01 ก.ค. 2562 | 18:28 น.
“โอเอซิส (Oasis) เลียนแบบเรา เราเจอมาหมดแล้วแหละ พูดตามตรงนะ ผมประหลาดใจที่พวกเขาอยู่ด้วยกันได้นานขนาดนั้น”
นี่คือคำพูดของ โรบิน กิบบ์ (Robin Gibb) สมาชิก 1 ใน 3 ของวง Bee Gees ที่กล่าวถึงสองพี่น้องสุดแสบจากวงโอเอซิส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการตีกันออกสื่อไม่เว้นวัน จนแบร์รีกับโรบิน ในฐานะวงรุ่นพ่อที่ทะเลาะกันมาก่อนถึงกับเคยเอ่ยปากให้ทั้งสองเพลา ๆ การฟาดฟันกันอย่างเผ็ดร้อนลงบ้าง
Bee Gees ถือเป็นวงป๊อประดับตำนานที่ตีคู่มากับวงดนตรีจากเกาะอังกฤษในยุคเดียวกันอย่าง The Beatles โดย Bee Gees เป็นเจ้าของผลงานอมตะอย่าง ‘Stayin’ Alive’ (ซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์เรื่อง Saturday Night Fever), ‘How Deep is Your Love’ และ ‘Too much Heaven’ เอกลักษณ์ของวงอยู่ที่เป็นวงสามพี่น้องที่นิยมการร้องประสานเสียง ซึ่งเสียงของแต่ละคนก็จะมีความดีงามกันไปคนละแบบ แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับลงตัว จนหลาย ๆ คนกล่าวเรียกพวกเขาว่าเป็น “เสียงสวรรค์” เจ้าของเสียงทั้งสามนั้นก็คือ แบร์รี กิบบ์ (Barry Gibb) พี่ชายคนโต กับสองฝาแฝด โรบิน กิบบ์ และ มอริส กิบบ์ (Maurice Gibb)
“ความสัมพันธ์ของพี่น้องกัลลาเกอร์ทำให้เรานึกถึงตัวเอง แต่พวกเขาเป็นเวอร์ชันที่ป่าเถื่อนกว่า” แบร์รี กิบบ์ พี่ชายคนโตยอมรับ ก่อนจะเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวของพวกเขาในวัยหนุ่ม ที่เป็นเพียงสามพี่น้องที่รักในสิ่งเดียวกัน พวกเขาอยากเป็นนักร้อง และก็ได้เป็นสมใจ
[caption id="attachment_9483" align="aligncenter" width="920"] จากซ้าย โรบิน, แบร์รี และ มอริซ กิบบ์[/caption]Bee Gees ตั้งวงขึ้นในปี 1958 ช่วงปีแรก ๆ ไม่มีใครสนใจพวกเขาด้วยซ้ำ ตอนนั้นพวกเขาถูกมองว่าเป็นพี่น้องสามคนที่ยังเด็ก แถมแต่งตัวไม่เท่ และร้องเพลงเสียงสูงจนทำให้หลาย ๆ คนตลก แน่นอนว่าในตอนนั้นสามกิบบ์ไม่ได้นึกเลยว่าเนื้อเสียงหวาน ๆ ชวนฝันที่ถูกร้องในโทนสูงของพวกเขาจะได้จับจองพื้นที่ในใจคนฟังจำนวนมากในภายหลัง
แม้ Bee Gees จะเป็นวงที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ แต่พวกเขาก็ออกมายอมรับพร้อมด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ ว่าครั้งหนึ่งวงโคตรตำนานอย่างพวกเขาก็เคย “สอบตก” เรื่องความสัมพันธ์ ที่แม้ไม่ได้แลกหมัดกันตุบตับหรือกัดกันจนตายไปข้างอย่างโนลกับเลียม แต่ก็เฮี้ยวจนเป็นข่าวดังในแวดวงสังคมในหัวข้อ ‘ซุป’ตาร์ตีกัน’ อยู่ไม่น้อย
“โรบินกับผมค่อนข้างจะนิสัยต่างกัน แต่เราอยู่ด้วยกัน ผลักดันกันและกัน ถ้าเราปล่อยวางความแตกต่างอื่น ๆ ที่เรามี แล้วสนใจแต่เรื่องดนตรี เราก็จะทำงานออกมาได้ ตอนเราแยกกันผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร” แบร์รี กล่าวถึงความสัมพันธ์กับน้องชาย ที่เคยห่างหายกันไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
“ผมก็เหมือนกัน” โรบิน เสริม “ผมจะรู้สึกถึงความเป็นตัวเองก็ต่อเมื่อยืนอยู่บนนั้น และเริ่มแสดงด้วยกัน นั่นแหละตัวตนของผม”
[caption id="attachment_9484" align="aligncenter" width="650"] จากซ้าย มอริซ, โรบิน และ แบร์รี กิบบ์ ในวัยเด็ก[/caption]ฟังดูเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักจนหลาย ๆ คนอาจจะอดยิ้มตามไม่ได้ แต่ย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่พี่น้องตระกูลกิบบ์ยังเป็นหนุ่มเลือดร้อนที่ยึดตัวเองเป็นหลัก ขณะที่ผลงานคุณภาพคับแผ่นอย่าง ‘Odessa’ ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 1969 เหมือนกับสปอตไลท์แห่งความดังกำลังฉายมาทางพวกเขา แบร์รี, โรบิน และ มอริซ ตื่นตาตื่นใจกับการขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงเป็นอย่างมาก
แต่ความมีชื่อเสียงก็เหมือนกับสินค้า และมันมีราคาที่ต้องจ่าย ในกรณีนี้ “มิตรภาพระหว่างพี่น้อง” คือสิ่งที่พวกเขาต้องแลกไป เมื่อนิสัยอีโก้จัดตามประสาคนดังเริ่มเข้ามาแทนที่ แม้ โรเบิร์ต สติกวูด (Robert Stigwood) โปรดิวเซอร์ของพวกเขาจะพยายามเตือนให้กิบบ์ทั้งสามทำตัวติดดินเข้าไว้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้หนุ่มวัยคะนองทั้งสามสนใจ
“เราเริ่มแตกหัก เหมือนกับพี่น้องสามคนที่ต้องตัวติดกันตลอดเวลานั่นแหละ เราเหมือนกันเกินไป แต่ก็ต่างกันเกินไปด้วย” แบร์รี ยอมรับ และมันเป็นไปตามนั้น เมื่อความขัดแย้งระหว่างแบร์รีกับโรบินนำพา Bee Gees มาถึงทางแยก และโรบินตัดสินใจ ‘ช่างแม่ง’ ด้วยการทิ้งวงออกมาบินเดี่ยว และมักจะใช้เวลาว่างจากงานเพลงไปกับการกัดกับแบร์รีผ่านสื่อ มอริซ ฝาแฝดของโรบิน พยายามที่จะเป็นกาวใจระหว่างทั้งคู่ และเฝ้าพูดถึงการรียูเนียนวงอยู่เสมอ แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น เมื่อโรบินบอกว่า “กูสบายดี รียูเนียนเหรอ ไร้สาระ” นั่นทำให้แบร์รีถึงกับลั่นวาจาว่า “ถ้ามัน (โรบิน) กลับมา กูจะไปเอง !”
หลังจากผ่านไปร่วมปี สภาวะคุกกรุ่นระหว่างสองคู่กัดจึงค่อย ๆ สงบลง โรบินจึงได้ย้อนนึกถึงวันเก่า ๆ ที่ทั้งสามยังยืนข้างกันบนเวที วันที่เสียงร้องของพวกเขาเติมเต็มกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งที่เขารู้จากการเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาสั้น ๆ ก็คือไม่มีใครจะรู้ใจเขาไปกว่าพี่น้องของตัวเอง ในที่สุดโรบินก็ยอมยกธงขาว ยื่นคำถามถึงความเป็นไปได้ ในการกลับไปโลดแล่นในฐานะ Bee Gees ร่วมกันอีกครั้ง
“มันไม่ได้ทำลายความเป็นพี่น้องของเราหรอก เราวงแตกตอน 1969 โรบินมาที่งานแต่งผมในปี 1970 เราเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง และทันใดนั้น เราก็กลับไปที่สตูดิโอ” แบร์รีเล่าความหลัง
“ผมไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักร้องเดี่ยว มันเลวร้ายเกินไป ผมไม่เคยคิดจะแต่งเพลงร่วมกับใครนอกจากแบร์รี เขาเป็นคนเดียวที่ดึงส่วนที่ดีที่สุดของผมออกมาได้” โรบินกล่าวเสริม
“ชีวิตนั้นสั้นนัก” แบร์รีเคยพูดไว้แบบนั้น เมื่อวง Bee Gees โลดแล่นอยู่ในวงการ สร้างเพลงระดับตำนานเพลงแล้วเพลงเล่า แบร์รี และโรบิน ไม่เคยคิดเลยว่ามอริซจะต้องจากไปก่อนด้วยอาการหัวใจวาย ในปี 2003 แม้ทั้งแบร์รี, โรบิน และมอริซเอง จะเคยผ่านประสบการณ์จัดงานศพให้ แอนดี้ (Andy Gibb) น้องชายคนสุดท้อง ที่ไม่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวง Bee Gees ที่จากไปในปี 1988 มาแล้วก็ตามแต่การเสียสมาชิกไปอีกครั้งก็ทำให้พี่น้องตระกูลกิบบ์ที่เหลืออยู่เพียงสองชีวิตตกอยู่ในความเสียใจเป็นอย่างมากและประกาศยุบวงอีกครั้ง
“เขาเป็นคนที่ทำให้วงเราปรองดองกัน เหมือนที่เขาเคยพูดไว้ว่า ‘เราคนเดียวก็ใช้ได้แล้ว แต่สองคนจะดีเยี่ยม ยิ่งถ้าเราสามคนอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ นั่นแหละถึงจะเรียกได้ว่าเวทมนตร์” หนึ่งในสองพี่น้องที่เหลือกล่าวด้วยความอาลัย
แต่สุดท้าย นักร้องย่อมคู่กับไมค์ แบร์รีและโรบินทวงคืนความยิ่งใหญ่ของ Bee Gees ด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งงานคู่และงานเดี่ยว เรียกได้ว่าแฟนเพลงอยู่ที่ไหน สองดาวป๊อปรุ่นพ่อก็จะพาตัวเองไปให้แฟน ๆ ได้ฟังผลงานอมตะของตนเข้าจนได้
แม้จะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงโรคมะเร็งที่โรบินต้องใช้เวลาต่อสู้อยู่ร่วมปี แต่การจากไปของน้องชายคนสุดท้าย ในปี 2012 ก็ทำให้แบร์รีถึงกับเสียหลัก “นี่เป็นประสบการณ์ที่แปลกมาก ผมสูญเสียน้องชายไปสองคน และตอนนี้ผมสูญเสียร็อบ (โรบิน)”
และในงานศพของน้องชายนั่นเอง ที่แบร์รีแน่ใจพวกเขารักกันมากแค่ไหน “พวกเราหัวเราะไปด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน หลายครั้งที่ร้องไห้ มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเราทะเลาะกันบ่อยแค่ไหน” แบร์รีนิ่งไป ปล่อยเวลาให้ใจได้นึกถึงความขัดแย้ง รอยยิ้ม และเรื่องราวที่พวกเขาเคยผ่าน นึกภาพกลุ่มคนและน้ำตาที่แสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องชายแต่ละคนของเขา
“พวกเขาทั้งคู่งดงาม และตอนนี้พวกเขาไปอยู่ด้วยกัน พวกเขาได้อยู่ด้วยกันแล้วจริง ๆ” แบร์รีกล่าวปิดท้าย โดยที่เราไม่อาจคาดเดาได้ว่าการเป็น Bee Gees ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวนั้นจะรู้สึกอย่างไร (ใครจะรู้ ความตายของน้อง ๆ ทุกคนอาจจะเป็นสาเหตุที่แบร์รีเตือนโนลบ่อย ๆ เรื่องการลับฝีปากกับเลียมก็ได้)
“ผมคือคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ผมไม่เข้าใจมันเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อผมคือคนที่แก่ที่สุด” นี่คือคำที่แบร์รีพูดไว้เมื่อกุมภาพันธ์ ปี 2019 โดยก่อนหน้านั้น แบร์รีก็เคยออกมาพูดถึงเรื่องราวทั้งร้ายและดีของคนในครอบครัวอยู่เสมอ ราวกับว่าเขายังคงเก็บความทรงจำที่มีต่อน้อง ๆ ทุกคนเอาไว้เป็นอย่างดี และพร้อมที่จะสานต่อความฝันที่มีร่วมกันของ Bee Gees ด้วยการร้องเพลงต่อไป
[caption id="attachment_9487" align="aligncenter" width="1440"] คอนเสิร์ตสุดท้ายเมื่อปี 1997[/caption]สิ่งที่เรารู้ คือแบร์รีไม่เคยปล่อยให้เสียงเพลงของ Bee Gees เลือนหาย จากวันที่เขาทั้งสามยืนล้อมไมโครโฟนหนึ่งตัว และร้องประสานเสียงไปด้วยกัน วันนี้ แบร์รีในฐานะ Bee Gees คนสุดท้าย ยังคงเดินสายจัดคอนเสิร์ตด้วยวัยกว่า 70 ปีอย่างไม่เคยถอดใจ เขายังคงเต็มที่บนเวทีและทำหน้าที่แทนน้อง ๆ อีกสองคน ราวกับว่าพวกเขาอาจจะได้ฟังเสียงร้องแหลมสูงที่คุ้นหูนี้จากที่ไหนสักแห่ง แล้วร้องประสานเสียงมาจากที่แห่งนั้น แล้ว Bee Gees ทั้งสามพี่น้องจะเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งและอีกครั้งอย่างที่แบร์รีให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“เราทุกคนมีความฝันอย่างเดียวกัน นั่นคือสิ่งที่ผมคิดถึงมากกว่าอื่นใด”
เรื่อง : จิรภิญญา สมเทพ (The People Junior)
ที่มา : https://www.mirror.co.uk/3am/celebrity-news/bee-gees-day-two-bitter-428677
https://www.smoothradio.com/artists/bee-gees/barry-gibb-interview-emotional/