06 มิ.ย. 2565 | 13:00 น.
“สมัยก่อนอาจจะไม่มีอุปกรณ์ชั่งตวงวัดแบบสมัยนี้ แต่แกจะยึดหลักง่าย ๆ อย่างชามตราไก่ ใช้น้ำตาลกี่ถ้วย กะทิกี่ถ้วย แล้วจดเป็นสูตร จากนั้นสัก 60 ปีเริ่มต้นสร้างแบรนด์ใช้ชื่อว่า หมีบินไอสครีม เนื่องจากยุคนั้นตราสินค้าจะเป็นกระต่ายบิน ช้างบิน อะไรสารพัดบินที่เกิดขึ้น จนเมื่อประมาณ 20 ปีต่อมา รีแบรนด์จากหมีบินมาเป็นไผ่ทองไอสครีม ซึ่งมาจากคำว่า ‘กิมเต็ก’ ในภาษาจีน ที่มีความหมายว่า ไอศกรีมคุณธรรมดั่งทอง ตอนแรกพ่อพี่จะใช้ชื่อนี้ แต่ชื่อยาวไปเลยใช้ไผ่ทองแทน” คุณรตาย้อนอดีตให้ฟังฟังเสียงลูกค้าให้มากแล้วปรับให้ทัน
“ต้องเข้าใจก่อนตอนนี้บริบทของโลกและคนเปลี่ยนไป เราเองก็จะต้องปรับตัวไปด้วย ธุรกิจไผ่ทองเป็นอะไรที่พวกเราค่อย ๆ สร้างขึ้นมา ไม่อยากให้หายไป และอยากให้มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทย”ยกตัวอย่าง ยุคเริ่มแรกไผ่ทองไอสครีมจะตั้งเป็นตู้ขายตามร้าน แต่เมื่อลองสังเกตพฤติกรรมลูกค้าจะพบว่า ส่วนใหญ่จะอยากกินไอศกรีมเมื่อเห็น ไม่ใช่อยากกินแล้วเดินหา จึงปรับรูปแบบมาเน้นขายด้วยรถเข็นหรือรถพ่วง ซึ่งเป็นวิธีที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ไผ่ทองเข้าไปอยู่ในใจของคนไทย และชัดเจนมากขึ้นเมื่อ 4 ปีที่ผ่านในช่วงส่งไม้ต่อจาก Gen 2 ไป Gen 3 ด้วยการปรับทุกอย่างให้เป็นระบบ มีการเช็กสถิติและฟังเสียงลูกค้ามากขึ้น เพื่อจะรักษาฐานลูกค้าเก่า และปรับตัวเข้าถึงคนรุ่นใหม่
“เราฟังเสียงผู้บริโภคค่ะ ไม่ว่าจะ complain หรือ comment บางคนบอกโอ้ยรถไผ่ทองเขาไม่เน้นขาย เน้นขับโชว์ เราได้ยินหมด แล้วนำเรื่องเหล่านี้มาแก้ไขปรับปรุงไปทีละจุด”จากการฟังและเช็กสถิติต่อเนื่อง สิ่งที่พบคือ สาขาเมืองชั้นในมียอดขายตกลง ขณะที่สาขาต่างจังหวัดยังดีอยู่ เนื่องจากไผ่ทองมีคู่แข่งทางอ้อม นั่นก็คือ เหล่าบรรดาไรเดอร์ที่ให้บริการเดลิเวอรี เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคปลายทางเริ่มเปลี่ยนไป เช่น ในอดีตช่วงพักกลางวันคนจะลงมาหาอะไรกินข้างล่าง ตอนนี้ทุกคนควักโทรศัพท์ขึ้นมาสั่ง แล้วให้ไปส่งถึงที่ ไม่ยอมลงมาเจอรถไผ่ทองอีกต่อไป ทั้ง ๆ ที่ยังขายอยู่ที่เดิม
“ตู้จะมีระบบ AI คอยส่งมาที่ส่วนกลางถึงข้อมูลต่าง ๆ เราก็ค่อย ๆ เรียนรู้ไป ตอนตั้งอยู่โรงงานไม่งอแงนะ อาจเพราะการสั่งไม่เยอะ ตอนนี้ได้ยินมาจาก Blogger หลายที่ว่าตู้มีปัญหา เพราะมีการใช้จำนวนมากและต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ส่วน Vending machine เครื่องที่ 2 จะวางในอีกไม่นาน ตัวนี้มีท็อปปิ้งในเครื่องด้วย”เมื่อถามว่า ไอศกรีมรสชาติไหนขายดีสุด แน่นอน Top hit ของไผ่ทอง อันดับ 1 หนีไม่พ้น ‘รสกะทิ’ ตามมาด้วย ‘รสโกโก้’ และ ‘ชาเขียว’ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายใด ถ้าเป็นเด็ก จะเน้นสีสัน เช่น ‘รสมะนาว’ โดยรสชาติของไอศกรีมทั้งหมดมาจากตัวสินค้าจริง ๆ เช่น รสกะทิ ทำจากกะทิคั้นสด ไม่ใช่กะทิผง รสเผือก จะเป็นการนำเผือกไปต้มแล้วบดผสมกับไอศกรีม หรือรสมะนาว ก็ทำมาจากมะนาวแท้ เตรียมส่งออกไอศกรีมวิถีไทยให้คนทั่วโลก ดูเหมือนว่า ไผ่ทองพยายามปรับตัวเพื่ออัปเกรดตัวเองเข้าสู่ตลาดพรีเมียม คำถามนี้คุณรตาตอบว่า ไผ่ทองรู้ positioning ของตัวเองชัดเจนว่า เป็นสินค้าสำหรับตลาดกลางถึงล่าง ส่วนจะขยับไปตลาดบนหรือไม่ วันหนึ่งน่าจะทำ แต่ไม่ใช้ตราสินค้าไผ่ทอง เพราะรู้ดีว่าจุดยืนและฐานลูกค้าของตัวเองที่แข็งแรงมาตลอด 71 ปีอยู่ที่ไหน โดยสิ่งที่ไผ่ทองทำมาทั้งหมด เป็นการปรับตัวเพื่อเข้าถึงคนยุคใหม่
“ไผ่ทองมีมานาน เป็นสินค้าที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคนที่ตอนนี้อายุมากขึ้น แต่กับคนรุ่นใหม่บางคนเริ่มไม่รู้จักเราแล้ว เราเลยต้องมาเรียนรู้ทำความเข้าใจกับลูกค้ากันใหม่”
“วันนี้ตัวไผ่ทองพัฒนาเป็นลักษณะของ dropship ใคร ๆ ก็ขายสินค้าเราได้ ขอแค่มีมือถือ และเราเองมีทีมงานแข็งแรงมาก ดังนั้นในวันหนึ่งชาวโลกค่ะ ใช้คำว่าชาวโลกอาจจะมีสิทธิ์ได้กินไอศกรีมวิถีไทย ๆ ที่ based on กะทิ น่าจะเป็นอนาคตอันใกล้ ตอนนี้เราเตรียมการไว้แล้ว”สุดท้ายคุณรตาย้ำว่า ไผ่ทองไอสครีมยังต้องเดินทางอีกไกล และจะพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่หยุด เพื่อส่งต่อความสุขถึงผู้คนแบบรุ่นต่อรุ่นผ่านไอศกรีม และยังยืนคำเดิมว่าจะยังคงรักษาเรื่องของคุณธรรมในการทำการค้า และคุณธรรมของการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสู่ผู้บริโภค เช่นเดียวกับที่ทำมาตลอด 71 ปี