‘พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย’ ชายผู้ชำระตราบาปวงการสีกากี เปิดฉากล่าฆาตกรต่อเนื่องใน The Serpent

‘พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย’ ชายผู้ชำระตราบาปวงการสีกากี เปิดฉากล่าฆาตกรต่อเนื่องใน The Serpent

‘พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย’ ตำรวจน้ำดีผู้ผลักดันให้ออกหมายจับแดง เพื่อให้ตำรวจทั่วโลกออกตามล่า ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ฆาตกรต่อเนื่อง ผู้ก่อคดีฆาตกรรมไปทั่วเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ซึ่งต่อมาเรื่องราวของฆาตกรรายนี้ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ The Serpent

  • ก่อนการไล่ล่าอสรพิษหรือฆาตกรต่อเนื่อง ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ จะเปิดฉากขึ้น ‘พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย’ กำลังพักร้อนอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้ตำรวจนายหนึ่งรักษาการแทน จนกระทั่งอ่านเจอข่าวจากหนังสือพิมพ์ พบศพหญิงสาวนิรนามในสภาพสวมชุดบิกีนี่ เขาจึงทิ้งวันหยุดและกลับมาทำคดีทันที
  • แต่คดีนี้กลับไม่ค่อยได้รับร่วมมือจากตำรวจสากล เพราะช่วงเวลานั้นภาพลักษณ์ของตำรวจที่ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากฆาตกรต่อเนื่องรายนี้เคยถูกสอบสวนโดยตำรวจไทย แต่ได้รับการปล่อยตัวไป จึงทำให้เขาต้องกอบกู้ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือกลับคืนมา 
  • วันที่ 21 ธันวาคม 2022 ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ฆาตกรต่อเนื่องชาวฝรั่งเศสวัย  78 ปีได้รับการปล่อยตัวจากคุกในเนปาล หลังถูกคุมขังมานาน 19 ปี 

เป็นเวลา 46 ปีแล้วที่ประเทศไทยได้เกิดเหตุการณ์น่าสะพรึงขึ้นในช่วงเวลาที่มวลดอกไม้ผลิบาน ช่วงเวลาที่เหล่าคนหัวขบถ ผู้ต่อต้านโลกทุนนิยม วัตถุนิยม และสงคราม ต้องการแสวงหาโลกในอุดมคติ ปราศจากกฎเกณฑ์ตายตัว จนเกิดเป็นวัฒนธรรมบุปผาชน

เพราะพวกเขาเบื่อเต็มทีกับการอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสงคราม การสร้างตัวตนผ่านโลกอีกใบจึงเป็นสิ่งที่เหล่าบุปผาชนใฝ่หา ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของ ‘เส้นทางบุปผาชน’ (The Hippie Trail) ที่เริ่มจากลอนดอน ยุโรปตะวันออก สู่เอเชียกลาง และสิ้นสุดที่อินเดีย จากนั้นก็เดินทางต่อเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นี่คือเส้นทางที่จะทำให้ ‘ตัวตน’ ของพวกเขาได้รับการยอมรับ

จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ภาพลักษณ์เมืองสวรรค์อย่างไทยพังครืนลงมา จากสยามเมืองยิ้มกลับกลายเป็นสวรรค์ของฆาตกรต่อเนื่อง ‘ชาร์ลส์ โสภราช’ ผู้มีสมญานามว่าอสรพิษ (The Serpent) จนนำมาสู่การสร้างเป็นซีรีส์ของ BBC ในชื่อเดียวกัน (สามารถรับชมได้ใน Netflix)

แต่สวรรค์ของอสรพิษรายนี้ พลันถูกเปลี่ยนให้เป็นนรกบนดินแทบทันใด เมื่อ ‘พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย’ เปิดฉากล่าฆาตกรต่อเนื่องรายสำคัญของโลกอย่างไม่ลดละ จนนำมาสู่การออกหมายจับแดง ส่งสัญญาณให้ตำรวจทั่วโลกร่วมกันตามล่า ‘งูพิษ’ ให้มารับโทษตามกฎหมาย

และนี่คือเรื่องราวของ ‘พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย’ ผู้อยู่เบื้องหลังการจับกุมฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก แถมยังเป็นตำรวจน้ำดีที่ช่วยชำระล้างตราบาปวงการสีกากีให้กลับมาเป็นที่น่าเชื่อถืออีกครั้ง

 

จากนักศึกษากฎหมาย สู่ตำรวจผู้สู้ไม่ถอย

พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย อดีตผู้บังคับการกองการต่างประเทศ เขาเกิดและโตมาในครอบครัวอัยการทหารเรือ ชื่นชอบการเรียนภาษาต่างประเทศเป็นที่หนึ่ง แถมยังมีความฝันตั้งแต่เด็กว่าจะต้องเป็นนักบินให้ได้ แต่อย่างที่รู้กันดีว่าภาษากับคำนวณไปกันไม่ค่อยได้ เขาจึงล้มเลิกความฝันที่จะเป็นนักบินเพราะผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่ค่อยสู้ดี

หลังเรียนจบจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ เขาเลือกทางเดินชีวิตใหม่ ครั้งนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินตามรอยผู้เป็นพ่อ จึงเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ชีวิตของว่าที่นักกฎหมายไทย กลับพลิกผันอีกครั้ง หลังจากมีเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างการแข่งขันรักบี้ฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ ทำให้เขาเห็นแล้วว่าการจะผดุงความยุติธรรมได้นั้น คงหนีไม่พ้นการเป็น ‘ตำรวจ’

จากนักศึกษากฎหมายได้เบนเข็มมาสู่นายตำรวจอย่างเต็มตัว เริ่มจากการสอบนายสิบตำรวจ ขยับมาเป็นตำรวจสันติบาลร่วมสองปี จากนั้นจึงลงสนามสอบแข่งขันชิงทุน กพ. จนสามารถคว้าทุนและบินไปใช้ชีวิตในโรงเรียนเตรียมนายร้อยทหารบกอีตัน ฮอล์ล ประเทศอังกฤษ แล้วเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนสืบสวนสกอตแลนยาร์ด

4 ปีในรั้วโรงเรียนตำรวจทำให้เขามองเห็นกระบวนการทำงานที่เป็นสากล พอกลับมาที่ประเทศไทย เหมือนภาพฝันที่จะเห็นวงการสีกากีเป็นที่นับหน้าถือตา กลับเป็นแค่เพียงภาพอันเลือนราง เขากลับมาเป็น ร.ต.ต. ตำแหน่งรองสารวัตรสันติบาลคุมงานต่างประเทศ ดูแลฝั่งอเมริกาและยุโรป แต่ดูแล้วการขลุกตัวอยู่ในตำแหน่งนี้กับตำรวจสากลไทยที่มีอยู่แค่ 4 คน คงไปไม่ถึงฝัน จึงปรึกษาผู้ใหญ่ขอโยกย้ายไปอยู่กองต่างประเทศ เพื่อดูงานด้านตำรวจสากลเป็นหลัก

“ตอนแรกมีแต่ไปประชุมอย่างเดียว กลับมาทำรายงานเก็บ ๆ ไม่มีกิจกรรมอะไร ผมปรึกษาผู้ใหญ่ว่า ขอทำอย่างนี้ได้ไหม ผมมีความรู้เรื่องการสอบสวน ทำกองการต่างประเทศกับงานหน้าตำรวจสากลแจ้งเกิดได้ เพราะปกติเงียบ ไม่มีใครรู้จัก ผมติดต่อสถานทูตญี่ปุ่นขอความช่วยเหลือเรื่องวิทยุสื่อสาร ขอเครื่องเทเล็กซ์ เนื่องจากต้องติดต่อกับประเทศสมาชิกกระทั้งประสบความสำเร็จ” (จากบทสัมภาษณ์ “ผมไม่ได้คิดจะได้ความดีความชอบอะไร เพราะผมทำตามหน้าที่” เขียนโดย น สิยา เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ www.cops-magazine.com)

 

เปิดฉากตามล่าฆาตกรต่อเนื่อง

วัสยศ งามขำ ผู้สื่อข่าวสายอาชญากรรมของบางกอกโพสต์ เผยแพร่บทสัมภาษณ์ พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย ผ่านทางเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2021 ระบุว่า พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย ข้าราชการเกษียณวัย 90 ปี คือตำรวจไทยในอินเตอร์โพลที่ทำทุกวิถีทางเพื่อออกหมายจับแดง ส่งสัญญาณให้ตำรวจทั่วโลกจับโสภราช และแฟนสาว มารี-อองเดร เลอ แคลร์ (Marie-Andrée Leclerc) ชาวฝรั่งเศส-แคนาดา มารับโทษตามกฎหมาย ถึงจะน่าเสียดายที่งูพิษรายนี้ไม่ได้รับโทษในไทยเนื่องจากคดีความหมดอายุ แต่เขาก็ทำให้ชายคนนี้ทุกข์ใจไม่น้อย ถึงขนาดยอมทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวไปยังประเทศไทย

ในรายงานของ วัสยศ ยังได้ระบุคำบอกเล่าของ พล.ต.ต.สมพล สุทธิมัย ไว้ว่า เขาเริ่มทำคดี Serpent ขณะมียศเป็น พ.ต.ท. ตำแหน่งรองผู้กำกับตำรวจสากล เป็นหัวหน้าตำรวจสากล แต่กลับรู้ข่าวฆาตกรต่อเนื่องในไทยจากปากของภรรยาชาวฝรั่งเศสที่ทำงานในสหประชาชาติ แทนที่จะเป็นตำรวจไทยผู้รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยของคนในประเทศ

“...ภรรยาโทรศัพท์มาหาบอกว่าเพื่อนขอร้องให้ตามหาญาติคนหนึ่งเป็นผู้หญิงมาเมืองไทยแล้วหายตัวไป ผมอ่านข่าวทุกวัน กระทั่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงรูปหญิงสาวตายที่ชายหาดพัทยา ผมนึกได้รีบโทรบอกภรรยาให้เพื่อนไปดูศพที่โรงพยาบาลตำรวจว่าใช่ญาติที่ตามหาหรือไม่” (จากบทสัมภาษณ์ “ผมไม่ได้คิดจะได้ความดีความชอบอะไร เพราะผมทำตามหน้าที่” เขียนโดย น สิยา เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ www.cops-magazine.com)

โชคร้ายที่ศพชาวต่างชาตินิรนามที่พบ เป็นญาติของเพื่อนภรรยาจริง ๆ ตำรวจสากลสำนักงานใหญ่ จึงเร่งให้ตำรวจไทยสืบสวนการเสียชีวิต แต่ไม่ใช่แค่รายเดียว ยังขยายผลไปถึงชาวตุรกีที่หายตัวไปอีก 2 คน หลังจากทั้งคู่เข้าพักที่โรงแรมเพรสซิเดนท์ย่านปทุมวัน หลังจากที่ พล.ต.ต.สมพล ไปถึงกลับพบว่ายังไม่ได้เช็กเอาต์และทรัพย์สินยังอยู่ครบ เขาจึงเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและส่งรายงานเบื้องต้นให้กับทางตำรวจสากล ก่อนจะลาพักร้อนไปที่จังหวัดเชียงใหม่

แต่ดูเหมือนว่าการเป็นตำรวจจะไม่มีวันพักร้อน เพราะระหว่างที่กำลังเก็บเกี่ยวช่วงเวลาพักผ่อนอยู่นั้น เขายังคงติดตามอ่านข่าวอยู่เป็นระยะ จนเห็นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์พาดหัวข่าวพร้อมตีพิมพ์รูปถ่ายเหยื่อชาวต่างชาติหลายสิบราย เหมือนฟ้าถล่มลงตรงหน้า เขารีบเก็บของกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปตามจับฆาตกรรายนี้แทบทันที

ทีมแกะรอยแฟ้มคดีฆาตกรต่อเนื่องจึงเริ่มต้นขึ้น หลังจากเขาขอเข้าพบ พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น โดยมี พล.ต.ต.สมพล เป็นหัวหน้าทีม และผู้ร่วมคณะทำงานอีกไม่กี่คนอย่าง ‘พิชัย ชำนาญไพร’ นายเวรอธิบดีกรมตำรวจที่เป็นเพื่อนสนิท ‘ชาญชัย ศิริสิทธิ์’ ‘ไกรสิงห์ พิมลศรี’ ร่วมกับกองคดี และสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ต่อมาได้พบกับ ‘เฮอร์แมน คนิปเปนเบิร์ก’ (Herman Knippenberg) นักการทูตตำแหน่งเลขานุการตรีแห่งสถานทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ผู้ไม่ไว้ใจการทำงานของตำรวจไทยแม้แต่วินาทีเดียว แต่เพราะความมุ่งมั่นของหัวหน้าทีมสืบสวน คนิปเปนเบิร์กจึงยอมใจอ่อน และมอบหลักฐานที่เขาเก็บรวบรวมไว้ทั้งหมดให้กับ พล.ต.ต.สมพล

“ตอนนั้นแสดงว่าคนิปเปนเบิร์กไม่แฮปปี้กับตำรวจไทยเลย เพราะก่อนหน้านี้ตำรวจไทยทำที่เริ่มทำคดีนี้แล้ว แต่แล้วก็ปล่อยตัว โสภราช ไป ซึ่งเราก็พบว่าตอนนั้นตำรวจกองปราบหละหลวม ไม่ตรวจสอบพาสปอร์ตของคนร้ายให้ดีเพราะเป็นพาสปอร์ตปลอม เอารูปมาปะไว้ จึงไม่สามารถยืนยันตัวตนคนร้ายได้ว่าเป็นใครกันแน่ จึงปล่อยตัวไปตำรวจยุคนั้นอาจจะไม่ค่อยมีความรู้ คงอาจจะเห็นว่าชื่อไม่ตรง แล้วก็ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ โสภราช จึงถูกปล่อยไป” (จากบทสัมภาษณ์ จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก "The Serpent" เขียนโดย วัสยศ งามขำ เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2021 ผ่านทางเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์)

ภายหลังเขาทราบมาว่าเหตุผลที่ โสภราช หลบหนีการจับกุมจากตำรวจไทยไปได้ เพราะเขาใช้วิธีจ่ายเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่ทางฝั่งไทย จึงรอดออกมาได้ก่อนหมายจับจะมีผลทางกฎหมาย

แต่หลังจากหมายจับแดงว่อนไปทั่วโลก โสภราชและแฟนสาวยังคงไม่ทิ้งลาย ทั้งคู่ก่อคดีในอีกหลายประเทศแถบเอเชียใต้ สุดท้ายก็ตายรังถูกจับกุมที่อินเดีย เมื่อนักล่าอสรพิษรู้ข่าว เขารีบทำหนังสือขอตัวโสภราชกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแต่กลับถูกปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย

พล.ต.ต.สมพล จึงขออนุญาต พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจ เดินทางไปอินเดียพร้อมกับ พิชัย ชำนาญไพร นายเวรอธิบดีกรมตำรวจ เพื่อเข้าสอบปากคำผู้ต้องหาในเรือนจำตีฮาร์ นิวเดลี ซึ่งการไปสอบปากคำครั้งนี้ทำให้เขารู้แน่ชัดแล้วว่า โสภราชกลัวคุกไทยเสียยิ่งกว่าอะไร เพราะคดีที่โสภราชก่อยาวเป็นหางว่าว ทั้งฆ่ากดน้ำผู้หญิงที่พัทยา เผาศพทำลายหลักฐานผู้ชายอีกหลายราย ไปจนถึงวางยาคนต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย การกลับมาเมืองไทยคงไม่วายโดนโทษประหารชีวิต (ถ้าเขาถูกจับกุมที่ไทยจะได้รับโทษประหารชีวิตจริง ๆ)

ระหว่างถูกคุมขังในคุกอินเดีย โสภราช เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในแดนสวรรค์ เพราะเขาได้นำอัญมณีที่ซ่อนเอาไว้ก่อนเข้าคุก นำมาแปลงเป็นเม็ดเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่ แถมยังเป็นเจ้ามือจัดงานเลี้ยงให้ผู้คุมที่คอยดูแล และปรนนิบัติรับใช้เขาเยี่ยงราชาอีกต่างหาก

แต่งูพิษก็คืองูพิษอยู่วันยันค่ำ ทักษะการเอาตัวรอดของโสภราชลื่นไหลเสียยิ่งกว่าใคร ระหว่างงานเลี้ยงใหญ่ในเรือนจำ ซึ่งจัดขึ้นในเดือนมีนาคม 1986 ครบรอบ 10 ปีที่ถูกคุมขังพอดิบพอดี เขาแอบวางยานอนหลับในอาหารผู้คุม ก่อนจะเดินออกจากคุกไปอย่างง่าย ๆ

แต่ก็ถูกจับกุมกลับมาง่าย ๆ เช่นกัน วีรกรรมครั้งนั้น ส่งผลให้โทษของเขาเพิ่มขึ้นอีก 10 ปี (เวลาเดียวกับที่อายุความในไทยหมดลงพอดี) หลังจากนั้นทางการอินเดียก็ได้ส่งตัวเขากลับไปยังฝรั่งเศส ที่นั่นทำให้เขากลายเป็นราชาอีกครั้ง แม้ไม่ต้องเป็นโจรขโมยของนักท่องเที่ยว หรือสวมรอยเป็นพ่อค้าอัญมณีเหมือนอย่างอดีต ชีวิตเขาก็มีเงินเหลือใช้เป็นกอบเป็นกำ แหล่งรายได้ใหญ่มาจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อและขายลิขสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของเขา จนได้เงินมาใช้ราว 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สุดท้ายโสภราชก็หนีชะตากรรมไม่พ้นในปี 2003 เขาเดินทางไปยังเนปาล ประเทศที่คดีความของเขายังไม่หมดอายุ เพื่อไปเริ่มทำธุรกิจน้ำแร่ในกาฐมาณฑุ ที่นั่นเขาถูกคุมขังตามโทษจำคุกตลอดชีวิต ถึงจะไม่ได้รับโทษที่ไทย เพราะอายุความ 20 ปีหมดไปแล้ว แต่ พล.ต.ต.สมพล ก็ยังหวังว่าจะเห็นฆาตกรต่อเนื่องรายนี้รับโทษจากประเทศไทย แม้จะโดนคนใหญ่คนโตบางคนต่อว่าถึงความดื้อรั้นของเขาก็ตาม

“ตอนนั้นเราเคยรู้สึกว่าอยากได้ตัวมาดำเนินคดีในไทย แต่มันไม่ได้แล้ว มันหมดอายุความแล้ว 20 ปี เราก็อยากได้ผมอยากได้สิ แต่เจ้านายบางคนต่อว่าผมซะอีกว่าจะไปเอามาทำไม เสียเงินเสียค่าใช้จ่าย ผมก็บอกว่าไม่ได้ครับท่านมันฆ่าคนในเมืองไทย ท่านไม่เชื่อผมก็ถามอัยการสิ ถามเขาดู ท่านก็ไปถามอัยการ ๆ ก็บอกว่า ไม่ได้ครับ ต้องเอามาให้ได้ แต่ในที่สุดก็เอามาไม่ได้... และมันก็กลัวกลับมาเมืองไทยมากทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้กลับมารับโทษที่เมืองไทย” (จากบทสัมภาษณ์ จับเข่าคุยมือปราบฆาตกรต่อเนื่องชื่อกระฉ่อนโลก "The Serpent" เขียนโดย วัสยศ งามขำ เผยแพร่เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2021 ผ่านทางเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์)

แม้ว่าในตอนจบของเรื่องราวการตามล่าหางูพิษแทบพลิกแผ่นดินของ พล.ต.ต.สมพล จะทำให้โสภราชได้รับโทษอย่างสาสมแล้วก็ตาม แต่ในวันที่ 21 ธันวาคม 2022 โสภราชในวัย 78 ปีกลับได้รับการปล่อยตัวจากคุกเนปาลหลังจากถูกคุมขังมานาน 19 ปีให้กลับฝรั่งเศส เนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในอนาคตอสรพิษรายนี้จะกลับมาสร้างตราบาปให้แก่สังคมอีกหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไป

 

ภาพ: โพสต์ทูเดย์

 

อ้างอิง

https://www.cops-magazine.com/topic/42175/

https://www.aljazeera.com/news/2022/12/23/timeline-case-of-charles-sobhraj-bikini-killer-serpent

https://www.bangkokpost.com/thailand/special-reports/2116295/serpent-a-huge-tv-draw

https://www.posttoday.com/social/general/652989

https://www.bbc.com/thai/articles/cgldkpyvxjlo

Serpentine: Charles Sobhraj's Reign of Terror from Europe to South Asia เขียนโดย Thomas Thompson