“บางคนเรียกผมว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ความจริงก็คือ ความกล้าเสี่ยงของผมมากกว่าคนอื่นมาก และความกล้าหาญในสิ่งที่ผมเชื่อมั่นก็ไม่อาจสั่นคลอนได้”
ท่ามกลางศึกเลือกตั้งของสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้เข้ามา ชาวอเมริกันและนักลงทุนต่างชาติต่างจับตามองผู้ท้าชิงคู่สำคัญจากทั้ง 2 พรรคใหญ่ ทั้งคนคุ้นตาอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงคนใหม่จากฝั่งเดโมแครต ว่าใครจะได้เก้าอี้ประธานาธิบดีในรอบนี้ไปครอง แต่หากลองมองย้อนกลับไปในปี 2016 สมัยที่ทรัมป์เป็นผู้ชนะ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ชัยชนะที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล มาจากชายคนหนึ่ง ผู้อยู่เบื้องหลังเม็ดเงินมากมายที่สนับสนุนรีพับลิกันมายาวนาน พร้อมดันทรัมป์สู่เป้าหมายในทำเนียบขาว
ชายคนนั้นคือ เชลดอน อะเดลสัน (Sheldon Adelson) หรือที่คนรู้จักกันในบทบาทเจ้าพ่ออาณาจักรกาสิโนวัย 87 ปี เขาเป็นทั้งซีอีโอและเจ้าของ Las Vegas Sands ผู้ให้บริการโรงแรมและกาสิโนระดับเวิลด์คลาสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ครอบคลุมตั้งแต่ The Venetian Las Vegas, The Palazzo, The Sands Macao รวมถึงรีสอร์ตสุดหรูในสิงคโปร์อย่าง Marina Bay Sands ที่ปรากฏอยู่ในฉากภาพยนตร์ Crazy Rich Asian จนนิตยสาร Forbes มอบอันดับ 28 จากอันดับคนที่รวยที่สุดในโลกในปีนี้ให้กับเขา จากทรัพย์สินกว่า 2.6 หมื่นล้านเหรียญที่เขาครอบครอง
ทว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะอะเดลสันเติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่ได้มีต้นทุนสูงมาก เขาเกิดที่เมืองบอสตันในปี 1933 ภายในครอบครัวชาวยิวที่อพยพมาจากต่างแดน โดยมีคุณพ่อเป็นคนขับรถแท็กซี่ และคุณแม่เป็นเจ้าของร้านเย็บผ้าเล็ก ๆ ในเมืองเพียงเท่านั้น ชีวิตวัยเด็กของเขาจึงไม่ง่าย แต่แม้ว่าจะยังเด็ก อะเดลสันก็ฉายแววบนเส้นทางค้าขายมาตั้งแต่อายุ 12 เมื่อเขาเดินไปขอยืมเงินคุณลุง 200 เหรียญสหรัฐ เพื่อไปซื้อใบอนุญาตขายหนังสือพิมพ์อยู่ที่หัวมุมถนน ก่อนจะทดลองค้าขายเล็ก ๆ ด้วยการขายโฆษณาในแมกกาซีน และก้าวสู่มหาวิทยาลัยมหานครนิวยอร์ก (City College of New York) เรียนในสายการเงินและอสังหาริมทรัพย์
แต่เรียนยังไม่ทันจบ อะเดลสันก็ตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพเพื่อรับใช้ชาติ ก่อนจะออกมาทำงานด้วยอาชีพนักจดชวเลข คอยจดบันทึกคำให้การต่าง ๆ ในศาล และเริ่มเดินสายธุรกิจเต็มตัวในวัย 30 ปีจากการเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ใช้เวลาลองผิดลองถูกจนเริ่มมีธุรกิจมากกว่า 50 แห่งในมือ
จุดหักเหที่นำพาเม็ดเงินมหาศาลมาสู่เขาเกิดขึ้นในปี 1979 เมื่ออะเดลสันเริ่มธุรกิจจัดงานซื้อขายคอมพิวเตอร์อย่าง Computer Dealers Expo (COMDEX) ตรงกับจังหวะที่บริษัทเทคโนโลยีกำลังเติบโตอย่างพุ่งพรวด ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจขายให้กับ SoftBank ด้วยมูลค่า 862 ล้านเหรียญสหรัฐในเวลาต่อมา นับได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด จนกระโจนเข้าสู่ธุรกิจกาสิโนในปี 1989 ด้วยการซื้อ The Sands Hotel & Casino ในลาสเวกัสยามอายุ 55 สร้างสรวงสวรรค์แก่นักเสี่ยงโชค และขยายอาณานิคมการพนันระดับโลกจนยิ่งใหญ่ทั้งในอเมริกาและเอเชียในปัจจุบัน
“ผมไม่เคยคิดเกี่ยวกับการร่ำรวย และมันไม่เคยเข้ามาในความคิดของผมเลย แต่สิ่งที่กระตุ้นผมจริง ๆ คือการพยายามทำบางสิ่งบางอย่างให้ประสบความสำเร็จ” นี่อาจจะนับเป็นเคล็ดลับความสำเร็จทางธุรกิจของอะเดลสัน ที่มีเบื้องหลังเป็นการลองผิดลองถูกตั้งแต่วัยเด็ก บวกกับความมุ่งมั่น จนกลายเป็นแรงบันดาลใจสู่นักธุรกิจรุ่นต่อมา
เมื่อบทบาทนักบริหารเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็ได้เวลาใช้เงินต่อยอดความเชื่อมั่นและอุดมการณ์ส่วนตัวในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนอิสราเอลและยิว ด้วยพื้นฐานครอบครัวที่เป็นชาวยิว และภรรยา ผู้เติบโตมาในอิสราเอล เขาจึงริเริ่มก่อตั้งองค์กรการกุศลในนาม มูลนิธิอะเดลสัน (Adelson Foundation), บริจาคเงินให้โปรแกรมส่งเด็กไปเรียนรู้ในประเทศอิสราเอล หรือองค์กรเพื่อชาวยิวมากมาย และบริจาคให้พรรคการเมืองอย่างรีพับลิกัน เพราะอะเดลสันเชื่อว่า รีพับลิกันจะสนับสนุนนโยบายเพื่ออิสราเอลและทำการกุศลมากกว่าพรรคเดโมแครต ซึ่งจะส่งผลดีต่อชาวอเมริกัน ชุมชนชาวยิว และสังคมอิสราเอล
[caption id="attachment_28517" align="aligncenter" width="734"]
LAS VEGAS, NV - OCTOBER 01: Las Vegas Sands Corp. Chairman and CEO Sheldon Adelson speaks at the Global Gaming Expo (G2E) 2014 at the Venetian Las Vegas on October 1, 2014 in Las Vegas, Nevada. The American Gaming Association sponsors the annual gaming industry trade show and conference which runs through October 2 and is expected to feature 485 exhibitors showing off their latest products and services to about 27,000 attendees. (Photo by Ethan Miller/Getty Images)[/caption]
“ผมเป็นคนประเภทที่สนใจประเด็นปัญหาเดียว และประเด็นนั้นก็คือ อิสราเอล” เขากล่าวกับสื่อเมื่อปี 2017
นับว่าเป็นเรื่องปกติในสหรัฐฯ ที่นักธุรกิจจะระดมทุนให้เงินบริจาคกับพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่ชอบและต่อต้านผู้สมัครที่ไม่เห็นด้วยโดยตรงผ่านกลุ่มรณรงค์ทางการเมืองหรือ Super PACs จึงไม่แปลกที่ในปีนี้เขาบริจาคให้โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อนำไปใช้ในการทำแคมเปญหาเสียงต่าง ๆ เช่น โฆษณาทางทีวี โฆษณาดิจิทัล หรือแคมเปญต่อต้านไบเดน โดยนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อะเดลสันและภรรยาใช้เม็ดเงินส่วนตัวผลักดันนักการเมืองจากพรรครีพับลิกัน เพราะที่ผ่านมา เขาเคยบริจาคสนับสนุน จอร์จ ดับเบิลยู บุช ตั้งแต่ปี 2008 ต่อด้วยการบริจาคกว่า 90 ล้านเหรียญให้แก่ มิตต์ รอมนีย์ และอีก 17 ล้านแก่ นิวต์ กิงริช ในปี 2012
สำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ เขาได้รับการสนับสนุนจำนวนมหาศาลกว่าใคร ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งช่วง 2016 ที่แย่งชิงเก้าอี้กับ ฮิลลารี คลินตัน จนมาถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2018 นับรวมแล้วมากกว่า 200 ล้านเหรียญ ถือเป็นสถิติที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จนได้ฉายาจากผู้คนว่าเป็น ‘ผู้อุปถัมภ์ทรัมป์’ เพื่อส่งทรัมป์เข้าสู่ทำเนียบขาวอย่างเต็มตัว จนอะเดลสันเล่าถึงทรัมป์ให้วอชิงตัน โพสต์ ฟังในปี 2016 ว่า “เขาเป็นอีกเรื่องราวความสำเร็จของซีอีโอ ที่แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณความมุ่งมั่นของอเมริกา ที่ก่อให้เกิดการดูแลธุรกิจของชาวอเมริกัน”
ในขณะที่ เครก โฮลแมน จากกลุ่ม Public Citizen ในฐานะผู้สังเกตการณ์ก็มองว่า “ผมขอจัดให้อะเดลสันอยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อผู้เข้าถึงและมีอิทธิพลในการบริหารของทรัมป์เลย และผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน แม้ผมจะศึกษาเรื่องการเงินในระบบการเมืองมา 40 ปีแล้ว”
มาถึงตรงนี้ เราอาจจะเริ่มสงสัยว่าการบริจาคของอะเดลสันนั้นคุ้มค่าอย่างไร ทำไมเขาถึงทุ่มเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ?
เรื่องแรกว่าด้วยการสนับสนุนอิสราเอล ทรัมป์ได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอลอย่างเช่น การย้ายสถานทูตอเมริกาในอิสราเอลจากเมืองเทลอาวีฟ มายังเมืองหลวงอย่างเยรูซาเลม หรือการโยนดีลซื้อขายนิวเคลียร์กับอิหร่านของโอบามา ทิ้ง ซึ่งนั่นดูจะเข้าเค้าความต้องการของอะเดลสันอยู่ไม่น้อย ควบไปถึงการช่วยเหลืออื่น ๆ ที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ก็มีการสันนิษฐานจากผู้คนว่าการบริหารของทรัมป์ ย่อมนับรวมอะเดลสันเข้าไปด้วย เช่น การคิดภาษีในการดำเนินกิจการนอกประเทศ โดยอาจไม่โดนตรวจสอบ หรือความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มจะทำให้กาสิโนถูกกฎหมายภายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย
มาถึงปีนี้ที่วิกฤตโควิด-19 พุ่งชนเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งหมายถึงเหล่ากาสิโนและรีสอร์ตของอะเดลสัน ที่ไม่อาจหนีพ้นตัวเลขจำนวนผู้ใช้บริการของ Las Vegas Sands ตกลงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นมูลค่าหลายล้าน ในจังหวะที่หุ้นร่วงลงแบบทิ้งดิ่งกว่า 54 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคม หากเป็นธุรกิจทั่วไป การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรงคงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่ธุรกิจจะพิจารณา แต่ไม่ใช่กับอะเดลสันและอาณาจักรการพนันของเขา เพราะถึงแม้จะได้รับผลกระทบไม่น้อย จำนวนเงินสดกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ที่เขามีและแรงจูงใจที่มากพอทำให้เขาสามารถบริจาคให้ทรัมป์ถึง 180 ล้านเหรียญได้อยู่ดี ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้จะมาถึง
หากมองตัวเลขในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าจำนวนเงินบริจาคเพื่อแคมเปญของทรัมป์และผลสำรวจโพลยังเป็นรองโจ ไบเดน อยู่บ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายถึงโอกาสครองเก้าอี้สมัยที่ 2 ที่จะหายไป เพราะตัวเลขบนโพลของฮิลลารีที่แซงทรัมป์ในศึกครั้งก่อนระหว่างทั้งคู่ก็ไม่อาจทำให้เธอชนะได้ กลายเป็นประเด็นถกเถียงของชาวอเมริกันหลายฟากฝั่ง
แม้ความรวยของเขาไม่อาจเสียหายมากจากวิกฤตใด ๆ แต่วัย 87 ปีของอะเดลสัน ที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจอย่างมหาศาลก็ไม่อาจทำให้เขาหนีพ้นปัญหาสุขภาพเช่นคนทั่วไป เพราะเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว มะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้โจมตีเขาด้วยคำวินิจฉัยจากหมอ ซึ่งยังโชคดีที่การโจมตีครั้งนี้ยังไม่รุนแรงถึงชีวิต หากแต่ผลข้างเคียงจากการรักษาทำให้เขาไม่สามารถบริหารงานได้ดังเดิม จำเป็นต้องหยุดพักรักษากว่า 8 เดือนจนกลับมาคุมบังเหียนต่อได้ในเดือนตุลาคม นับเป็นอุปสรรคที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยวัยชราที่เผชิญ
แต่ในปัจจุบัน ความหลงใหลยังขับเคลื่อนให้เขาเดินหน้าบริหารเต็มที่ ด้วยการเริ่มเปิดดีลการขายอสังหาฯ 3 แห่งบนเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญในลาสเวกัสที่ผู้คนมักมาเยี่ยมชม ตั้งแต่ The Venetian Resort Las Vegas, The Palazzo และ The Sands Expo Conventional Center ด้วยมูลค่าราว 6 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 186.78 แสนล้านบาท) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายหลักในเอเชียอย่างมาเก๊าและสิงคโปร์
ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจและน่าติดตามต่อไปคือ ผลการเลือกตั้งที่กำลังจะปรากฏ เพราะหากทรัมป์ยังรักษาตำแหน่งได้ อุดมการณ์สนับสนุนอิสราเอลของเขาอาจจะถูกบั่นทอน เนื่องจากสงครามการค้ากับจีนที่ทรัมป์สนับสนุนอาจจะเป็นภัยต่อกาสิโนในมาเก๊าของอะเดลสัน ชวนพิจารณาว่านโยบายเพื่ออิสราเอลที่เขาต้องการจะยังดำเนินต่อไปหรือไม่ และไม่ว่าอย่างไร เราก็อาจเชื่อได้ว่า อะเดลสันจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งทางธุรกิจเคลื่อนต่อไปได้อย่างมั่นคงขนานไปกับความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเขา
ที่มา
https://www.forbes.com/sites/michelatindera/2020/10/27/no-dividends-no-problem-trump-megadonor-sheldon-adelson-has-given-at-least-180-million-this-year-despite-troubles-at-his-company/?fbclid=IwAR1RSecGDja86-kjLcAoEUpw9375tiDQXbQBTVp3qXlblNRfbuavx0gru9w&sh=1ca718bc2ec4
https://www.cnbc.com/2020/09/16/2020-election-sheldon-adelson-plots-spending-spree-to-help-trump-.html
https://edition.cnn.com/2020/10/27/investing/las-vegas-sands-sale-sheldon-adelson/index.html
https://features.propublica.org/trump-inc-podcast/sheldon-adelson-casino-magnate-trump-macau-and-japan/
https://www.businessinsider.com/who-is-sheldon-adelson-billionaire-casino-mogul-megamansion-trump-2019-5#sheldon-adelson-is-the-86-year-old-billionaire-behind-the-worlds-largest-casino-operator-las-vegas-sands-1
เรื่อง: สิทธรัตน์ วนธรรมพงศ์