27 ก.ค. 2565 | 14:30 น.
“ฉันจะฆ่าทุกคนที่อากิฮาบาระ!”
ข้อความส่วนหนึ่งของ ‘โทโมฮิโระ คาโตะ’ (Tomohiro Kato) ชายวัย 25 ปี โพสต์ไว้บนเว็บบอร์ด ในวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2008 เวลา 05.21 น. ช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังคงหลับใหล และคงไม่มีใครคาดคิดว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงจะเกิดเหตุการณ์สุดช็อกขึ้นตามที่เขาลั่นวาจาไว้
เริ่มก่อเหตุ
หลังจากประกาศเจตนารมณ์ออกไปในช่วงเช้าตรู่ อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา คาโตะได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านโลกออนไลน์อีกครั้ง เขาบอกคนแปลกหน้าในอินเทอร์เน็ตว่า “ใกล้ถึงเวลาที่ฉันต้องออกไปแล้ว”
จากนั้นเวลา 12.33 น. เหตุการณ์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นจริง คาโตะขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ฝ่าไฟแดงไปยังย่านอากิฮาบาระในเวลาเที่ยงวัน ท่ามกลางผู้ที่ออกมาใช้วันหยุดพักผ่อนร่วมกับคนในครอบครัว เขาหมายมั่นเอาไว้อย่างดีว่าจะต้องเอาคืนสังคมที่กดขี่ กลั่นแกล้ง และไม่เห็นค่าของเขาให้ถึงที่สุด
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 3 ราย และบาดเจ็บสาหัสจากการถูกรถบรรทุกพุ่งชน 2 ราย เขาไม่แยแส มองผู้คนที่ดิ้นทุรนทุรายจากการกระทำของเขาอย่างเฉยชา เพราะนี่คือการแก้แค้น ความแค้นที่เขาโดนเพิกเฉยมาเป็นเวลานาน คาโตะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขากระโดดลงจากรถ เดินฝ่าฝูงชนเข้าไปเพื่อทำภารกิจต่อให้สำเร็จ
เขาคว้ามีดออกมาจ้วงแทงคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอย่างไม่ลังเล แม้เสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนด้วยความหวาดกลัวจากฝูงชนจะดังมากเพียงใด แต่เขาไม่สนใจ ยังคงหันใบมีดไปยังผู้บริสุทธิ์เพื่อปลิดชีพพวกเขา เพราะคนเหล่านี้คือต้นเหตุที่ทำให้จิตใจของเขาแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
“ผมมาที่อากิฮาบาระเพื่อฆ่าคน! ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะเป็นใคร ผมจะฆ่ามันทิ้งให้หมด!”
เสียงตะโกนที่ทั้งบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด และสั่นพร่าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจของคาโตะ ยิ่งปลุกเร้าให้ผู้คนแถวนั้นหวาดหวั่น ชายตรงหน้ากำลังต่อสู้กับความวิกลจริตในจิตใจอย่างหนักหน่วง ไม่มีใครรู้ว่าชายคนนี้ผ่านเรื่องเลวร้ายมามากเพียงใด รู้เพียงแค่ว่าเขากำลังเสียสติและกำลังทำให้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ต้องตกอยู่ในอันตราย
ความบ้าคลั่งที่เขาปลดปล่อยออกมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากการถูกแทงทันที 4 ราย และบาดเจ็บอีก 8 ราย รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 7 ราย เป็นผู้ชาย 6 คนและผู้หญิง 1 คน ซึ่งผู้เคราะห์ร้ายมีอายุตั้งแต่ 19 - 74 ปี คาโตะไม่เลือกเหยื่อ เพราะเขาพร้อมลงมือทำร้ายทุกคนที่ขวางหน้า ตั้งแต่นักศึกษาที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย พนักงานบริษัท เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ไปจนถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่มีกำลังมากเพียงพอที่จะหยุดการกระทำอันโหดร้ายของชายตรงหน้าได้
แม้เหตุการณ์ทุกอย่างจะชุลมุนมากเพียงใด แต่คาโตะก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวได้ในที่สุด เขาไม่แสดงท่าทางขัดขืน มีเพียงแววตาเลื่อยลอยที่ส่งออกมา ผู้ก่อเหตุวัย 25 ไม่คิดหนี เพราะนี่คือความบ้าคลั่งครั้งสุดท้ายที่เขาจะปลดปล่อยมันออกมา
คาโตะวางมีดลง ยอมให้จับกุม เป็นอันจบเหตุการณ์สังหารที่ใช้เวลาก่อเหตุเพียงแค่ 3 นาที..
ชายผู้โดดเดี่ยว
กว่าจิตใจของเขาจะบิดเบี้ยวมากขนาดนี้ โทโมฮิโระ คาโตะ เคยเป็นเด็กชายอันเป็นที่รักมาก่อน เขาเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ พ่อเป็นนายธนาคาร ส่วนผู้เป็นแม่มีหน้าที่เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุด แม้จะใช้วิธีการที่เข้มงวดไปบ้าง อย่างการบังคับให้เขาเรียนแต่หนังสือ ห้ามดูทีวี ห้ามอ่านมังงะ หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อกวดขันลูกชายคนโตผู้เป็นความหวังของบ้านให้ประสบความสำเร็จ
ส่วนผู้เป็นพ่อได้แต่แสดงความห่วงใยต่อลูกชายอย่างห่าง ๆ ขณะที่น้องชายอีกคนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมรับการกระทำอันไร้เหตุผลของผู้เป็นแม่ คาโตะไร้ที่พึ่ง คนในครอบครัวไม่มีใครเหลียวแล ความโดดเดี่ยวเริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจเขาโดยไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีเขาก็กลายเป็นเด็กที่ยอมทำทุกอย่างตามที่ผู้เป็นแม่ต้องการ
คาโตะจบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำของจังหวัดอะโอะโมะริ (Aomori) ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เขาเป็นที่ 1 เสมอ แต่เมื่อย่างเท้าเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัย เขากลับพบแต่ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังสอบตกในหลายวิชา จนท้ายที่สุดก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัย และไปสมัครงานเป็นพนักงานดูแลเครื่องยนต์
จากเด็กชายคาโตะที่เคยเป็นที่ยอมรับ ก็เริ่มมืดหม่นขึ้นทุกวัน รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปเมื่อไหร่ไม่มีใครตอบได้ ความผิดหวังพุ่งกระแทกเขาอย่างจังอีกครั้งหลังจากถูกหญิงจากโลกอินเทอร์เน็ตหยุดติดต่อกับเขาเสียดื้อ ๆ หลังจากส่งรูปถ่ายตัวเองไปให้เธอดูผ่านทางอีเมล
ความวิปริตภายในจิตใจของเขาเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถูกสุมไว้เต็มอก และไม่สามารถเก็บมันเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาเลือกที่จะระบายความในใจลงไปในเว็บบอร์ด ปลดปล่อยความเกลียดชังต่อครอบครัว สังคม การเมือง และความอยุติธรรมทั้งหมดที่เขาต้องเผชิญ
อีกทั้งการทำงานเป็นพนักงานสัญญาจ้างชั่วคราวยิ่งกดดันให้เขาเครียดจนสมองแทบระเบิด แม้ภายนอกจะดูเหมือนคนปกติทั่วไป พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานบ้าง แต่บางครั้งเขาก็เลือกที่จะเก็บตัวเงียบ ปลีกวิเวกไปอยู่ในมุมส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งนี่เป็นลักษณะนิสัยที่มักพบได้ในคนญี่ปุ่น เพื่อนร่วมงานจึงไม่เห็นว่าการกระทำของคาโตะคือสิ่งที่ผิดปกติ
“เขามักเก็บตัวเงียบ การกระทำของเขาก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไป ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยมากเป็นพิเศษ แต่อย่างที่รู้กันดีว่าการเป็นพนักงานสัญญาจ้าง พวกเขาจะไม่ได้รับสวัสดิการมากมายนัก และการเป็นพนักงานชั่วคราวก็ทำให้เขาต้องทำงานกับคนไม่ซ้ำหน้า จึงไม่แปลกว่าทำไมถึงไม่มีใครสังเกตความผิดปกติของเขาเลยสักคน”
คดีของคาโตะก่อให้เกิดการโต้เถียงอย่างมากในสังคมญี่ปุ่น บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะสังคมที่กดทับจนทำให้ชายวัยยี่สิบต้น ๆ ใจแตกสลาย และอิทธิพลของสื่อออนไลน์ที่มีผลอย่างมากในการผลักให้ชายคนนี้ลงมือเลือกเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแบบสุ่ม รวมถึงการให้บริการด้านสุขภาพจิตที่ไม่ทั่วถึงยิ่งตอกย้ำว่าระบบการทำงานราชการล้มเหลว พวกเขาปล่อยปละละเลยคนในสังคมให้เผชิญหน้ากับความเครียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนำมาสู่เหตุการณ์อันน่าเศร้า
โทษประหารชีวิต
คาโตะถูกตัดสินประหารชีวิตในปี 2011 หลังจากศาลประจำกรุงโตเกียวกล่าวว่าการกระทำของเขา ‘ไม่เหลือเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์’ ระหว่างการไต่สวนคดี คาโตะได้เขียนจดหมายแสดงความสำนึกผิดต่อคนขับแท็กซี่วัย 56 ปี ซึ่งเป็น 1 ใน 10 คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของเขา โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า “เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทุกรายล้วนมีความฝัน มีอนาคตที่สดใส พวกเขามีครอบครัวอันอบอุ่น มีคนรัก และมิตรสหายที่คอยอยู่เคียงข้างในยามทุกข์ใจ”
เขาสำนึกผิดต่อหน้าศาล พร้อมทั้งบอกว่ายินดีที่จะรับโทษประหาร “ขอให้ผมได้ใช้โอกาสนี้ขออภัยทุกคน” แต่ท้ายที่สุดแล้วเขากลับเลือกที่จะยื่นอุทธรณ์ เพื่อลดโทษประหารชีวิตในปี 2015 แต่ก็ไม่เป็นผล
ส่วนทางด้าน ‘โยชิฮิสะ ฟุรุคาวะ’ (Yoshihisa Furukawa) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ได้พิจารณาเหตุและปัจจัยในการก่อเหตุของคาโตะ พบว่า “คาโตะได้เตรียมการอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนเปิดฉากสังหาร นับเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมและนำไปสู่เหตุการณ์ชวนสลดใจ ซึ่งโทษประหารชีวิตในคดีนี้ผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน และเล็งเห็นว่าชายคนนี้สมควรที่จะได้รับโทษจากการกระทำดังกล่าว”
การลงโทษประหารชีวิตคาโตะเริ่มขึ้นในเช้าวันที่ 26 กรกฎาคม 2022 โดยการแขวนคอในทัณฑสถานโตเกียว ถือเป็นการประหารชีวิตครั้งแรกของญี่ปุ่นในปีนี้ ภายใต้การบริหารของรัฐบาลคิชิดะ (Kishida Fumio) ตั้งแต่การประหารชีวิตนักโทษ 3 รายในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วไม่กี่ประเทศที่ยังคงใช้โทษประหารชีวิต เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับบทลงโทษดังกล่าว แม้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาคมโลกอยู่บ่อยครั้งก็ตาม
ภาพ: AFP
อ้างอิง:
https://www.theguardian.com/world/2022/jul/26/japan-executes-man-over-tokyo-stabbing-rampage-reports
https://www.bbc.com/news/world-asia-62301427
http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/7445694.stm
https://www.japantimes.co.jp/news/2022/07/26/national/crime-legal/tomohiro-kato-akihabara-execution/