไปยังเยเมนเพื่อสัมภาษณ์และพูดคุยกับอาลี เพื่อนำเรื่องราวชีวิตไปเขียนหนังสือชื่อว่า ‘ฉันชื่อนูจูด อายุ 10 ขวบ และผ่านการหย่าร้างมาแล้ว’ (I Am Nujood, Age 10 and Divorced) ผลงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในปี 2009 แปลไปกว่า 16 ภาษา และจำหน่ายมากกว่า 35 ประเทศทั่วโลก“ฉันเกลียดผู้ชายคนนี้ ฉันเกลียดการแต่งงานครั้งนี้
ฉันแค่อยากชีวิตที่เลือกเองและได้ไปโรงเรียนก็เท่านั้น”
เมื่อสื่อถามถึงสามีเก่า เธอเล่าว่าตอนนี้เขาแต่งงานใหม่กับผู้หญิงอีก 4 คน และมีลูกทั้งหมด 14 คน ประสบการณ์การถูกจับขึ้นศาลหรือความเจ็บปวดของเธอไม่ได้ทำให้ชายคนนี้เรียนรู้อะไรเลย เมื่อการกระทำของพ่อกับอดีตสามีถูกตีข่าว ผู้คนต่างโกรธแค้นและต้องการคำอธิบาย สำนักข่าว The Guardian ต้องการพูดคุยกับพ่อของอาลี แต่เขาปฏิเสธที่จะคุยกับสื่อแต่กล่าวสั้น ๆ ว่า ตนกำลังพยายามแก้ไขปัญหามากมายนี้ ทางด้านทนายซาดา นัสเซอร์ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากที่อยู่เคียงข้างกับอาลีมานาน เมื่อรัฐบาลยอมคืนหนังสือเดินทางให้อาลี นัสเซอร์ร่วมเดินทางไปยังนิวยอร์กกับเด็กสาวเพื่อโปรโมตหนังสือ เธอเล่าว่าอาลีมีความสุขมากตอนไปนิวยอร์ก “แต่ฉันว่านายอาดัล (พ่อของอาลี) คงคิดว่าฉันพาเธอออกไป และต้องกลับมาพร้อมกับเงินที่อัดแน่นอยู่เต็มกระเป๋าเดินทาง เขาคิดได้แค่นี้จริง ๆ”“ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเอาเงินมาจากไหน
แต่สุดท้ายนึกขึ้นได้ว่า ฉันทำให้เขามีเงินซื้อภรรยาใหม่ถึงสองคน”
- นูจูด อาลี พูดถึงพ่อของเธอ
“เมื่อเทียบความฝันกับความจริง ความจริงโหดร้ายกว่ามาก
แต่หากเปลี่ยนมุมมอง มันก็เป็นความโหดร้ายที่งดงามแบบประหลาดดี”
ที่มา https://www.nytimes.com/2010/03/04/opinion/04kristof.html https://www.theguardian.com/world/2013/mar/12/child-bride-father-cash-spend https://www.womeninislamjournal.com/articles/2019/7/22/the-heroine-of-brides https://www.newyorker.com/news/news-desk/a-ten-year-olds-divorce-lawyer https://gulfnews.com/general/nujood-ali-the-child-bride-1.40525 เรื่อง: ตรีนุช อิงคุทานนท์