07 ม.ค. 2566 | 18:16 น.
- ‘ซงฮเยคโย’ นักแสดงสาวขวัญใจชาวเกาหลีรับบท ‘มุนดงอึน’ ในซีรีส์ The Glory การแสดงของเธอได้รับคำชื่นชมมากมาย
- ซงฮเยคโย มีแฟนติดตามผลงานมายาวนานตลอด 2 ทศวรรษในเส้นทางบันเทิง เธอเป็นนักแสดงผู้ขึ้นชื่อเรื่องโลกส่วนตัวสูง
- ขณะที่ซีรีส์ The Glory ซึ่งมีเนื้อหาตีแผ่การบุลลี มีรายละเอียดบางส่วนที่สอดคล้องกับเหตุการณ์จริง
***บทความเปิดเผยเนื้อหาส่วนหนึ่งในซีรีส์ The Glory***
ถ้าจะพูดถึง Korean Wave หรือคลื่นความมั่งคั่งทางวัฒนธรรมของเกาหลีที่เข้ามาในบ้านเราในรูปของหนังและซีรีส์ ก็น่าจะพูดได้ว่าผู้ชมในยุคแรก ๆ นั้น ได้ร่วมเสพกระแสความโด่งดังของนักแสดงแห่งยุคไปพร้อม ๆ กับความนิยมในเกาหลีแบบเกือบจะเรียลไทม์ แม้ในยุคนั้นจะยากต่อการติดตามและหาข้อมูลดาราที่ชื่นชอบก็ตาม แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อผ่านจากจุดนั้นมาร่วม 20 ปี และเทคโนโลยีเริ่มเอื้อให้แฟน ๆ ทั่วโลกได้ติดตามคนที่ตนชื่นชอบอย่างใกล้ชิดและเจาะลึกยิ่งกว่าเดิม กลับไม่ได้ทำให้ผู้ชมเข้าใกล้คนดังจำนวนหนึ่งมากขึ้นตามยุคสมัย
และเมื่อเราพิจารณาจาก ‘3 เทพธิดา’ Korean Wave ยุคแรกที่เรียกรวม ๆ ว่า ‘แทฮเยจี’ หรือก็คือ คิมแทฮี ซงฮเยคโย และจอนจีฮยอน แล้ว ก็จะพบว่าผู้ที่ได้รับฉายาว่า ‘ราชินีเมโลดราม่า’ อย่าง ‘ซงฮเยคโย’ นั้น เป็นคนที่รักษาระยะห่างกับสื่อและแฟน ๆ มากที่สุด ซึ่งความนิยมและกระแสเรียกร้องใด ๆ ก็ไม่เคยทำให้เธอเลือกจะออกมา ‘รับแสง’ จากสปอตไลต์มากขึ้นเลย
ในผลงานล่าสุดของเธออย่าง The Glory ที่หยิบคอนเซปต์การบุลลี่และการแก้แค้นมาบอกเล่าอย่างเข้มข้น ไม่เพียงขับเน้นฝีมือการแสดงของซงฮเยคโย ในมิติที่ไม่เคยนำเสนอมาก่อนเท่านั้น แต่ยังเป็นเงาสะท้อนวงจรชีวิตและการเติบโตของคนที่ล้วนแล้วแต่ต้องประสบพบเจออุปสรรคในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะยากดีมีจน ได้รับความรักหรือไม่ได้รับความรักก็ตาม
ตัวอย่างที่เห็นได้ก็เช่น การเติบโตของตัวละคร ‘มุนดงอึน’ ที่ถูกบุลลี่จากเพื่อนนักเรียนอย่างรุนแรง และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว ซึ่งก็มีเพียงแม่ของเธอคนเดียวเท่านั้น รวมถึงจากโรงเรียน ทั้งครูและนักเรียนคนอื่น จนที่สุดแล้วตัวละครนี้เลือกที่จะบ่มเพาะความแค้นและความเกลียดชัง เพื่อกลับมาเอาคืนคนที่เคยทำร้าย
โปรเจกต์นี้ ผู้เขียนบท ‘คิมอึนซุก’ จากเรื่อง Descendants of the Sun และ Goblin ได้รับแรงบันดาลใจจากการคุยกับลูกสาวและเหตุบุลลี่จริงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ขณะที่ผู้กำกับอันกิลโฮ จาก Stranger และ Memories of the Alhambra ก็เห็นว่าบทที่ต้องทั้งอ่อนแอมาก ๆ และแข็งแกร่งมาก ๆ แบบนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่เหมาะสม
แน่นอน คนที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเหนือจาก ซงฮเยคโย นักแสดงที่ผู้ชมส่วนมากยังคงติดกับภาพลักษณ์นางเอกมู้ดอบอุ่นสดใส ที่พร้อม ๆ กันนั้น เธอก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์นักแสดงโลกส่วนตัวสูง และมีมุมที่ผู้ชม ‘มองไม่เห็น’ ไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ต่างจากช่วงเพิ่งเข้าวงการและเริ่มประสบความสำเร็จเลย
ซงฮเยคโย เข้าวงการบันเทิงจากการประกวดนางแบบชุดนักเรียนเมื่อปี 1996 ก่อนจะมาเป็นหนึ่งในนักแสดงซิตคอม Soonpoong Clinic ในปี 1998 และพบกับจุดพลิกสำคัญในชีวิตกับซีรีส์เรื่อง Autumn in My Heart ในปี 2000 ที่ส่งให้เธอ รวมถึงนักแสดงร่วมอย่าง ซงซึงฮอน และ วอนบิน กลายเป็นดาราแถวหน้าของเอเชียในที่สุด ต่อเนื่องด้วยความสำเร็จกับซีรีส์ All In และ Full House ภาพยนตร์ Hwang Jin Yi รวมถึงซีรีส์ Worlds Within และ That Winter, the Wind Blows
เรื่องราวความเป็นมาในชีวิตของนักแสดงที่ได้รับความรักมากมายจากแฟน ๆ ทั่วเอเชีย ไม่ได้ถูกเปิดเผยมากนัก จะมีก็แต่สารคดีข่าวบันเทิง Byeol Byeol Talk Show ทางช่อง TV Chosun เท่านั้น ที่หยิบยกปูมหลังของเธอมาบอกเล่าหลังจากที่เธอประกาศแต่งงานกับนักแสดง ซงจุงกิ
Byeol Byeol Talk Show รายงานว่าพ่อแม่ของซงฮเยคโย แต่งงานกันตั้งแต่อายุ 18 ปี และให้กำเนิดเธอไม่นานหลังจากนั้น แต่ด้วยความคิดเห็นที่ไม่ลงรอย ปัญหาทางเศรษฐกิจ และปัญหาการเกณฑ์ทหาร ทำให้พวกเขาหย่าร้างกันในที่สุด และแม่ของเธอก็พาเธอย้ายจากเมืองแดกูมายังกรุงโซลในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
ที่น่าสนใจคือ รายการนำเสนอว่าคุณแม่ของซงฮเยคโย เลี้ยงดูเธอในแบบที่ ‘ถ้าวันหนึ่งแม่หายไป ลูกจะอยู่ด้วยตัวเองได้’ หรือก็คือเลี้ยงดูให้โตมาอย่างเข้มแข็ง พร้อมที่จะรับผิดชอบตัวเอง ถ้าชีวิตนี้จะไม่มีใครคอยช่วยเหลือนั่นเอง
ด้วยความรัก ความอบอุ่นที่แม่มอบให้เธอมาเสมอ ตลอดจนบันทึกการเติบโตของลูกสาวด้วยการถ่ายภาพอิริยาบถต่าง ๆ ในทุกวัน ซงฮเยคโย ก็เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวภาพลักษณ์อ่อนหวาน ที่ในขณะเดียวกันก็หนักแน่น มั่นคง และรับผิดชอบตัวเองได้ดีเสมอ
ถึงจุดนี้ ก็คงไม่ผิดนักที่จะระบุอย่างเจาะจงไปเลยว่านี่คือคุณสมบัติความเข้มแข็งที่เหมาะสมกับการถ่ายทอดบทบาท มุนดงอึน อย่างที่สุด และความจริงแล้ว The Glory ก็อาจจะเป็นบทที่เกิดมาเพื่อเธอโดยเฉพาะก็ได้
ในฉากหนึ่งของ The Glory ผู้ชมจะเห็นวัฒนธรรมการมอบชุดแต่งกายแรกของเด็กทารก ‘แพแนดจอโกรี’ (배냇저고리) ที่แต่ดั้งเดิมจะตัดเย็บขึ้นใหม่หลังทารกคลอด ด้วยผ้าจากเครื่องแต่งกายของผู้ใหญ่เพศชายในครอบครัวที่อายุยืนยาวและประสบความสำเร็จในชีวิตมาแล้ว โดยเชื่อกันว่าจะเป็นสิริมงคลกับสมาชิกใหม่ของบ้าน
ซึ่งในเรื่องนั้นมาในรูปของชุดเด็กแบรนด์เนมสีสด ที่แม่สามีของตัวละคร พักยอนจิน ซื้อรับขวัญหลาน จริงอยู่ที่ ‘สีฉูดฉาด’ นั้นจะผูกโยงกับเส้นเรื่องที่ว่าเด็กน้อยมียีนตาบอดสีอยู่ แต่ขณะเดียวกัน สีฉูดฉาดของชุดเด็กนั้น รวมถึงการที่พักยอนจินแอบโยนมันทิ้ง ก็สามารถมองให้เป็น ‘ลางร้าย’ ตามความเชื่อได้เช่นกัน
เพราะความจริงแล้วชุดแรกของทารกที่ว่าควรต้องหลีกเลี่ยงสีสด เพื่อกันไม่ให้วิญญาณร้ายเข้าหาหรือทำร้ายเด็ก และต้องไม่โยนทิ้งหรือทำเป็นผ้าขี้ริ้ว เพื่อไม่ให้เด็กเติบโตมามีชีวิตตกต่ำในอนาคต
อาจเป็นเพราะไม่เคยรับ ‘ชุดแรก’ นั้น หรืออาจเป็นเพราะชุดที่ว่าถูกโดยทิ้งไป ชีวิตของตัวละคร มุนดงอึน ใน The Glory จึงเติบโตมาอย่างยากลำบาก จากเด็กนักเรียนที่ฝันอยากเป็นสถาปนิก สร้างบ้านสวย ๆ ให้ผู้คน กลับกลายเป็นคนที่ไม่ได้เรียนต่อในระบบการศึกษาภาคปกติ ต้องทำงานในโรงงาน พร้อมกับที่ต้องปิดบังบาดแผลบนร่างกายจากการถูกทรมานด้วยความร้อน ซึ่งมักปวดระบมอยู่เสมอเมื่ออากาศร้อน และทำให้คนดูมักเห็นเธอใส่ชุดเนื้อผ้าบางท่ามกลางอากาศหนาวอยู่บ่อยครั้ง
ในความเป็นจริง การบุลลี่เพื่อนนักเรียนโดยการนาบที่ม้วนผมตามร่างกายนั้นมีอยู่จริง โดยเมื่อปี 2006 มีนักเรียนมัธยมต้นในเมืองชองจูถูกทำร้ายด้วยการนาบที่ม้วนผมลงบนแขน ขุดหน้าอกด้วยกิ๊บติดผม และรีดไถเงินค่าขนม
แต่ความหนักหนาและเข้มข้นของสถานการณ์ในเรื่องอาจมีส่วนมาจากการตีความของผู้เขียน หลังจากที่ลูกสาวของเธอตั้งคำถามว่า “อะไรจะน่าเจ็บปวดสำหรับแม่มากกว่า ระหว่างลูกไปตีคนอื่นจนตาย หรือลูกถูกตีจนตาย?” คำถามนั้นสร้างความตกตะลึงให้กับผู้เขียนบทอย่างมาก ทั้งในความใกล้ตัว และความจริงที่ว่าความรุนแรงในโรงเรียนสามารถนำไปสู่ความตาย
เรต 19+ ที่ The Glory ได้รับ ไม่ได้มาจากฉากความรุนแรงเท่านั้น แต่ในสังคมเกาหลีที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่ชอบธรรมและตัวบทกฎหมาย การกระทำของตัวเดินเรื่องถือเป็นสิ่งที่ขัดกับจริยธรรมที่ดีงาม ความเชื่อของผู้คน รวมถึงความเชื่อของทีมงานผู้ผลิตเอง แต่ก็คงเพราะความสุดโต่งและไร้ความชอบธรรมนี้ เลยทำให้โปรเจกต์นี้ได้รับชื่อว่า The Glory ตามบทพูดที่มุนดงอึน กล่าวว่าจะไม่ให้อภัยผู้ที่ล่วงเกินเธอ และเหตุการณ์นี้จะไม่มี ‘เกียรติยศ’ เหลืออยู่
ฉากสำคัญที่สุดของเนื้อเรื่องในพาร์ตที่ 1 คือฉากที่มุนดงอึน ถอดเสื้อผ้าเพื่อเผยให้เห็นรอยแผลจากการบุลลี่ที่ปรากฏอยู่ทั่วร่างกายของเธอให้แพทย์หนุ่ม จูยอจอง ได้เห็น ในทีแรก ผู้เขียนบทเกรงว่า ซงฮเยคโย จะอึดอัดใจกับฉากดังกล่าว และต้องใส่ใจดูแลรูปร่างให้ออกมาดูดี แต่นักแสดงผู้ออกปากว่า “กระหายบทที่เข้มข้นแบบนี้เหลือเกิน” กลับบอกว่าเธอจะลดน้ำหนัก และทำให้ร่างกายดูไม่สวย ดูน่าสงสารอย่างจับใจที่สุดในสายตาผู้ชม เป็นที่มาของฉากสุดทรงพลังที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง
ความจริงแล้วจะบอกว่านี่คือครั้งแรกที่ซงฮเยคโย รับบทตัวละครที่มืดหม่นก็ไม่ถูกนัก เพราะเมื่อปี 2010 เธอเคยรับเล่นภาพยนตร์อินดี้สัญชาติอเมริกันขนาดสั้นเรื่อง Fetish ที่บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวผู้หนีจากลัทธิทรงเจ้าเข้าผีในแผ่นดินเกิด ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกาผ่านนายหน้าจัดหาเจ้าสาว แต่การแต่งงานกับชายที่เพิ่งรู้จักก็ไม่ช่วยให้เธอหนีปัญหานั้นได้ กลับกัน เธอดันต้องพบกันปัญหาเดิม ๆ เมื่อชุมชนชาวคริสต์เกาหลีในอเมริกาก็กระทบกระทั่งกับ ‘ความเป็นอเมริกัน’ ตัวละครเจ้าสาวนี้ จึงตกอยู่ท่ามกลางปัญหาที่หาทางออกไม่ได้ง่าย ๆ
ด้วยฝีมือการแสดงของซงฮเยคโย ในตอนนั้น ที่ยังไม่เปล่งประกายนัก ทำให้เธอไม่ค่อยถูกพูดถึงจากบทบาทดังกล่าวเท่าไร จะเพราะเหตุผลที่ว่าผลงานดังกล่าวไม่ใช่ภาพยนตร์กระแสหลักก็ตาม หรือจะเพราะเธอไม่อยากให้มีการนำเสนอข่าวก็ตาม ถึงอย่างไร ซงฮเยคโย ก็ไม่ต้องการถูกพูดถึงเมื่อไม่จำเป็น และเคยตอบสัมภาษณ์ว่า “ขอไม่ตอบส่วนนี้” เป็นปกติอยู่แล้ว ทั้งเรื่องสมัยเด็ก เรื่องผลงาน และเรื่องความรัก
ความ ‘ไม่อยากตกเป็นข่าว’ ของเธอปรากฏอย่างชัดเจนจริง ๆ ก็ตอนที่เธอตัดสินใจจะแต่งงาน โดยมีรายงานว่าเธอคบหาดูใจกับซงจุงกิ มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ตกเป็นข่าว เพราะ Dispatch พยายามจะพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าความสัมพันธ์นี้จะนำไปสู่การแต่งงานจริงหรือไม่ จึงไม่ได้นำเสนอข่าวทันทีที่มีหลักฐานการออกเดต ขณะในอีกกระแสข่าวหนึ่ง ก็มีการให้ความเห็นว่าเธอสนิทสนมกับสื่อดังพอที่จะให้พวกเขาชะลอการเขียนข่าวถึงเธอได้
ชีวิตแต่งงานที่เป็นข่าวไปทั่วโลกนั้นจบลงในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ตามมาด้วยความคิดเห็นของแฟน ๆ และกระแสข่าวเบื้องลึกเบื้องหลังมากมาย แต่ซงฮเยคโย ก็ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวและรักษาระยะห่างจาก ‘สปอตไลต์’ ไว้ได้อย่างน่าทึ่ง เธอดูจะเป็นเธอคนเดิมเสมอมา นับตั้งแต่วันที่แฟน ๆ เทใจให้ ‘ชเวอึนซอ’ ใน Autumn in My Heart
ถึงจุดนี้ เราจะพูดได้อย่างเต็มปากแล้วหรือไม่ ว่าซงฮเยคโย คือนักแสดงที่รับผิดชอบในหน้าที่และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ว่าซงฮเยคโย คือนักแสดงที่เป็นมากกว่านางเอกเมโลดราม่า และซงฮเยคโย คือคนที่นำเสนอมุนดงอึน รวมถึงชีวิตโศกเศร้าสีขาวดำที่มาคู่กันนั้น ได้อย่างเปล่งประกายและมีสีสันที่สุด
ในความเห็นของผู้เขียน บทมุนดงอึน ไม่เพียงจะนำเสนอการเอาคืนของมุนดงอึน ต่อเหล่าบุลลี่ทั้งหลายที่ชีวิตมีพร้อมทุกอย่างแต่ยังรังแกผู้อื่นเท่านั้น แต่ในทางหนึ่ง มันยังสะท้อนถึง ‘การเอาคืน’ ของซงฮเยคโย เอง ต่อกระแสข่าวต่าง ๆ และความไม่เป็นธรรมต่อตัวเธอในวงการบันเทิง พร้อมกับพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอคือนักแสดงที่แท้จริงอีกด้วย
เรื่อง: นิรามัย
ภาพ: Getty Images และ Netflix
อ้างอิง: