ลีออน วิทาลี: นักแสดงที่สละเส้นทางตัวเองเพื่อติดตามเป็นผู้ช่วย สแตนลีย์ คูบริก

ลีออน วิทาลี: นักแสดงที่สละเส้นทางตัวเองเพื่อติดตามเป็นผู้ช่วย สแตนลีย์ คูบริก

จะมีสักกี่คนที่ยอมทิ้งอาชีพและเส้นทางของตัวเองเพื่อติดตามคน ๆ หนึ่งที่เราเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ 'ลีออน วิทาลี' คือชายคนนั้น คนที่ยอมทิ้งเส้นทางสายการแสดงของตนเพื่อดำรงตำแหน่งผู้ช่วยส่วนตัวให้ 'สแตนลีย์ คูบริก' ผู้กำกับสุดเนี๊ยบจนกระทั่งภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย

ย้อนกลับไปในสมัยที่ สแตนลีย์ คูบริก (Stanley Kubrick) – ผู้กำกับชั้นครูที่เป็นแรงบันดาลใจให้นักทำหนังรุ่นต่อ ๆ มามากมายหลายคน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานอย่าง 2001: A Space Odyssey (1968), A Clockwork Orange (1971), และ The Shining (1980) – ยังมีชีวิตอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าดารานักแสดงมากมายหลายคนก็อยากจะ ‘สักครึ่งหนึ่งในชีวิต’ ได้ร่วมงานกับเขา เพราะผลงานทุกเรื่องโดยฝีมือสแตนลีย์ล้วนถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์

(เห็นเข้ม ๆ โหด ๆ แบบนี้ แต่คูบริกก็เป็นทาสแมวตัวยงเหมือนกัน อ่านเรื่องราวนี้ต่อได้ที่ สแตนลีย์ คูบริก: ผู้กำกับและทาสแมวที่เล่าเรื่องผ่านความสมบูรณ์แบบ)

ความละเอียดละเมียดละไมคือคติสำคัญที่สแตนลีย์ใช้เวลาที่เขาค่อย ๆ ปั้นหนังสักเรื่องหนึ่งขึ้นมาเป็นตัว และไม่ว่าความสมบูรณ์แบบเหล่านั้นจะต้องแลกมาด้วยอะไร ตัวเขาพร้อมที่จะลุยทำมัน นี่จึงเป็นเหตุให้การทำงานของสแตนลีย์ถูกขนานนามว่า ‘โหด’ นักแสดงแทบทุกคนต้องเล่นฉากเดิมซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าสแตนลีย์จะมองว่า ‘ผ่าน’

ด้วยเหตุนี้เองจึงมีนักแสดงมากหน้าหลายตาที่อยากเข้ามาร่วมงานกับเขา แต่พอได้มาแสดงจริง ๆ แล้วก็เหมือนเจอบททดสอบมหาโหด จนบางคนก็ได้บาดแผลฝังใจกลับไปอย่าง เชลลี ดูวอล (Shelly Duvall) นักแสดงนำจากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง The Shining ที่เธอถูกปฏิบัติด้วยความเย็นชา… ขนาดพระเอกตลอดกาลอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) ยังได้แผลในกระเพาะกลับมาหลังจากแสดงใน Eyes Wide Shut (1999)

ถึงกระนั้น ก็มีชายคนหนึ่งที่หลงไหลและเชิดชูในงานของผู้กำกับคนนี้มากจนถึงขั้นที่ยอมสละเส้นทางสายการแสดงของตัวเองเพื่อผันตัวเป็นผู้ช่วยมือขวาของสแตนลีย์ คูบริก จนกระทั่งโปรดเจคสุดท้ายของเขา เขาคนนั้นก็คือ ‘ลีออน วิทาลิ’ (Leon Vitali)

I WANT TO WORK FOR THAT MAN!

ลีออน วิทาลิเป็นนักแสดงผมบลอนด์ชาวอังกฤษหน้าหล่อที่มีผลงานออกมาอยู่มากมายหลายเรื่องในช่วงต้นทศวรรษ 1970 งานแสดงส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นซีรีส์ซิทคอมเสียมากกว่าภาพยนตร์เรื่องยาว โดยเพียงระยะเวลาเกือบ 5 ปี เขามีผลงานซีรีส์โทรทัศน์ไปเกือบ 20 เรื่อง แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีเรื่องใดที่ประสบความสำเร็จเป็นพิเศษ นอกจากนั้นลีออนก็ยังเป็นนักแสดงละครเวทีอีกด้วย

นอกจากนั้นเขาก็ได้มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ไซไฟล้ำสมัยเรื่อง 2001: A Space Odyssey และด้วยความวิเศษของศิลปะภาพยนตร์ที่พาเขาไปท่องอวกาศจากการนั่งดูเฉย ๆ เขาจึงประทับใจเป็นอย่างมาก แถมมันยังเป็นครั้งแรก ๆ ที่ทำให้เขารู้จักสแตนลีย์ 

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาเบนเข็มในเป้าหมายของเขาจริง ๆ มาจากภาพยนตร์สุดบ้าระห่ำ จนโดนแบนและได้เรท X ไปในมากมายหลายประเทศอย่าง A Clockwork Orange ณ ตอนนั้น เหตุที่เขาก้าวเท้าตัดสินใจเดินเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมีเหตุผลหลักเพียงอย่างเดียว – ชื่อของผู้กำกับ

ด้วยความเรียลของหนังที่ถูกถ่ายทอดผ่านนักแสดงนำอย่าง มัลคอล์ม แมคโดเวลล์ (Malcolm McDowell) ที่สวมบทบาทเป็นวัยรุ่นคลั่งความรุนแรง มันได้ทำให้ลีออนได้ลิ้มรสประสบการณ์ใหม่ของโลกภาพยนตร์ว่า “เออมันก็สามารถเรียลแบบนี้ได้” เขาได้เคยให้สัมภาษณ์ในภาพยนตร์เรื่อง Film Worker เอาไว้ว่า การแสดงในหนังเรื่อง A Clockwork Orange นั้นทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ดูละครเวทีจริง ๆ เหตุเพราะการแสดงในเรื่องและองค์ประกอบต่าง ๆ มันสมจริงเอามาก ๆ

และหนังจบและเครดิตอันเป็นฉากสีแดงปรากฎขึ้นมาพร้อม ๆ กับตัวอักษรที่เขียนเอาไว้ว่า ‘Produced and Directed by Stanley Kubrick’ พร้อม ๆ กับเพลงสุดหวานหู (ที่เมื่อดูหนังจบแล้วจะไม่รู้สึกหวานเท่าใดนัก) อย่าง Singin’ in the Rain ก็บรรเลงควบคู่กันไป ณ วินาทีนั้น ลีออนหันหน้าไปหาเพื่อนที่มานั่งดูด้วยกันแล้วพูดว่า

กูอยากเล่นหนังให้เขาว่ะ

 

พบเจอกันครั้งแรก

เส้นทางของลีออนและสแตนลีย์ไหลเข้ามาบรรจบกันในการสร้างภาพยนตร์ที่มีนามว่า Barry Lyndon (1975) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่มีเนื้อเรื่องดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อ ‘The Luck of Barry Lyndon’ ที่เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์สร้างชื่อให้สแตนลีย์เช่นเดียวกัน เพราะแทบจะทุกเฟรมในหนังเรื่องนี้ แทบจะไม่ต่างอะไรกับภาพวาดเลย

หลังจากที่ได้ดู A Clockwork Orange และตั้งปณิธานอย่างแน่ชัดแล้วว่าจะทำงานให้สแตนลีย์ ลีออนก็เฝ้ารอโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเขา จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีการประกาศหาคนในหนังเรื่องใหม่ของสแตนลีย์ ผู้จัดการของลีออนก็ไม่รอช้ารีบแต่งชุดและเตรียมแคสท์ในทันที 

หลังจากนั้นก็มีจดหมายส่งมาถึงลีออน ซึ่งเป็นซีนหนึ่งจากบทภาพยนตร์ และมีลายมือของผู้กำกับเขียนกำกับไว้ว่า “จำบทพวกนี้” 

ถ้าสแตนลีย์บอกให้คุณจำบท คุณก็ควรจะรีบไปจำบทซะ จำจริง ๆ ด้วย

ในเวลาต่อมาก็มีสายโทรศัพท์หนึ่งดังขึ้นที่บ้านของลีออน สายดังกล่าวนัดหมายให้เขาไปพบเจอกับสแตนลีย์ ณ โรงแรม ๆ หนึ่งเพื่อพบเจอและพูดคุยกันเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่กำลังจะมีการถ่ายทำในไม่ช้า และนี่จะเป็นครั้งแรกที่ ลีออน วิตาลิ จะได้พบกับ สแตนลีย์ คูบริก

สวัสดีครับลีออน ผมสแตนลีย์นะ

หลังจากที่ลีออนเดินทางไปถึงโรงแรมเพื่อรอพบเจอสแตนลีย์ ไม่นานก็มีคนมาสะกิดหลังเขา คน ๆ นั้นคือ สแตนลีย์ คูบริก ลีออนยังเล่าต่อถึงประสบการณ์ที่จำไม่ลืมกับการเจอสแตนลีย์ครั้งแรกอีกด้วย โดยเขาได้บรรยายว่าการจับมือกับสแตนลีย์นั้น เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนุ่มนวลของสแตนลีย์ และนั่นถือเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างสแตนลีย์และมือขวาตลอดกาลของเขาอย่าง ลีออน วิตาลิ

 

ผันตัวสู่มือขวาคูบริก

หลังจากที่ได้ร่วมงานกันอย่างหนักหน่วงใน Barry Lyndon – มีฉากหนึ่งที่ลีออนต้องโดน ไรอัน โอ’นีล (Ryan O’Neal) พระเอกของเรื่องทุบตี ซึ่งสแตนลีย์ก็บอกให้ไรอันต่อยให้แรงและเหมือนจริง จนลีออนก็ต้องเจ็บจริง ๆ แถมฉากนั้นถ่ายทำไปกว่า 30 เทค – ลีออนก็ได้เห็นภาพอะไรบางอย่างที่ชัดขึ้น – เขาอยากทำงานเบื้องหลังกับสแตนลีย์ ด้วยเหตุนี้ ในวันถ่ายทำวันสุดท้ายของ Barry Lyndon เขาจึงเดินเข้าไปคุยกับสแตนลีย์

สแตนลีย์ครับ ผมรู้สึกว่าตัวผมเริ่มจะสนใจศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาเสียแล้ว ผมอยากเรียนรู้งานเบื้องหลัง และ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากทำงานในส่วนนั้นไปด้วยเลย

ลีออน ถ้าคุณจริงจังกับเรื่องนี้นะ คุณก็ลุยไปเลย แล้วถ้าสรุปยังไงก็มาบอกผมด้วยแล้วกัน

หลังจากนั้นลีออนก็ผันตัวเป็นผู้ช่วยประจำตัวของสแตนลีย์ตลอดมา ตั้งแต่ The Shining จนไปถึงภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายอย่าง Eyes Wide Shut แต่หากถามว่าลีออนมีหน้าที่ทำอะไรก็คงยากที่จะระบุ เพราะเขาทำเสียแทบจะทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ เขาเปรียบเสมือนเด็กฝึกงานข้างกายสแตนลีย์ที่สามารถทำได้ทุกอย่าง

ใน The Shining หน้าที่หลักของลีออนคือการเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ให้กับ แดนนี ลอยด์ (Danny Lloyd) เด็กชายตัวน้อย และเด็กหญิงฝาแฝดอีกสองคนอีกด้วย โดยหน้าที่ของเขาประกอบไปด้วยการดูแลและเป็น Acting Coach เพื่อชี้แนะว่าเด็ก ๆ ควรจะแสดงอย่างไรตามที่สแตนลีย์บรีฟมา โดยเขาถูกให้เครดิตในภาพยนตร์ The Shining ไว้ว่า ‘Personal Assistant to the Director’ หรือ ‘ผู้ช่วยส่วนตัวของผู้กำกับ

หน้าที่ของลีออนนั้นครอบคลุมไปถึงการดูแลเรื่องฟิล์มและการจัดเก็บที่บ้านของสแตนลีย์อีกด้วย และครั้งหนึ่ง ด้วยความที่สแตนลีย์ถือเป็นคนที่รักแมวเป็นอย่างมาก (ทาสแมว) เขาเคยให้ลีออนตั้งกล้องและมอนิเตอร์ไปที่แมวตัวหนึ่งของสแตนลีย์ที่กำลังป่วยใกล้ตาย เพื่อที่ผู้กำกับสุดเนี๊ยบจะได้สามารถดูแมวของเขาได้ตลอดเวลาอีกด้วย

ลีออน วิตาลิได้จากไปสงบเมื่อวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคมด้วยวัย 74 ปี โดยล้อมรอบไปด้วยคนรัก เรื่องราวของลีออนแสดงให้เห็ยนอีกมุมหนึ่งของเบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ สแตนลีย์ และชี้ให้เห็นว่า ลีออน วิตาลิ เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้การทำงานและวิสัยทัศน์ของสแตนลีย์ดำเนินไปอย่างราบรื่นมากที่สุด

น้อยคนนักที่จะสละทุกอย่างแล้วหันมาช่วยเหลือทุ่มเทเพื่อใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มความสามารถ น้อยคนนักที่จะมีความเคารพ ยกย่อง และนับถือคน ๆ หนึ่งถึงขั้นที่ยอมทุ่มแรงกายแรงใจเพื่อช่วยงานคนอีกคนหนึ่ง และหากมีสมุดบันทึกรวมผู้ช่วยที่ดีที่สุดในโลก ลีออน วิตาลิต้องอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน

 

 

ภาพ:

IMDb

ภาพยนตร์ Barry Lyndon (1975)

อ้างอิง

ภาพยนตร์สารคดี Film Worker (2017)

https://www.theguardian.com/film/2022/aug/22/leon-vitali-stanley-kubrick-collaborator-and-barry-lyndon-actor-dies-aged-74