มหากาพย์สงครามการทะเลาะกันระหว่างสองพี่น้อง เลียม และ โนล กัลลาเกอร์ (Liam and Noel Gallagher) คงเป็นเรื่องที่แฟนเพลง Oasis ทราบกันดีอยู่แล้ว เมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดกลางเทศกาลดนตรี Rock en Seine Festival ณ กรุงปารีส ปี 2009
หลังจากวันนั้น ก็ไม่มีวงดนตรีชื่อ Oasis อีกต่อไป
ตลอดเวลาที่โนลและเลียมแยกกันเดินในเส้นทางสายดนตรี พวกเขาไม่มีท่าทีที่จะหันมากอดคอกัน แม้จะมีสารคดี Oasis: Supersonic (2016) ที่กระตุ้นแฟนคลับให้เรียกร้องสองพี่น้องสุดเกรียนคู่นี้กลับมารวมตัวสักครั้ง แต่ฝันแฟน ๆ ก็ดับลงเพราะไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากตระกูลกัลลาเกอร์ที่ท่านเรียก
ด้วยระยะเวลากว่า 10 ปีหลังแยกวงอย่างเป็นทางการ เลียมได้มีสารคดีชีวิตที่จะเผยเรื่องราวความลับของเขากับ As It Was (2019) ผลงานภาพยนตร์ชีวประวัติสำรวจชีวิต เลียม กัลลาเกอร์ ในช่วงเวลานับทศวรรษที่วง Oasis หายไป โดยผู้กำกับ ชาร์ลี ไลท์เทนนิง (Charlie Lightening)
[caption id="attachment_9216" align="alignnone" width="1536"]
เลียม กัลลาเกอร์[/caption]
ชาร์ลี ไลท์เทนนิง คือคนที่ร่วมงานกับวง Oasis ตั้งแต่ออกอัลบั้มสุดท้ายปี 2008 Dig Out Your Soul หลังจากนั้นไม่นาน วง Oasis ก็ยุบวง เลียมออกตั้งวงใหม่ Beady Eye แต่ก็มีผลงานเพียงแค่ 2 อัลบั้มก่อนจะเกิดปัญหายุบวงอีกครั้ง และในปี 2017 พี่เลียมก็กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยผลงานอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก As You Were ประเดิมด้วยซิงเกิลแรก “Wall of Glass” ที่ประกาศศักดาว่าร็อกสตาร์คนนี้กลับมาแล้ว (ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พี่แกเคยโพสต์ Twitter อย่างดุเดือดว่า “กูจะไม่มีวันออกอัลบั้มเดี่ยวเว้ย!”)
“ผมอยู่ร่วมกับพวกเขาตลอดเวลาที่ออกทัวร์คอนเสิร์ต ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งการแตกแยก ในตอนนั้นเราไม่ได้แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำไปว่าคอนเสิร์ตครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย”
ชาร์ลีมีโอกาสใกล้ชิดกับเลียมต่อตลอดระยะเวลา 10 ปีหลังยุบวง ทำให้เขาสามารถเก็บภาพการกระทำทุกอย่างของเลียมในทุกช่วงเวลา เช่น การแตกหักของวง Beady Eye ปลายทางชีวิตสมรส เรื่องราวของลูกนอกสมรส และทุกเรื่องราวที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของชายคนนี้
“จริง ๆ แล้ว เลียมมีด้านอ่อนโยนนะ เขาเป็นคนอบอุ่นด้วย แต่มันเป็นด้านที่เขาไม่ค่อยแสดงให้ทุกคนเห็นเท่าไหร่ ที่ผมถ่ายหนังเรื่องนี้ก็เพราะอยากให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ผมเห็น และมันคงไม่เกิดเป็นผลงานชิ้นนี้ หากว่าผมไม่มีความซื่อสัตย์กับตัวเอง”
สิ่งที่ชาร์ลีเห็นคือเลียมเป็นคนธรรมดา เป็นคนตลก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีด้านที่อ่อนโยน แต่ในอีกด้านก็มีความหยาบและหึงหวง ทั้งหมดนี้ก็เพราะเลียมเป็นเพียงมนุษย์ที่บอบบางคนหนึ่งเท่านั้น
“คุณควรจำให้ดีว่า เขาคือ เลียม กัลลาเกอร์ จากยุค 90” เขากล่าว “ถ้าคุณไม่ชอบเขา คุณก็จะเกลียดเขาไปเลย แต่ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้สึกถึงความละอาย เขาก็ยังเป็นคนที่เจ๋งสุด ๆ อยู่ดี คุณจะเห็นเขาในทุกมุมมอง เราไม่ได้เติมแต่งอะไรลงไปให้ดูสวยหรู และไม่ได้ซ่อนสิ่งที่เขาเป็นเลยแม้แต่น้อย”
ความเอ็กซ์คลูซีฟของชาร์ลีคือเลียมยอมเปิดบ้านที่ตระกูลกัลลาเกอร์เติบโต อนุญาตให้เข้าไปถ่ายทำอย่างอิสระ แถมยังได้บุกไปถึงห้องนอนในวัยเด็กที่เขาต้องแบ่งพื้นที่ห้องกับพี่ชาย (คู่กัด) ของเขา โนล กัลลาเกอร์ ด้วย
“นั่นเป็นไอเดียของเลียม จริงอยู่ที่ผมเคยมีความคิดอยากถ่ายทำที่บ้านอยู่เหมือนกัน แต่เขาเป็นคนที่เอ่ยปากชวนเอง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะให้คนอื่นมาเห็นเบื้องหลังชีวิตของคุณ”
[caption id="attachment_9218" align="alignnone" width="1536"]
บ้านตระกูลกัลลาเกอร์[/caption]
ที่บ้านเก่านั้น เพ็กกี้ กัลลาเกอร์ แม่แท้ ๆ ยังอาศัยอยู่ ทำให้เขามีโอกาสสัมภาษณ์คุณแม่เช่นกัน “คุณเพ็กกี้เป็นแม่ที่สุดยอดมาก เธอเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี หลายคนเคยอยากจะเข้ามาถ่ายทำในบ้านของเธอ แต่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้น ผมเลยรู้สึกประหม่ามาก”
เลียมชวนผู้กำกับเข้ามายังพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างห้องนอน แถมยังต้อนรับชาร์ลีเป็นอย่างดีด้วยการชงกาแฟให้ดื่มอีกด้วย
“พวกเราอยู่ในบ้าน เขากำลังทำกาแฟให้ผมดื่ม และแม่ของเขาก็อยู่ตรงนั้น มันมีบรรยากาศของบ้านที่อบอุ่นมาก ๆ เขาพาผมขึ้นไปชั้นสอง ที่บานประตูยังมีป้ายเขียนอยู่เลยว่า ‘ห้องของเลียมและโนล’ ซึ่งเป็นห้องที่พวกเขาทั้งสองเคยนอนร่วมกัน” ชาร์ลี กล่าว “เขาพาผมเข้าไปในห้องและบอกว่าเตียงของเขาคือเตียงไหน ของโนลคือเตียงไหน การได้ฟังเขาพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นล้วนเป็นประสบการณ์ที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ”
แน่นอนว่าการพูดถึงประเด็นแตกหักระหว่างเลียมกับโนลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยสปิริตผู้กำกับอันแรงกล้า ชาร์ลีกล่าวอย่างชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ทำขึ้นมาเพื่อโจมตีโนลแต่อย่างใด
“ผมไม่ได้ให้มันเป็นหนังที่ใช้โจมตีโนลหรือใช้เรียกร้องความเห็นใจ ผมแค่อยากจะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามอย่างที่มันเป็นเท่านั้น”
ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ชาร์ลีหัวเสียกับโนลคือ พี่แกไม่อนุญาตให้ชาร์ลีใช้เพลงของ Oasis ในสารคดี As It Was เลย โดยเฉพาะการขึ้นร้องเพลง Live Forever บนคอนเสิร์ตการกุศล One Love Manchester หลังเหตุการณ์โศกนาฎกรรมระเบิดที่แมนเชสเตอร์ อะรีนา
[caption id="attachment_9220" align="alignnone" width="1536"]
คอนเสิร์ต[/caption]
“ตอนที่เขาไปเล่นคอนเสิร์ตในเมืองแมนเชสเตอร์หลังเหตุระเบิดนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่สุดยอดมาก เขาได้จุดเทียน 22 เล่มบนเวทีเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์และร้องเพลง Live Forever สด ๆ ร่วมกับผู้ชม ในอีกมุมมองหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนทั้งประเทศจับจ้องเขา เขาคือคนคนหนึ่งในประเทศนี้ เขายังคงเป็นคนที่พวกคุณเคยรู้จัก”
แต่ไม่ว่ายังไง ความฝันอันสูงสุดของชาร์ลีก็หนีไม่พ้นแรงปรารถนาให้ Oasis กลับมารวมตัวอีกครั้ง เขาจินตนาการถึงโนลและเลียมยืนบนเวทีด้วยกัน ร้องเพลงด้วยกัน เฮฮาด้วยกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสนั้นจริง ๆ หรือเปล่า “พวกเขาเหมือน The Beatles แต่ก่อนอื่นเลียมและโนลจะต้องคืนดีกันให้ได้ก่อน ในฐานะแฟนเพลงผมคิดว่ามันคงจะเป็นอะไรที่เจ๋งสุด ๆ และในฐานะของคนคนหนึ่ง ผมอยากจะให้พวกเขาลงเอยกันได้ด้วยดี”
แน่นอน นั่นไม่ใช่ความฝันของชาร์ลีเพียงคนเดียว แต่คือความฝันของแฟนเพลง Oasis ทุกคน
[caption id="attachment_9219" align="alignnone" width="1536"]
เลียม กัลลาเกอร์[/caption]
ที่มา
metro
nme