08 ก.ย. 2565 | 15:21 น.
หากลองสังเกตเราจะเห็นป้ายร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้มีหลายเวอร์ชันมาก ซึ่งบางคนอาจยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วในแต่ละเวอร์ชันมาจากที่มาเจ้าของเดียวกัน เพียงแต่อยู่ในเรื่องราวแต่ละช่วงที่ ‘วิโรจน์ อร่ามแสงจันทร์’ หรือ ใบ้ พยายามผ่านอุปสรรคมาจนถึงทุกวันนี้
เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวช่วยเพิ่มรายได้แต่ถูกคู่แข่งขายตัดหน้า
วิโรจน์ หรือ ใบ้ มาจากครอบครัวที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร จุดเริ่มต้นที่มีข้อมูลเปิดเผยเล่าตั้งแต่ช่วงที่ใบ้และครอบครัวพยายามสร้างอาชีพด้วยการเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเล็ก ๆ ทำกันเองในครอบครัว
ใบ้ เป็นคนคิดค้นสูตรน้ำซุปและลูกชิ้นปลาไม่ผสมแป้ง โดยใช้ปลาทะเลสด 4 ชนิด (ปลาดาบยาว, ปลาหางเหลือง, ปลาอินทรี, ปลากะพงแดง) ซึ่งได้เริ่มต้นขายในตลาดโต้รุ้ง จุฬาฯ ซอย 16 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีลูกชิ้นปลาชื่อดังร้านหนึ่งมาเปิดร้านขายตัดหน้าที่บริเวณหน้าตึกหัวมุมถนน ซอยฝั่งตรงข้ามวัดหัวลำโพง
ซึ่งตั้งแต่ที่ร้านดังกล่าวมาเปิดทำให้ผู้บริโภคเลือกเข้าร้านใหญ่แทนที่จะเป็นร้านเล็ก ๆ ริมทาง ใบ้จึงตัดสินใจย้ายร้านมาเช่าพื้นที่หน้าร้านฝั่งตรงข้ามริมบาทวิถี โดยใช้ชื่อร้านเป็นชื่อของตัวเองว่า ‘โอ้โฮ! ลูกชิ้นปลานายใบ้’ และมีการออกแบบโลโก้ใช้รูปคนตีปิงปอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า ลูกชิ้นปลานายใบ้เด้งเหมือนลูกปิงปอง ทำมาจากเนื้อปลาแท้ ไม่มีแป้งเป็นส่วนผสม
แต่จุดพลิกผันมาอยู่ตรงที่ร้านใหญ่ดังกล่าวมักปิดบ่อย ๆ ทำให้ลูกค้าที่ตั้งใจมากินร้านนั้นผิดหวังแล้วมากินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้แทน ทำให้ร้านเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น คนรู้จักและมีการแนะนำแบบปากต่อปากเกิดขึ้น
เวลาผ่านไปไม่กี่ปีทำให้ร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้มีคนรอคิวหน้าร้านหนาแน่นทุกวัน จึงไม่สามารถรองรับลูกค้าได้ทั่วถึง ใบ้จึงตัดสินใจขยายร้านเพิ่ม ด้วยการเซ้งตึก (อาคารบริเวณนั้นเป็นทรัพย์สินของจุฬาฯ ทั้งหมด จึงเป็นสัญญาเช่าไม่มีการซื้อขายขาด) โดยใช้ชื่ออาคารว่า ‘ยิ้มเจริญโภชนา’ ขณะที่ร้านแรกที่เปิดริมทางก็ยังขายอยู่เหมือนเดิม ทำให้ลูกค้ารู้จักร้านของใบ้มากขึ้น ๆ
นอกจากนี้ ใบ้ได้เซ้งห้องข้างเคียงอีก 1 คูหา โดยใช้ชื่ออาคารว่า ‘พี่น้องโภชนา’ ทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ของก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้ตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งยังมีผู้สนใจติดต่อรับลูกชิ้นไปขายกว่า 30 เจ้าในช่วงนั้นด้วย
จุดพลิกผันของใบ้ที่ทำให้หมดตัว
เป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจที่เห็นโอกาสเติบโตแล้วเจ้าของก็อยากจะขยายเพิ่ม ใบ้ได้ตัดสินใจซื้อตึกแถว 5 ห้องบริเวณถนนสุขุมวิทเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท แต่ปัญหาใหญ่คือ ที่แห่งนี้เป็นที่ที่ถูกยึดมาขายทอดตลาด แต่เมื่อซื้อมาแล้วเจ้าของเดิมกลับไม่ยอมย้ายออก ใบ้และครอบครัวจึงไม่สามารถทำการตกแต่งร้านเพื่อทำการค้าได้
ดอกเบี้ยที่กู้ยืมธนาคารมาก็ยังต้องจ่าย ขณะที่ใบ้ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลยจากตัวอาคาร เพราะปรับปรุงตกแต่งใหม่ไม่ได้ ซึ่งลำพังแค่ร้านที่อาคารยิ้มเจริญโภชนาและพี่น้องโภชนา ที่หาเงินได้มาเพียงพอแค่ส่งดอกเบี้ยธนาคารเท่านั้น
ในช่วงเวลาเดียวกัน ลูกชายคนโตของใบ้ที่คอยช่วยเปิดร้านที่อาคารยิ้มเจริญโภชนา ประสบอุบัติเหตุทำให้ขาหัก จึงไม่สามารถเปิดร้านขายได้ รายได้ก็หายไปครึ่งหนึ่งของทุกที ทำให้ธุรกิจหาเงินได้ไม่เพียงพอต่อดอกเบี้ย จนในที่สุดใบ้ก็เป็นหนี้ธนาคารกรุงเทพถึง 10 ล้านบาท และอีก 2 ล้านบาทจากธนาคารศรีนคร
ใบ้ตัดสินใจปล่อยเซ้งอาคารยิ้มเจริญโภชนา เพื่อนำเงินใช้หนี้ แต่ก็ยังไม่พอจึงต้องยืมเงินมาจากญาติ ๆ เพิ่มอีกเกือบ 10 ล้าน แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี สุดท้ายใบ้จำเป็นต้องขายอาคารพาณิชย์ 5 ห้องที่สุขุมวิทเพื่อใช้หนี้ที่เหลือให้กับธนาคารทั้งหมด
สิ่งที่สร้างมากับมือต้องหมดไปกับปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ แม้ว่าใบ้สามารถปลดหนี้กับธนาคารได้ แต่หนี้ก้อนใหญ่ที่หยิบยืมญาติ ๆ มาเกือบ 10 ล้านบาทก็ไม่น้อยทีเดียว ทำให้เขาเกิดภาวะเครียดหนัก กลายเป็นคนที่สูบบุหรี่จัด โรครุมเร้ามากขึ้น และสุดท้ายใบ้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2532 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุได้เพียง 54 ปีเท่านั้น
เริ่มตำนานใหม่ด้วยลูกชาย2คน
‘วิชัย อร่ามแสงจันทร์’ ลูกชายคนโตของใบ้ เป็นคนที่กอบกู้ชื่อเสียงและธุรกิจก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้ขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่จุฬาฯ ไม่ยินยอมให้ต่อสัญญาเช่า ร้านนายใบ้สามย่านอาคารพี่น้องโภชนา จึงต้องปิดตัวลงในปี 2533 หลังจากที่ใบ้เสียชีวิตได้ไม่ถึง 1 ปี
และนี่คือจุดเริ่มต้นของก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้ เตาปูน ซึ่งเป็นสาขาแรกในชีวิตของวิชัย ที่เปิดธุรกิจเองเต็มตัว โดยเขายังใช้ป้ายร้านพื้นสีขาวเหมือนเดิม แต่ปรับชื่อเป็น ‘นิว ลูกชิ้นปลานายใบ้ ท้าพิสูจน์ โดย นายชัย’ เพื่อเรียกความมั่นใจให้กลับมา แต่คุณภาพ ความใส่ใจในการผลิตและการปรุงยังคงเหมือนเดิม
วิชัยพยายามอย่างหนักเพื่อปลดหนี้ที่เหลือที่พ่อเคยยืมญาติ ๆ และในที่สุดเขาก็สามารถเคลียร์หนี้สินทุกอย่างได้ในเวลาเพียง 2 ปี ทั้งยังเป็นคนที่เรียกความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์นี้ได้อีกครั้ง
โดยจากเดิมที่เหลือสาขาแค่ 10 แห่ง ก็ขยายเพิ่มเป็น 50 ร้าน และเริ่มมีลูกค้าจากต่างจังหวัดมากินที่ร้าน และติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์ร้านและลูกชิ้นไปขายต่อ เช่น ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ, ชลบุรี, หนองคาย, ลำปาง, ภูเก็ต เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีลูกชายคนเล็ก คือ ‘ศิรสิทธิ์ อร่ามแสงจันทร์’ หรือ เฮียสุ ซึ่งเป็นคนที่เลือกจะพัฒนาต่อยอดลูกชิ้นปลารุ่นพ่อมาเป็นก๋วยเตี๋ยวประยุกต์ โดยใช้ชื่อร้านว่า ‘ลูกชิ้นปลานายใบ้ (เฮียสุ) ของแท้ต้นตำรับ’ (ป้ายร้านจะเป็นสีแดง ส่วนใหญ่เป็นร้านใหญ่ไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยวริมทาง)
เฮียสุพูดว่า “ผมแยกตัวจากพี่ชายมาดำเนินกิจการของตัวเอง โดยค่อย ๆ คิดสูตรเมนูก๋วยเตี๋ยวเรื่อยมา จนปัจจุบันมีเมนูน่าลองในร้านมากมาย เช่น ก๋วยเตี๋ยวน้ำ-แห้งต้มยำ, ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ, ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา, เย็นตาโฟต้มยำ, เกาเหลาน้ำ-แห้งต้มยำ, เกาเหลาเย็นตาโฟ และลูกชิ้นลวกจิ้ม, เกี๊ยวปลาลวก ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมที่ร้าน”
นอกจากนี้ เฮียสุยังได้พูดถึงใบ้ว่า “ตั้งแต่จำความได้ ผมกับพี่ชายโตมาก็เห็นคุณพ่อซึ่งเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวและทำลูกชิ้นปลาขายส่งย่านพระราม 4 จนลูกค้าติดใจในความอร่อยจากสูตรที่คุณพ่อคิดค้นเอง ทั้งนี้ท่านเป็นคนคุยเก่งและชอบช่วยเหลือคน
“คุณพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง แต่ก็ได้ทิ้งมรดกอันล้ำค่า คือ สูตรการทำน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวและลูกชิ้นปลาไว้ให้ลูก ๆ เพื่อสานต่อกิจการอันเป็นที่รักของคุณพ่อ ดังนั้นผมและพี่ชายเพียงสองคนจึงเป็นผู้สืบทอดกิจการร้านลูกชิ้นปลานายใบ้นับแต่นั้นมา”
สำหรับวงการลูกชิ้นปลาที่อร่อยและหลายคนยังพูดถึง หนึ่งในนั้นก็ยังมีชื่อ ‘ลูกชิ้นปลานายใบ้’ อยู่เสมอ ตำนานกว่า 50 ปีที่ยังเป็นที่จดจำของผู้บริโภค เรื่องรสชาติและคุณภาพต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แม้ว่าตอนนี้คนที่ดูแลกิจการต่อจะเป็นลูกชายทั้งสองคน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายใบ้เงียบไปแม้แต่น้อย
ภาพ: naibai fishball
อ้างอิง:
http://www.naibaifishball.com/index.php?aboutus
https://sites.google.com/site/rankwyteiywlukchinpla/hna-rek/khawsar2