สัมภาษณ์ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ เผยชีวิตจริงของนักร้องยอดสตรีมรวมใน YouTube สูงสุดในไทย

สัมภาษณ์ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ เผยชีวิตจริงของนักร้องยอดสตรีมรวมใน YouTube สูงสุดในไทย

สนทนาแบบ Exclusive กับ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ ศิลปินเจ้าของสถิติยอดสตรีมรวมในยูทูบ (YouTube) ประเทศไทย มากที่สุดติดต่อกัน 2 ปี (2020-2021) ว่าด้วยเรื่องราวในเส้นทางชีวิตที่โลดโผน ยากลำบาก และการฝ่าฟันอุปสรรคอย่างไม่ย่อท้อ

  • มนต์แคน แก่นคูน ศิลปินหมอลำ-ลูกทุ่ง คือเจ้าของสถิติศิลปินที่มียอดสตรีมรวมในยูทูบ (YouTube) ไทย มากที่สุดหลายปีต่อกัน
  • เส้นทางศิลปินของเขาผ่านช่วงเวลาที่เป็นทั้งคนทำราชการ และงานศิลปินควบคู่กัน 
  • กว่าจะเป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมในช่องทางออนไลน์ มนต์แคน แก่นคูน ผ่านประสบการณ์ชีวิตหลากหลาย ในวันนี้ เขามาทำการเกษตรควบคู่กับบทบาทศิลปินนักร้องด้วย

“ตัวจริงเล่า เล่าจากใจจริง” นี่คืออีกหนึ่งเบื้องหลังเหตุผลและแนวคิดการถ่ายทอดงานเพลงจากมุมมองของ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ นักร้องลูกทุ่ง-หมอลำ เจ้าของสถิติในยูทูบของไทยหลายสถิติตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา

‘มนต์แคน แก่นคูน’ เป็นศิลปินเจ้าของสถิติยอดสตรีมรวมในยูทูบ (YouTube) ประเทศไทย มากที่สุดติดต่อกัน 2 ปี (2020-2021) ในปี 2022 มนต์แคน แก่นคูน ยังเป็นเจ้าของสถิติเพิ่มมาอีกข้อ นั่นคือ เป็นผู้ขับร้องในคลิปเพลงที่มียอดรับชมเกิน 100 ล้านวิว ถึง 11 เพลง (ข้อมูล ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2022)

The People มีโอกาสสัมภาษณ์มนต์แคน แก่นคูน แบบ Exclusive ‘มนต์แคน แก่นคูน’ เล่าถึงเส้นทางชีวิต ความยากลำบากต่าง ๆ นานาที่สัมผัสในช่วงเป็นทั้งศิลปิน และรับราชการในเวลาเดียวกัน ก่อนฝ่าฟันมาสู่ศิลปินขวัญใจแฟนเพลงเบอร์ต้นของวงการในวันนี้

The People: เริ่มต้นร้องเพลงได้อย่างไร

มนต์แคน แก่นคูน: การเริ่มต้นของการร้องเพลงของผมคือ เริ่มมาจากความชอบ หรือจริง ๆ อาจจะมาจากทางสายเลือดก็ว่าได้ เพราะคุณพ่อของผมเป็นศิลปินพื้นบ้าน และทางคุณแม่ก็มีนะครับ คุณแม่ไม่ได้เป็นศิลปิน แต่คุณตา กับ น้าชาย อา น้องชายของคุณแม่เป็นศิลปิน

The People: คุณพ่อมีสอน หรือว่าเปิดเพลงทำให้ซึมซับ แล้วมีส่วนทำให้อยากร้องเพลง ด้วยไหม

มนต์แคน แก่นคูน: มีส่วนนะครับ เพราะว่าสื่อในสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก สื่อที่เราได้ฟังนะครับ สื่อที่เรารับได้ก็คือวิทยุ มีทีวีน้อยมากสมัยผมเป็นเด็ก ทีวียังไม่ ยังไปไม่ถึง มีแต่น้อยมาก และก็สื่อการฟังเพลงแทบจะไม่มี จะมีคือวิทยุนะครับ เปิดฟังหาตามคลื่นวิทยุ สมัยนั้นเยอะมากนะครับ

คุณพ่อมีส่วนมากนะครับ มีส่วนในการ แนะนำในการฟังและก็จะ แนะในเทคนิคในการฟังและก็จดจำ อันนั้นคืออะไร อันนี้คืออะไรนะครับ

The People: อาชีพนักร้องคือ ความฝันไหม มีตั้งเป้าหมายว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร นักร้องเคยมีอยู่ในลิสต์นั้นไหม

มนต์แคน แก่นคูน: สมัยเรียนประถม จำความได้ประมาณหนึ่ง เรียนอยู่ที่ป.5 คุณครูประจำชั้นก็จะให้ นักเรียนแต่ละคนออกไปแสดงความคิดความฝันของตัวเองหน้าชั้นเรียน แต่ละคนก็จะเดิน ๆ ออกไปเล่าถึงความฝันของตัวเอง จบจากเรียนแล้วอยากจะเป็นอะไร โตขึ้นมาอยากเป็นอะไร

ผมก็จำได้ว่า ผมก็ไปบอกเพื่อน ๆ ว่า ผมอยากเป็นอยู่สองอย่าง “ทหาร” กับ “นักร้อง”

The People: เป็นเพราะอะไร ทำไมถึงอยากเป็นสองอย่างนี้

มนต์แคน แก่นคูน: ผู้ชายนะ ผู้ชาย...ส่วนมาก ถ้าถามว่าอยากเป็นอะไร หนึ่งละ ไอดอลในใจก็หนึ่ง โอโห ทหารเท่มาก แข็งแรงดูเท่ ดูแมน อะไรต่าง ๆ และก็จะมีในหนัง ในละคร ก็จะมีทหารมาเกี่ยวข้อง คำว่าทหารคือความเข้มแข็งความเป็นลูกผู้ชาย ผู้ชายทุกคนอยากเป็นนะครับ ในใจของทุกคนอยากเป็น ผมก็หนึ่งในนั้นด้วย มีสองคำที่ผมพูดไปสองอาชีพ ที่ผมอยากเป็นคือ “ทหาร” กับ “นักร้อง” เหมือนคุณพ่อ กับคุณอาที่เคยเป็น

The People: เพลงที่ฟังสมัยยังเป็นเด็ก ๆ มีเพลงหรือศิลปินคนไหนที่เป็นอิทธิพลให้รู้สึกอยากเป็นนักร้องด้วยไหม

มนต์แคน แก่นคูน: โอ เยอะมาก ผมเป็นคนที่ฟังเพลงหลากหลายมากครับ แต่นับตั้งแต่ลูกทุ่งจริง ๆ ลูกทุ่งภาคกลางสมัยนั้น ครูบาอาจารย์ชั้นครู ท่านฝากผลงานไว้เยอะมากนะครับ ดังมาก ๆ อาจารย์สายัณห์ สัญญา อาจารย์ยอดรัก (สลักใจ) และอีกหลาย ๆ ท่าน ในแถวภาคกลาง ในทางภาคอีสาน บ้านผมเองก็มีเยอะ อาจารย์ทองมี มาลัย อาจารย์สรเพชร ภิญโญ เป็นต้นนะครับและอีกหลาย ๆ ท่านที่ถือว่าเป็นครูพักลักจำของผม

ก็จะเจอหมดเลยในวิทยุที่หมุนหา เราจะรับรู้ได้เลยว่าคลื่นนี้ จดจำคลื่นนี้ว่า เวลานี้ คลื่นนี้นักจัดรายการคนนี้จะมานะครับ เราจำเวลาประมาณนี้ แล้วก็หมุนหา จบจากคลื่นนี้ ไปคลื่นนี้ก็จะเป็นเพลงแนวนี้ ก็เป็นวงจรชีวิต ของคนชาวไร่ชาวนา ที่....ไอ้มือก็ทำไป หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินไป แต่หูนี้ฟัง....นะครับ เป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจไปได้ดีอีกทางหนึ่งนะครับ

The People: อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้อัดเสียง ได้ไปทำในแนวทางศิลปิน 

มนต์แคน แก่นคูน: จริง ๆ แล้ว คุณครูประจำชั้นหรือคุณครูหลาย ๆ ท่านที่โรงเรียนที่ผมเรียนประถม ท่านก็รู้ว่าผมเป็นคนชอบร้องเพลง ลูกศิลปิน มีสายเลือดนักร้องในตัวว่างั้นเถอะ เป็นนักร้องประจำโรงเรียนก็ว่าได้นะครับ ก็ร้องหน้าห้องแค่นั้น หน้าเสาธงบ้างบางครั้ง แต่ว่าเวทีไม่เคยนะครับ ทางคุณครูท่านก็รู้ว่าจำได้ว่า เออ ชื่อเล่นชื่อเพชร เพชรมันชอบร้องเพลง ประมาณนี้

มันมีห้วงเวลาหนึ่งที่ผมพักจากการมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็กลับไปอยู่บ้านนะครับ กลับไปกราบคุณครูท่าน ก็มีโอกาสไปช่วยท่าน ท่านก็มีอาชีพเสริม กลางคืนท่านก็ไปร้องเพลง ก็เป็นจุดเริ่มต้นนะ ที่ผมมีโอกาสได้ไปช่วยท่านขับรถไปก็ไม่คิดว่าจะไปร้องเพลงจะไปเป็นนักร้อง วันนั้นนักร้องเค้าขาดก็เชิญไปลองดู ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นกับคุณครู ทางคุณครูท่านก็ช่วยส่งทางให้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลาย ๆ ท่านนะครับ

อย่างท่าน ส.ส วิฑูรย์ วงไกร ในสมัยนั้นท่านเป็นส.ส และก็เป็นนักจัดรายการวิทยุที่จังหวัดยโสธรที่โด่งดังมากนะครับ ท่านก็ปั้นนักร้องโด่งดังหลายท่านเลยนะครับ คุณครูก็คิดว่าคงจะมีโอกาส เป็นโอกาสที่ดีที่ถ้าได้ฝากกับผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนี้นะครับคงจะส่งทางไปได้ไกลกว่านะครับ เผื่อได้เป็นนักร้องกับเขาบ้างในตอนนั้น

The People: พอจำประสบการณ์เพลงแรกที่ดูว่าจะได้อัดเพลง เพลงแรกมันรู้สึกอย่างไร แล้วได้อัดเพลงอะไร ไปทำงานกันอย่างไร ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อย

มนต์แคน แก่นคูน: ใช้เวลาอยู่สักพักนะครับ หลังจากที่ได้มาฝากกับผู้หลักผู้ใหญ่แล้วก็ได้จากผู้ใหญ่ที่บ้าน คุณพ่อวิฑูรย์ วงไกร ได้มาฝากต่ออีกทีกับผู้ที่ทำงานอยู่ในค่ายเพลงก็คือ อาจารย์มนต์เมืองเหนือ ก็เป็นครูบาอาจารย์ของมนต์แคนเองท่านหนึ่งนะครับ เป็นผู้ที่ให้โอกาสและสั่งสอนในเรื่องราวของการเป็นศิลปินนะครับ ถือว่าเป็นผู้ดูแลผมอีกท่านหนึ่งนะครับ เป็นครูคนหนึ่ง

ท่านก็ได้ไปฝากกับคุณครูที่เขียนเพลง แต่งเพลงโดยตรงจริง ๆ คือครูสุมทุม ไผ่ริมบึง ซึ่งตอนนี้ท่านก็สิ้นอายุขัยไปแล้วนะครับ ก็ได้ไปอยู่กับท่าน ได้เรียนรู้นะครับ ได้เพลงมาครั้งแรก ท่านก็ให้ท่องให้ซ้อมนะครับ ท่านก็ดูบุคลิกว่า จะร้องเพลงแนวไหนที่จะเข้ากับบุคลิกของตัวเองนะครับ 

ความตื่นเต้นไม่ต้องพูดถึง คือความฝันเรา คำว่าเป็นนักร้องอัดแผ่นเสียงมันยิ่งใหญ่มาก มันดูดีแล้วยิ่งใหญ่ มันเหมือนฝันที่เป็นจริง

คำว่าฝันของคนต่างจังหวัดมันฝันจริง ๆ นะ ฝันที่เราจะไปไขว่คว้านี้เป็นอะไรที่ยากมาก แต่คำว่าฝันอยากได้ อยากเป็น แต่วันนั้นเป็นฝันที่เป็นจริงนะครับ แต่ความประสบความสำเร็จอะไรต่าง ๆ ค่อยว่ากันอีกที ในการที่จะทำอัลบั้ม แล้วมีรูปตัวเองในแผ่นเสียง ในม้วนเทป ในซีดี และก็มีรูปตัวเองในทีวีออกมา ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ตื่นเต้นจริง ๆ

สัมภาษณ์ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ เผยชีวิตจริงของนักร้องยอดสตรีมรวมใน YouTube สูงสุดในไทย

The People: เพลงแรกที่ร้องเป็นเพลงเกี่ยวกับอะไร พอจำได้ไหม

มนต์แคน แก่นคูน: เป็นเพลงแนวอีสานนะครับ ครั้งนั้นผมทำอัลบั้มกับบริษัทอาร์เอสโปรโมรชั่นนะครับ  เป็นเพลงแนวอีสานเป็นหมอลำ เพลงแรกที่บันทึกเสียง จะได้ว่าชื่อเพลง ‘ขอให้ถึงดวงดาว’

คือส่วนหนึ่งก็เกี่ยวกับตัวเองเราด้วย ให้กำลังใจ ฝันของตัวเองก็ขอให้ถึงดวงดาว แต่ในเนื้อเพลงจริง ๆ เป็นเรื่องของความรักของหนุ่มสาวนะครับ “ขอให้เจ้าไปถึงดวงดาวนะ” เป็นความหวังดี...นะครับ

The People: กว่าจะได้อัดเพลงแรก เจออุปสรรคอะไรบ้าง พอจะเล่าได้ไหม มีท้อบ้างไหม

มนต์แคน แก่นคูน: มากมาย เยอะแยะ และก็โดยเฉพาะเรื่องของความเป็นอยู่นะครับ ในความเป็นอยู่คือ เราต้องไปอาศัยอยู่กับครู แต่โชคดีคุณครูท่านเป็นเมตตา คุณครู สุรทุม ไผ่ริมบึง ท่านก็เมตตา เลี้ยงดูเหมือนลูกหลาน สอนไปด้วยนะครับ สอนเทคนิค สอนอะไรต่าง ๆ ด้วย เลี้ยงดูเหมือนลูกหลาน รายได้เราก็ไม่มี ก็ไปเป็นภาระท่านด้วย

เราก็เอาความเป็นตัวตน เอาแรงเราไปช่วยงานบ้าน ช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านท่าน ไม่เป็นภาระท่านมากเกินไปนะครับ... อันนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่ง ซึ่งมันก็จะทำให้พวกเรา หลาย ๆ คนที่คิดฝันในเรื่องนี้ หลายคนอาจจะท้อไป หรือไม่มีแรงสู้นะครับ

ผมโชคดีหน่อยที่ทางบ้านถึงแม้จะไม่ร่ำรวยอะไร ก็พยายามที่จะหาวิธีส่งค่ารถทัวร์มา เวลามาอยู่นานก็อยากกลับบ้าน ครูสุรทุมท่านก็ฝากค่ารถทัวร์ให้ เอาส่งขึ้นรถกลับบ้าน กลับบ้านไปเยี่ยม ทั้งบ้านก็หาสตางค์มาส่งขึ้นรถทัวร์มา ก็จะเป็นอย่างนี้ ก็คือมุมหนึ่งของปัญหานะครับ ซึ่งเราตอนนั้นไม่มีรายได้เลย เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นศิลปิน ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน อาจจะเจอเหมือนผมนะครับ

The People: ฝ่าฟันหรือว่าพูดกับตัวเองอย่างไร ให้กำลังใจตัวเองอย่างไรเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่อยากเป็น

มนต์แคน แก่นคูน: คือก็ต้องสู้ เพราะว่าเรามีโอกาสแล้วนะครับ ไม่มีทางก็ทำให้มีให้ได้นะต้องอยู่ให้ได้ ความเหนื่อย ความอะไรต่าง ๆ ที่อยู่ในใจเกิดขึ้น ความท้อแท้ มันมีแน่นอน เราก็ต้องสู้กับมัน

The People: ผลตอบรับเมื่อทำชุดแรกเสร็จแล้ว ออกมาเป็นอย่างไรบ้าง

มนต์แคน แก่นคูน: จริง ๆ ก็ดีนะ จริง ๆ ผลงานเพลงของครู และก็บริษัทต้นสังกัดสมัยนั้นก็ดี เขาก็ดูแลอย่างดีเลย เชียร์จนมีอัลบั้ม มีวางแผงขายตามท้องตลาดก็มี แต่ว่าด้วยตัวตนของผม ตัวตนของผมอาจจะไม่พร้อมที่จะเป็นศิลปินในวัยนั้น วันนั้นนะครับ ด้วยเราไม่ใช่ศิลปินที่มีพื้นฐานในการแสดง หรือ/และไม่มีสถานที่ให้แสดง ซึ่งมันจะมาต่อยอดกับงานเพลงที่สร้างขึ้นมานะครับ

ผมก็รออัดเป็นเสียงเสร็จ ก็ไปทำอาชีพอื่นเสริม ไม่มีโอกาสที่จะไปร้องเพลงบนเวทีนั้นเวทีนี้เหมือนศิลปินทั่วไป อันนี้คือจุดหนึ่งที่ทำให้ผลงานไม่ปะติดปะต่อ แล้วก็ถัดมาปีสองปี ผมก็เข้าวัยเกณฑ์ทหารนะครับ

เกณฑ์ทหารก็โชคดีได้ใบแดง ทบ.2 รับราชการอยู่กรุงเทพมหานครนะครับ

The People: ช่วงเวลาที่ไปอยู่ค่ายทหาร จากเดิมที่เคยจะเป็นนักร้อง เป็นศิลปินที่แบบได้ทำตามความฝันแล้ว อยู่ดี ๆ มาเกณฑ์ทหาร ต้องไปอยู่ในรั้วทหาร มองชะตาชีวิตตัวเองอย่างไร

มนต์แคน แก่นคูน: มาเกณฑ์ทหาร แน่นอนเราต้องสละเวลาอื่น ๆ ไปครับ สองปีต้องไปรับใช้ชาติ ถือว่าเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายไทย ก็ยินดีที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ให้เต็มที่ แต่ว่าลึก ๆ ในใจแล้วก็มีส่วน เราก็เสียดายโอกาส ก็มีผลต่องานที่เราทำเอาไว้นะครับ ทำให้งานเพลงไม่ปะติดปะต่อ

The People: ในส่วนดี เวลาไปอยู่ในค่ายทหาร ก็ถือว่าได้มีประสบการณ์ในการเอ็นเตอร์เทนคนดูเวลาที่มีงาน?

มนต์แคน แก่นคูน: ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนช่วยส่วนหนึ่งในการกล้าแสดงออก ก็ถือได้ว่าเป็นทหารสองปี ผมถือว่ามาเรียนรู้การเป็นทหารด้วย และเรียนรู้การมาเป็นศิลปินด้วย

ผมเป็นคนที่ขี้อาย เคอะเขินขี้อาย และก็การมาเป็นทหาร ครูฝึกท่านก็ช่วยให้ผ่อนคลาย กล้าแสดงออก เฮฮาอยู่กับเพื่อนเหมือนเป็นการปลดล็อคอีก ช่วยได้อีกในอีกวิธีหนึ่งนะครับ

ได้ผลประโยชน์ ทั้งการเป็นนักร้องด้วยแหละ เพราะว่าเสร็จจากเวลาฝึกก็เป็นนักร้อง ร้องให้เพื่อน ๆ ฟัง หรือมีงานสันทนาการกับผู้บังคับบัญชาก็ชักชวนให้ไปร้องเพลงบนเวทีในงานนั้นด้วย ในค่ายสันทนาการสนุกสนานของพวกเราเองนะครับ ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ผมได้ไปเรียนรู้เรื่องฝึกฝนตัวเองด้วยนะครับ

The People: ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในหน้าสื่อสมัยปัจจุบัน เวลาศิลปินดาราไปเป็นทหารอยู่ในค่าย จะมีข่าวต่าง ๆ เคยเจอประสบการณ์ตรงเรื่องการปฏิบัติสำหรับศิลปินที่เข้าไปอยู่ในค่ายทหารอย่างไรบ้าง ?

มนต์แคน แก่นคูน: ก็ปกตินะ เพราะสมัยที่ผมไป ในปีนั้นจะมีคนบ้านเดียวกัน คนจังหวัดเดียวกันอยู่ในหมวดเกินครึ่ง และก็มีจังหวัดใกล้เคียงกันอีกส่วนหนึ่งครับ

ผมก็ตกลงกับเพื่อนว่า “เฮ้ย อย่างเพิ่งบอกนะว่าเราเป็นใคร” อีกอย่าง เราก็กลัวว่าจะไม่สะดวกไหม กลัวว่าอาจจะอะไรต่าง ๆ ที่คิดไปโดยที่เราไม่รู้ว่า เราเป็นประชาชนธรรมดาแล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราเข้าไปในค่ายทหารแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ได้แต่ถามรุ่นพี่ที่เค้าเป็นก่อน...ก็เลยตกลงกับเพื่อน ๆ ว่า “อย่าเพิ่งบอกนะว่าเราเป็นใคร” “อย่าเพิ่งบอกว่าเราเป็นนักร้องนะ” (หัวเราะ) เดี๋ยวดูท่าทีก่อนว่าจะเป็นยังไง ค่อย ๆ ว่ากัน แต่ที่ไหนได้ ไปถึงที่นั่นเขาก็รู้แล้ว (หัวเราะ)

ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี ไม่ได้มีการอะไรมากมายไปกว่าเพื่อน สิทธิก็เท่าเทียมกับเพื่อน แต่ที่เหนื่อยหน่อยคือเวลาเพื่อนพัก ผมจะไปเป็นนักร้องสันทนาการกล่อมเพื่อน (หัวเราะ)

The People: แล้วพอออกจากค่ายทหารมา เส้นทางศิลปินเป็นอย่างไร ปะติดปะต่อชีวิตอย่างไรบ้าง

มนต์แคน แก่นคูน: ก็ยังอยู่นะครับ ในช่วงที่เกณฑ์ทหารผมอยู่กับค่าย อาร์เอสโปรโมชั่นนะครับ อยู่กับอาจารย์มนต์เมืองเหนือ อาจารย์สุมทุม ไผ่ริมบึง

ปี 39 ผมพ้นเกณฑ์ก็ไปขอ ขออาจารย์ “อาจารย์ผมไม่ไหวละ ผมเลิกละ ผมขอนะอาจารย์ ผมขอพักนะ” เขาก็ไม่ว่าอะไร จะพักก็ไปพักไป แต่ก็มีโอกาส คือในใจเรา มันยังติดอยู่ อยากจะลองดูสักครั้ง พอดีผู้ใหญ่ที่มาฝากผมก็คือคุณพ่อวิฑูรย์ วงษ์ไกรนะครับ

ท่านก็ว่า ท่านก็ยังติดใจอยู่เหมือนเดิม ลองดูอีกสักตั้ง ก็พาไปฝากไว้อีกค่ายหนึ่ง คือค่ายเสียงสยามนะครับ มาอยู่เสียงสยาม ผมถึงมีโอกาสได้มารู้จักกับคุณครูสลา คุณวุฒิ

ก็ได้บูชา...บูชาเพลงครูไป มาร้องด้วยนะครับ ในอัลบั้มที่ทำกับเสียงสยามนะครับ...และก็เป็นจุดเริ่มต้นที่รู้จักกับคุณครูสลา คุณวุฒิ

The People: พอมาอยู่เสียงสยาม การทำงานและชีวิตทำงานศิลปินแตกต่างจากเดิมไหม? หรือมีทำอาชีพอะไรอย่างอื่นไปด้วยไหม?

มนต์แคน แก่นคูน: ในขณะเดียวกัน ผมก็ดำเนินชีวิตไปในทางรับราชการด้วยนะครับ คือพ้นเกณฑ์ปี 39 ผมก็มีโอกาสได้รับราชการต่อนะครับ ก็ไปสอบรับราชการต่อ ครั้งแรกก็เป็นลูกจ้างของกระทรวงกลาโหม

หนึ่งปี อีกหนึ่งปีถัดมา คือปี 2541 ก็มาสอบเป็นนายสิบทหารบกนะครับ ก็รับราชการตั้งแต่นั้นมา ในส่วนราชการก็ทำมาอย่างนี้ ส่วนของงานเพลงก็เริ่มตั้งแต่ ปี 2540-41 นะครับ ที่อยู่กับบริษัทเสียงสยาม ก็ทำควบคู่กันมาด้วย

The People: ถือว่าลำบากไหม ต้องทำงานประจำไปด้วย เป็นศิลปินไปด้วย

มนต์แคน แก่นคูน: ลำบากมาก (หัวเราะ) อันนี้เล่าให้ฟังนะ มันลำบากมาก ๆ เลย เพราะว่าเวลานะครับ รับราชการโดยเฉพาะข้าราชการทหารนะครับ ต้องมีเวลา เวลาต้องเป๊ะนะครับ ไหนจะต้องไปอยู่เวร อยู่ยาม คือต้องฝึกประจำด้วยอะไรต่าง ๆ นะครับ 

เรื่องของการเข้าทำงานนะครับ ก็ต้องไปให้ทันเวลา ซึ่งมันขัดกับการเป็นศิลปินมาก ๆ นะครับ เวลาของศิลปิน คือเวลาที่มันไม่ตรง ไม่แน่นอนนะครับ เราไปทำที่โน้นที่นี้ เราไปทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ จะเลือกเวลาไม่ได้นะครับ มันไม่เหมือนเวลาราชการ

ก็ต้องมีขออนุญาตบ้าง ขาดบ้าง บางทีก็กราบขอบพระคุณผู้บังคับบัญชาสมัยก่อน ท่านก็เมตตานะ ก็มีการลงโทษคาดโทษกันบ้างอยู่เป็นประจำ แต่ผมจะโดนมากกว่าเพื่อน “ไอ้เพชรอีกแล้วเหรอ” (หัวเราะ) “มาสายอีกแล้วเหรอ"

คือตอนนั้นสู้มาก สู้ใช้เวลานอน วัน ๆ พวกที่จะไปทำกิจกรรมบ่อย ๆ ใช้เวลานอนน้อยมาก ครับ แต่โชคดีหน่อยที่ช่วงนั้นวัยนั้นยังแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง นอนแป๊ปเดียวก็สามารถที่จะลากตัวเองไปอาบน้ำและก็แต่งตัวไปทำงาน พอทำกิจกรรมในที่ทำงานเสร็จ ก็หาวิธีไปหลบหลับ หรือเสร็จก็ต้องมีงานต่อ ก็ต้องหาวิธีขออนุญาต ลาไปทำงานต่อในส่วนของการเป็นศิลปิน ก็จะวนเวียนอย่างนี้

The People: มาเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร ที่มาอยู่แกรมมี่ โกลด์ มีจุดเริ่มต้นเส้นทางใหม่ได้อย่างไร

มนต์แคน แก่นคูน: เริ่มต้นนะครับ ในขณะนั้น ที่ได้เพลงครูมาร้องทำอัลบั้มกับเสียงสยาม ก็มีโอกาสได้กราบ ประมาณตัวเป็นลูกศิษย์ครูนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวครูท่านนะครับ

ท่านก็ให้เทปมาสองม้วน เทปแคสเซ็ต ขออนุญาตเล่าให้ฟัง เป็นตัวท่านเองขับร้องเอาไว้นะครับ สองอัลบั้ม “เอาไปซ้อมด้วยละ” ท่านก็สั่งคำเอาไว้  

“เดี๋ยวมื้อดีคืนดี มักจะสิเก่งขึ้นดอก” นี่ภาษาพูดของท่าน ก็ร้องตามที่ท่านบันทึกแผ่นเอาไว้ ผมก็ซ้อมรอ ซ้อมรออยู่หลายปีนะครับ

วันหนึ่งก็ถือว่าเป็นวันดี วันดีของผม ท่านก็ใช้คนมา มาติดตามหา มาติดต่อว่า “คุณครูยังคิดถึงอยู่นะ” “ยังอยากสนับสนุน” “ยังอยากช่วยอยู่” ก็ยังมีโอกาสขอขมากราบท่าน แล้วก็เริ่มงานกัน

The People: ครูสลา ใช่ไหม

มนต์แคน แก่นคูน: ใช่ครับ

The People: พอจำเพลงแรกที่เริ่มทำงานยุคใหม่ได้ไหม

มนต์แคน แก่นคูน: ก็ถือว่าเป็นเสียงสวรรค์เลยนะ ตอนที่ท่านให้คนมาติดต่อเข้าไปหา ก็ถือว่าเป็นเสียงสวรรค์ “โอ้ ท่านยังไม่ลืมเรานะ” นะครับ ถือว่าเป็นความโชคดีของเรา ดีใจมาก ดีใจมาก แล้วก็งานเพลงที่ท่านให้ซ้อมมาก็ไปร้องให้ท่านฟัง ท่านก็มอบงานเพลงใหม่มาให้ด้วยนะครับ

เพลงแรกก็คือ ‘ยังคอยที่ซอยเดิม’ ซึ่งเป็นอัลบั้มแรก ที่พี่น้องแฟนเพลงได้รู้จักมนต์แคน ชื่อเพลงก็เป็นชื่ออัลบั้มด้วย

The People: ย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ก่อนหน้าผลงานนี้มีเพลงที่ดัง ๆ อย่าง ‘เสียศูนย์เมื่อบุญผะเวช’ พอจะเล่าความเป็นมาได้ไหมว่า เพลงนั้นมันมีเกร็ด มีริเริ่มทำงานอะไรยังไงบ้างประมาณนี้อะครับ

มนต์แคน แก่นคูน: เสียศูนย์เมื่อบุญผะเวชเป็นภาษาอีสานนะครับ ก็เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้ม ‘ลำร็อค ลำเพลิน’ ที่ทำให้กับบริษัทเสียงสยามนะครับ เมื่อคราวที่ผมเริ่มรับราชการใหม่ ๆ ก็ย้อนเวลาจากที่มาทำอัลบั้มกับครู ‘ยังคอยที่ซอยเดิม’ ย้อนไปหลายปี ย้อนไป 6-7 ปี ...

ก็เป็นเพลงแนว ลูกทุ่งอีสาน หมอลำนะครับ โจ๊ะ ๆ เลย...

ก็มีกระแสได้รับการต้อนรับอยู่นะครับ อยู่ในระดับหนึ่ง ก็ไม่ถึงกับดังมากเพราะว่า อย่างที่ผมเรียนไปคือเหตุผลของผมคือ ผมไม่มีเวทีที่จะไปร้องแล้วพบปะแฟนเพลงครับ ในช่วงนั้น คือเราขาดตรงนี้ไป  และส่วนตัวก็ไปรับราชการด้วยนะครับ

The People: พอมาอยู่ในยุคครูสลา อะไรที่ทำให้มีชื่อเสียงในวงกว้างขึ้น คนรู้จักมากขึ้น

มนต์แคน แก่นคูน: เอาเป็นว่า จริง ๆ แล้ว คุณครูท่านลงทุนให้กับผมเองเลยนะครับ ซึ่งร่วมหุ้นกับเพื่อนท่านอีกสองคนนะครับ บันทึกแผ่นเสียงอะไรเสร็จเรียบร้อย ทำเป็นแผ่นเสร็จก็ดำเนินการกันไปวางตลาด ซึ่งพนักงานนั้นก็คือตัวผมเองด้วยคนหนึ่ง แล้วก็มีคนอื่นท่านมาช่วยกันนะครับ ถือว่าเป็นการเรียนรู้ด้วย ผมก็มาเรียนรู้การเป็นศิลปินจริงเริ่มจากคราวนี้นะครับ ว่าวงการจริง ๆ ทำกันอย่างไร ตั้งแต่บันทึกเสียง ทำเป็นแผ่นออกมา แล้วไปวางขาย เป็นการฝึกเป็นพ่อค้าด้วย รู้การตลาดของภาพรวมของการเป็นศิลปินนะครับ

สัมภาษณ์ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ เผยชีวิตจริงของนักร้องยอดสตรีมรวมใน YouTube สูงสุดในไทย

The People: ยากไหมในยุคที่ต้องออกไปขายเองด้วยในตอนแรก

มนต์แคน แก่นคูน: ในวันนั้น ใช่ครับ ก็ถือว่ายาก แต่ก็เป็นการเรียนรู้ด้วยนะครับ แล้วก็เป็นการตามฝันของตัวเองด้วย ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาแล้วก็ตาม ตาม มาตลอด จนถึงวันนี้ ซึ่งคุณครูสลา คุณวุฒิ ท่านลงทุนทำให้เองเลยนะครับ ก็เป็นความฝันที่เราตั้งใจเอาไว้ ก็ทำให้มันเต็มที่นะครับ

ในวันนั้นถึงจะเหนื่อยขนาดไหน ผมก็ทำให้เต็มที่นะครับ ซึ่งความจริงก็เหนื่อยมาก เพราะว่าเราต้องไปทำงานด้วย ราชการ และเราต้องเจียดเวลามาทำงานในตรงนี้ด้วย บางวันไปวางตลาด วางแผงเทป กลับมาดึก ๆ นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นไปทำงานราชการ แล้วก็สาย ๆ บ่าย ๆ ก็หาวิธีลาผู้บังคับบัญชาออกมาทำตรงนี้ต่อนะครับ ก็สู้กันอยู่พักใหญ่ เป็นปีนะครับ

จนคุณครูท่านสงสารนะครับ เหนื่อยมาก เห็นเหนื่อยมาก “เอายังงี้ไหม...เดี๋ยวคุณครูจะส่งทางพามาอยู่กับบริษัทใหญ่” ซึ่งคุณครูก็ทำงานให้ทางแกรมมี่ โกลด์ด้วยนะครับ ท่านก็เมตตา สงสาร พามาฝากเนื้อฝากตัวกับผู้ใหญ่ทางแกรมมี่ โกลด์ โดยนำอัลบั้มชุดนั้นมาด้วย ชุดแรกที่เราทำกัน ทางแกรมมี่ โกลด์ สานงานต่อนะครับ

The People: พอจำปีได้ไหมครับ ที่คุณสลา มาฝากที่แกรมมี่ โกลด์

มนต์แคน แก่นคูน: ประมาณ 2548-49

The People: ทำมาอีกกี่อัลบั้มครับ กับแกรมมี่ โกลด์

มนต์แคน แก่นคูน: นับถึงวันนี้ จริง ๆ ถ้านับเป็นอัลบั้มและชุดพิเศษก็จะอยู่ที่ 10 กว่านะครับ 

The People: ช่วงเวลาที่ทำ 10 อัลบั้ม ยังทำงานราชการ ทำงานประจำอยู่ไหม

มนต์แคน แก่นคูน: ทำ ก็ยังทำอยู่

The People: มีความแตกต่างกับยุคอาร์เอส ยุคเสียงสยามอยางไรบ้าง ในแง่ของการใช้ชีวิต

มนต์แคน แก่นคูน: ความแตกต่างในเรื่องของทั้งห้วงของเวลา และทั้งห้วงของการดำเนินชีวิตของผมด้วยนะครับ ซึ่งสมัยก่อน ทางต้นสังกัดทั้งสองบริษัทที่ผ่านมาดูแลอย่างดี ประคบประหงมช่วยดูแลอย่างดี แต่ว่า ด้วยตัวเราเอง ด้วยตัวเราเองซึ่งไม่มีประสบการณ์ และไม่มี ไม่มีอะไรเป็นสะพานทอดต่อไปที่จะเสริมกับงานที่ทางต้นสังกัดสร้างให้ และก็ยังอยู่ในจุดเริ่มของการรับราชการด้วยนะครับ เป็นเรื่องยากมาก

มาถึงตอนอยู่กับครู กับแกรมมี่ โกลด์ ถือว่าเป็นช่วงที่เราเติบโตมาแล้วด้วยนะครับ ช่วงนั้นก็รับราชการมาหลายปี ก็แข็งแรงแล้ว ขึ้นมาระดับหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะไปมาหาสู่ หรือว่ามีทุนในการเดินทางได้มากขึ้น

ประสบการณ์ที่สั่งสมและเก็บเกี่ยวหลาย ๆ ปีก็ช่วยให้เรามีตัวตนของการเป็นศิลปินได้มากขึ้น ก็เลยมามีตัวตนจริง ๆ คำว่าเป็นศิลปินมีตัวตนจริง ๆ คือตอนที่มาอยู่กับแกรมมี่ โกลด์ กับครูสลา คุณวุฒิ และก็ผู้ใหญ่ทางแกรมมี่

The People: มาเจอเพลงตัวเองบนยูทูบ (YouTube) ประมาณปีอะไร

มนต์แคน แก่นคูน: YouTube จริง ๆ นะ ต้องหลังจากตรงนั้นนะครับ ชุดแรกนี้ผมยังไม่คุ้นเคยกับคำว่า YouTube ครับ ชุดแรก ชุดสอง ชุดสาม ยังไม่คุ้นเท่าไหร่ ชุดสี่นี้ก็ยังน้อยอยู่นะ หนึ่งสองสามสี่ ยังอยู่ในการฟังผ่านคลื่นวิทยุ กับจอทีวี …

หลังจากชุดที่ห้า ที่หกมา ก็เริ่มมี มีช่องยูทูบนะครับ เฟซบุ๊กอะไรต่าง ๆ ขึ้นมานะครับ ซึ่งผมมองว่า เป็นห้วงที่เปิดโอกาสให้พี่น้องแฟนเพลงได้รับข่าวสาร รับฟังอะไรต่าง ๆ ว่าจะเป็นเรื่องเพลง เรื่องข่าวสารได้ไวมากขึ้น ได้ดีขึ้นก็ช่วงหลังนี้เอง

The People: จำช่วงเวลาที่เห็นเพลงตัวเองเป็นครั้งแรกบนยูทูบได้ไหม รู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร จากที่เคยฟังเพลงผ่านวิทยุ-ทีวี

มนต์แคน แก่นคูน: จำได้ครับ เป็นเรื่องแปลกใหม่มากนะ เป็นเรื่องที่ดีแปลกใหม่มาก เราก็สงสัยว่ามันจะไปยังไง มายังไง กับคำว่ายูทูบ แล้วก็ในใจลึก ๆ ก็คิดว่าเป็นอีกแนวหนึ่งนะครับ เป็นสื่ออีกทางหนึ่งให้เราได้ ได้เข้าถึงงานเพลง เข้าถึงการข่าวสารได้ง่ายขึ้นนะครับ

ในเรื่องราวของแต่ละบุคคลก็สามารถที่จะมาลงส่งข่าวสื่อสารให้บุคคลทั่วไปได้ทราบง่ายขึ้น ซึ่งต่างกับสมัยก่อนมาก สมัยก่อนต้องสื่อวิทยุกับทีวีนะครับ ทีวีดิจิทัลอะไรต่าง ๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากที่จะมีภาพตัวเองออกทีวีแต่ช่วงยูทูบมา เป็นเรื่องง่ายมากนะครับ แต่ละคนมีช่องอยู่ในมือของตัวเอง

ซึ่งรับข่าวสารจากคนอื่นก็ง่ายนะครับ ส่งข่าวให้ผู้อื่นได้ทราบก็ง่าย ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก ในวันนั้นยังจำได้ แต่ก็ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา ยังไม่มั่นใจว่าจะไปได้ขนาดไหน แต่ก็ดีใจนะ มีคนเอาเพลงเรามา ลงด้วย (หัวเราะ) มีคลิปสั้นคลิปยาวด้วย อะไรต่าง ๆ ก็ดีใจ

สัมภาษณ์ ‘มนต์แคน แก่นคูน’ เผยชีวิตจริงของนักร้องยอดสตรีมรวมใน YouTube สูงสุดในไทย

The People: เนื้อหาในสไตล์เพลงของพี่มนต์แคน แก่นคูน จะเป็นสไตล์เพลงรัก เพลงสไตล์วิถีชีวิต มีให้กำลังใจ คิดว่าเนื้อหาหรือว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้แฟนเพลง ชื่นชอบมนต์แคน แก่นคูน จนถึงขั้นมีสถิติยอดฟังยอดสตรีมในช่องทางออนไลน์พุ่งสูง

มนต์แคน แก่นคูน: คงจะเกี่ยวเนื่องนะครับ หนึ่งก็คือแนวเพลง แนวเพลงที่เข้ากับบุคลิกของเราที่เป็นผู้สื่อสารออกไปนะครับ แล้วเรื่องราวด้วย เรื่องราวของเพลง เนื้อหาของเพลง เรื่องราวการเป็นตัวแทนในการถ่ายทอดนะครับ เป็นตัวแทนผมถือว่าเป็นคนสื่อสาร เป็นตัวแทนคนที่ฟังเพลงนะครับ อาจจะตรงกับเรื่องราว ในชีวิตของเขา คล้ายกับชีวิตของเขา

หรือฟังแล้วสบายใจ ให้กำลังใจในบางเพลง อาจจะประเด็นนี้ ช่วยให้มียอดวิว ช่วยให้ยอดวิว ยอดไลก์ได้เยอะ

The People: พอจะจำวินาทีที่มีคนบอกพี่ว่า ยอดวิวเพลงของมนต์แคน ยอดวิวรวมสูงที่สุดในยูทูบ ประเทศไทย พอจะจำได้ไหม

มนต์แคน แก่นคูน: ที่จริงผมเป็นคนที่ไม่ติดตามเท่าไหร่นะ ผมก็ดู เรื่องของการเอาไปเก็บคะแนน แล้วมารวมกันว่า เราได้เท่าไหร่ เราก็ไม่ได้เก็บคะแนนตรงนั้นมารวมดูนะครับ ก็จะมีทางสื่อเป็นผู้เก็บมาแล้วก็ส่งข่าวมาให้ แล้วทีมงานเป็นคนมาบอก ก็ดีใจนะ ไม่เชื่อว่า จะมียอดวิวสูงกว่าเพื่อนในบ้านเรา ประเทศไทยนะครับ

The People: หากมองย้อนไปที่ผ่านมา พอรู้แล้ว คิดว่ามันคุ้มค่ากับความลำบากที่เคยผ่านมา คิดว่ามันไปถึงเป้าหมาย ถึงฝันแล้วไหม? 

มนต์แคน แก่นคูน: ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับพวกเราคนทำงาน ตัวผมเองแล้วก็ทีมงานนะครับ เพราะว่าสิ่งที่เราสื่อสารออกไปในช่องยูทูบนะครับ ไม่ใช่ว่ามีแค่การร้องเพลงอย่างเดียว เราก็มีกิจกรรมอย่างอื่นด้วย ซึ่งถ่ายทอดส่งข่าวให้พี่น้องแฟนเพลงที่ติดตามเราอยู่ได้ชมด้วยนะครับ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดวิวได้เยอะครับ

The People: มียุคหนึ่งที่เพลงหมอลำ เพลงลูกทุ่งถูกมองในเชิงลบ จนมาถึงวันนี้ ในยุคที่มีโซเชียลมีเดียในยูทูบต่าง ๆ เพลงลูกทุ่งกลับกลายเป็นว่า ยอดวิวต่าง ๆ ขึ้นสูงมาก ในมุมมองพี่มนต์แคน มันบอกอะไร หรือว่ามันสะท้อนถึงเรื่องพลังของท้องถิ่นไหม

มนต์แคน แก่นคูน: ในยุคที่เพลงสากลเฟื่องฟู อันนี้เราก็ฟังนะ เราก็เป็นแฟนคลับของหลาย ๆ ท่าน ก็ฟัง อย่างที่บอก ผมก็ฟังเพลงแทบทุกแนวนะครับ เป็นยุคนั้นที่อาจจะเป็นยุคที่ไม่มียูทูบ แต่ทุกวันนี้เพลงก็ยังมีนะครับ แต่ว่าคำว่าเพลงพื้นบ้านทำไมมาเฟื่องฟูในยุคที่มียูทูบ

คำว่าเพลงพื้นบ้านมีมาตั้งแต่ดั้งเดิมอยู่แล้วนะครับ ถือว่าเป็นศิลปะนะครับ ประจำกลุ่ม ประจำชนกลุ่ม ประจำภาค ของแต่ละภาค ของแต่ละกลุ่ม...เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

ศิลปินพื้นบ้านก็มีอยู่ตลอด เพียงแต่โอกาสที่จะมาออกสื่อ แทบไม่มี มีก็น้อยนิดเดียว ซึ่งของพวกนี้มีอยู่แล้ว ศิลปวัฒนธรรมประจำถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเหนือ ใต้ อีสาน มีทุกภาค เป็นอะไรที่ของดีเสมือนเพชรในตม ที่ยังขุดค้นไม่เจอนะครับ

แต่วันนี้นะครับ สื่อที่มาสะท้อนให้เพชรที่อยู่ในตม มันเจิดจรัสขึ้นมาได้ ในวันนี้มียอดวิว ยอดไลก์อะไรมากมาย ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดีขึ้นอีกช่องหนึ่งคือยูทูบนะครับ ช่วยดึง ช่วยเปิดทางให้คนที่อยากฟังอยู่แล้ว หรือฟังอยู่แล้วแต่โอกาสที่จะไปฟังวันนั้นกับวันนี้มันต่างกัน ฟังวันนั้นคือต้องรอโอกาสงานบุญ งานคอนเสิร์ตที่มีกิจกรรม แล้วก็มีศิลปินกลุ่มนี้ขึ้นมาแสดง มาขับร้องขับกล่อม ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก

อย่างอีสานหมู่บ้านหนึ่ง ก็จะมีปีละครั้งสองครั้ง ปีใหม่มีสงกรานต์ มีงานบุญเดือนหกอะไรต่าง ๆ ก็มีปีละไม่กี่ครั้งนะครับ ถึงจะได้ฟัง ถึงจะได้ชม ศิลปะของพื้นบ้านขึ้นมาทำการแสดงนะครับ แน่นอนก็ต้องไป ใช้กระบวนการเยอะแยะในการไปนำพามาแสดงนะครับ

ศิลปินเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นคนต้องมีโอกาสพิเศษเท่านั้นนะครับ แต่ทุกวันนี้อยู่ในนี้ (ชี้ไปที่มือ) ไปถ่ายเก็บไว้บ้างแล้วก็มาลงไว้ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำขึ้นมาอยู่ตลอดแล้วไปถ่ายเก็บไว้ มาอยู่ในนี้หมด ถือว่าเป็นช่องทางที่ดีนะครับ

ถือว่าเป็นอะไรที่ไปขุดคุ้ยเพชรที่อยู่ในตม แล้วส่องแสงให้เจิดจรัสนะครับ ให้พี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นภาคของตัวเอง ภาคอื่นได้รู้ได้ชมว่าศิลปะตรงนี้มีอะไรบ้างง่ายขึ้น

The People: ได้ยินว่าไม่ได้ทำงานทหารแล้วตั้งแต่ต้นปี 2564 เกิดอะไรขึ้น เพราะหลายปีที่ผ่านมาก็ทำงานประจำควบคู่กัน สองบทบาทตลอด  

มนต์แคน แก่นคูน: มันถึงเวลานะครับว่า เราควรต้องเลือก ผมก็ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง งานราชการเราต้องให้เวลาให้มาก แล้วต้องให้พอด้วย ซึ่งมันขัดกับการเวลาของศิลปิน อย่างที่เคยเล่า เวลาของศิลปินมันไม่เป็นเวลานะครับ

ซึ่งผมเองก็ปีนี้อายุเยอะแล้ว (หัวเราะ) นะครับ ให้น้อง ๆ คนที่มีไฟ คนที่ยังแข็งแรงแล้วก็มาทำหน้าที่ตรงนั้นแทนดีกว่า ในตำแหน่งที่ผมมี ถ้าผมลาออกเสร็จ ตำแหน่งก็จะว่างขึ้น คนอื่นก็จะมาทำแทนนะครับ ซึ่งมีอีกมากมาย และก็อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของเวลา ซึ่งทำให้เราสบายใจมากขึ้น หลายปีที่รับราชการมาก็ได้ทำหน้าที่ของลูกผู้ชายไทยเต็มที่แล้วนะครับ

The People: ได้ยินมาว่า ไปทำสวน ทำการเกษตร มันเริ่มมาได้อย่างไร

มนต์แคน แก่นคูน: ทำสวนทำนา มันเริ่มจากเราเป็นลูกชาวไร่ชาวนานะครับ หนึ่งคือเราทำมาตามความผูกพัน สองคือชอบ สามก็คือได้ประโยชน์

สวนไม่ใช่ว่า ทำนาแล้วร่ำรวย ทำสวนแล้วรวย คงไม่ถึงขนาดนั้น หนึ่งเราได้เอามาใช้ มารับประทาน มากิน ในครอบครัว สองเราได้แบ่งปัน ได้เอื้อเฟื้อคนที่ขาดโอกาสที่เราไปเจอนะครับ 

เราเดินทาง เราจะเจอคนที่ไม่มีโอกาส คนที่ขาดจริง ๆ บางคน บางครั้งเขาก็ขาด เรามีกำลังที่ช่วยได้ พอเราได้ช่วย เราก็สบายใจ สิ่งที่เราได้กลับมาคือความสบาย และความภาคภูมิใจในสิ่งที่เราทำ

ถึงมันจะไม่เป็นตัวเงิน แต่มันเป็นสิ่งที่ได้คุณค่าทางใจ การได้ให้คนอื่น                           

The People: ช่วยเล่ารายละเอียดว่า ตอนนี้มีสวนตรงไหนบ้าง ทำอะไร ปลูกอะไรบ้าง 

มนต์แคน แก่นคูน: หลัก ๆ ก็ทำนานะครับ ทำนา ทำสวนมะนาว สวนมะนาวทำหลายปีแล้ว ก็เริ่มเก็บผลได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นธุรกิจอะไรมากนะครับ เก็บมาถ้าหน้ามันเยอะก็ขายนิดหน่อย ซึ่งผมเองก็ทำเป็นร้านเล็ก ๆ อยู่หน้าบ้านนะครับ ร้านเป็นมินิมาร์ทเล็ก ๆ มินิมาร์ทชาวบ้านนะครับ ชื่อฝรั่งหน่อย ๆ ชื่อ เดอะฟาร์ม (หัวเราะ)

ให้หลานสาวเป็นคนดูแลนะครับ ซึ่งเค้าเก่งภาษา เค้าก็ขอ “เดอะฟาร์ม” ตั้งชื่อ เดอะฟาร์ม ได้ไหม ...เอ ผมก็บอก “ชาวบ้านจะรู้ไหม เดอะฟาร์ม คืออะไร” (หัวเราะ) เอางี้ละกัน เสริมให้ เดอะฟาร์ม ก็ใส่เป็นเรื่องของครอบครัวไป

คือแฟมิลี (family-ครอบครัว) เข้าไป ก็กลายเป็นชื่อเดอะฟาร์ม แฟมีลี ก็เก็บผลผลิตเราไปขาย เอามาขายที่ร้านด้วยนะครับ ก็ขายราคาชาวบ้าน ก็มีข้าวสารด้วย ต้นหอม พริก อะไรต่าง ๆ ที่คุณแม่ผมปลูกในสวน แล้วก็เอามาขายให้ชาวบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องของการรักษาสุขภาพด้วย เราไม่ได้ฉีดยาประมาณนี้นะครับ  

The People: พอจะบอกจังหวัดได้ไหมว่าอยู่ในจังหวัดไหน 

มนต์แคน แก่นคูน: อยู่อำนาจเจริญ กับ ยโสธร นะครับ ทำนา หลัก ๆ คือทำนาข้าวนะครับ ทำสวนบ้าง ตอนนี้ก็ปรับพื้นดิน จะปลูกต้นไม้ด้วย ต้นผลไม้ ให้คุณแม่ คุณแม่อยากได้ อยากได้ต้นทุเรียน ทุเรียนมีแต่ซื้อเขากิน ปลูกให้แม่หน่อย ต้นเงาะต้นอะไรต่างๆ

ตอนนี้กำลังเตรียมดินอยู่นะครับ แล้วก็ตอนทำสวนป่านะครับ ที่ดอนอะไรต่าง เราไปปลูกข้าว ปลูกอะไรต่าง ๆ ไม่ได้ผลผลิตมากนะครับ เราก็คืนป่าให้กับธรรมชาติ ตอนนี้ผมปลูกต้นไม้ยืนต้นนะครับ ก็เป็นจำนวนไม่น้อย หลายหมื่นต้น

The People: แล้วชีวิตในแง่ครอบครัวบ้าง มนต์แคน แก่นคูน ที่ร้องเพลงเรื่องความรัก ร้องเพลงเพื่อให้กำลังใจ ถ้าแฟนเพลงอยากรู้ว่า ชีวิตมนต์แคน แก่นคูน ในแง่ความรัก มีเรื่องสุขสมหวัง มีเรื่องผิดหวังจะเหมือนในเพลงไหม เป็นยังไงบ้าง

มนต์แคน แก่นคูน: แน่นอน อันนี้ผมการันตีได้เลยนะ ใครที่สื่อสารเรื่องนี้ได้ ถ้าไม่เจอกับตัวเอง คุณจะสื่อสารเรื่องนี้ไม่เป็น หรือได้ไม่ดีพอ ผมเป็นคนที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องนี้ ไม่ใช่อยากจะเก็บเกี่ยว แต่เจอมากับตัวเองอยู่หลายครั้งนะเรื่องของการผิดหวัง เรื่องของการอกหักนะครับ อันนี้เจอมา จริง ๆ เวลาร้องเพลง ผมถึงเอาความรู้สึกของตัวเองในเนื้อเพลงนะครับ ถือว่าเป็นตัวเชิงเล่า เล่าจากใจจริงนะครับ

The People: พอยกตัวอย่างได้ไหมว่า มีเพลงอะไรที่เนื้อร้องมาจากชีวิตจริง

มนต์แคน แก่นคูน: หลายเพลงนะ อ้ายฮักเจ้าเด้อ ก็เป็นเรื่องราวของการส่งทางนะครับ อ้ายฮักเจ้าเด้อ ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ความรักเป็นเรื่องอะไรที่สวยงามนะครับ แต่ถ้าไปกันไม่ได้แล้ว มันก็จะกลายเป็นเรื่องที่ ทำให้ต้องเสียใจได้นะครับ

ถ้าจะต้องพูดแบบ คำคมก็คือ “ความรักเสมือนยาพิษ” ก็เป็นได้ประมาณนี้นะครับ เป็นยาที่ชโลมใจ แล้วในขณะเดียวกัน ความรักก็เป็นยาพิษได้นะครับ

อย่างงานล่าสุดก็ อ้ายมาส่งทาง เป็นเรื่องราวของความรักที่สวยงาม แต่ว่าไม่สามารถที่จะเดินทางไปด้วยกันได้ ขอได้มาส่งทางกัน ก็ยังมีความรักให้กัน หวังดีต่อกันได้

The People: แล้วเพลงมา มาเด้อฝันเอย ที่ปล่อยมา เป็นเพลงเกี่ยวกับอะไร มีกระบวนการผลิตอย่างไร

มนต์แคน แก่นคูน: มาเด้อฝันเอย เป็นซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดนะครับ อยู่ในอัลบั้มใหม่ ซึ่งเป็นปี (2564) ล่าสุดนะครับ เป็นเรื่องราวของการให้กำลังใจกัน เอิ้นขวัญ ให้กำลังใจ อันนี้เป็นประเพณีไทยอีสานบ้านผมด้วยนะครับ หลังจากที่เราเจอวิกฤติกับโรคระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลก ทำให้ทุกสาขาอาชีพได้รับผลกระทบ หลาย ๆ คนก็ต้องจากกันไป หลายคนต้องเจ็บไป ทำให้วิถีชีวิตเรายุ่งยากไปเกือบทุกหย่อมหญ้านะครับ วันนี้ก็ทุกอย่างมันดีขึ้นแล้วนะครับ ทุกอย่างก็ดีขึ้น ทางรัฐก็ได้เปิดโอกาสให้เราทำมาหากินไปมาหาสู่กันได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ทำคอนเสิร์ตบ้างของมนต์แคน ได้มีโอกาสเยี่ยมเยือนไปเปิดคอนเสิร์ตได้แล้วนะครับ

คุณครูก็เลยคิดโปรเจกต์นี้ โปรเจกต์ที่ให้กำลังใจ เอิ้นขวัญของพี่น้องแฟนเพลง สู่ขวัญ เอิ้นขวัญกันนะครับ “มาเด้อฝันเอ้ย” มาเด้อฝัน “ขอให้ฝันนั้นกลับมาเด้อ” “ฝันที่เคยอยู่ในใจของเรา” ฝันที่เคยยิ่งใหญ่อย่าให้มันสูญหายไปไหน” เป็นบทเพลงที่ให้กำลังใจ เอิ้นฝันกลับขึ้นมาอยู่ในใจ ให้สู้ต่อไปในวันข้างหน้า

The People: คิดว่าจากจุดเริ่มต้นที่ไปอยู่หน้าชั้น บอกว่าความฝันของพี่คือทหาร คือนักร้อง มาสู่วันนี้ พี่คิดว่าชีวิตประสบความสำเร็จไหมครับ หรือมองชีวิตตัวเองในวันนี้อย่างไร

มนต์แคน แก่นคูน: ถึงวันนี้ผมกล้าพูดว่า ทุกอย่างที่ผมฝันไว้นะครับ มาถึงจุดที่ผมฝันเอาไว้นะครับ ทุกอย่างที่อยากทำได้ทำ

เรื่องราวอะไรต่าง ๆ ที่ผ่านมา เส้นทางที่ผ่านมา แม้มันจะลำบากขนาดไหน แม้มันจะเจออุปสรรคขนาดไหน ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผมยังดีใจที่วันนั้นที่ไม่ท้อนะครับ วันนั้นที่ไม่ถอย ถ้าวันนั้นถอยในคราวที่เจอปัญหา ฝันที่ผมยืน ฝันที่ผมหวังในวันนี้คงไม่มี ดีใจนะครับที่ไม่ย่อท้อ

The People: บทเรียนชีวิตของพี่ คิดว่าอะไรเป็นเหตุผลสำคัญ กุญแจสำคัญที่ทำให้ยืนอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ได้

มนต์แคน แก่นคูน: บทเรียน หรือคำสอนที่สำคัญที่สุด ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ผมเคยออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 13 ปี คำไม่กี่คำที่คุณพ่อคุณแม่ฝากมา สั่งสอนมา

ขอให้เป็นคนดีนะลูก ซื่อสัตย์นะลูก ไปอยู่ที่ไหนลูกจะไม่มีวันตาย

The People: ย้อนกลับไปในอดีต มีเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาไหม

มนต์แคน แก่นคูน: มี มีเยอะเลยนะครับ สิ่งที่เสียใจ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจนะครับ หลายอย่าง ความเป็นวัยรุ่นนะ เด็กสมัยก่อนก็จะมีดื้อบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ตรงกับเพลงที่ตัวเองร้องนะครับ “สัญญาน้ำตาแม่” เป็นเพลงที่คุณครูสลา มอบให้เพลงหนึ่งนะครับ ร้องในโอกาสพิเศษ

ก็เป็นคนดื้อ ผมเป็นคนที่ชอบเครื่องยนต์กลไกนะ เราด้วยธรรมชาติเราเป็นช่าง ก็สามารถที่จะไปปรับแต่งตรงโน้นตรงนี้บ้าง โดยเฉพาะรถที่ใช้อยู่ก็จะเกิดเสียงดังขึ้นกว่ามาตราฐาน

วิ่งไวขึ้น ก่อกวนนะครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจ โดยเฉพาะคุณแม่นะครับ ก็จะดุด่า แต่ว่าคุณแม่ต้องเสียน้ำตาเวลาเราเจ็บปวด ชิ้นส่วนผมหักเกือบทั้งตัวนะครับ ขาข้างซ้ายนะ นิ้วมือ นิ้วเท้าหักเกือบครบละครับ หลังก็กระดูกสันหลังนี้นะครับ

มันทำให้คุณแม่ คุณพ่อเราเจ็บปวด ตอนที่เราเจ็บ บาดเจ็บ ตอนเราดื้อ ท่านก็ดุด่าไปตามวิธีสอนนะครับ แต่ว่า เราจะรู้ว่าท่านรักเรามากที่สุดตอนที่เราเจ็บนะครับ เป็นสิ่งที่ผมทำพลาดที่ทำให้แม่ต้องเสียน้ำตา ที่ผ่านมา

The People: สิ่งที่เจอ ที่ว่าเสียใจ ทำให้ผู้ปกครองเป็นทุกข์ กังวล อยากจะบอกอะไรกับคนรุ่นใหม่ที่ติดตามพี่มนต์แคน มีบทเรียนอะไรที่เป็นเครื่องช่วยสอนได้  

มนต์แคน แก่นคูน: แน่นอนครับ สิ่งที่ผมเล่ามา ถือว่าเป็นเรื่องจริงนะครับ เป็นสัจธรรมของการดำรงชีวิต

เราทำไม่ดี แน่นอนครับ ไอ้ความไม่ดีตรงนั้นไม่ไปไหน มันอยู่ที่ตัวเรา มันลงที่ตัวเรา เราทำดี ความดีตรงนั้นก็ไม่ไปไหนครับ ก็อาจจะเอื้อเฟื้อคนอื่นบ้างแต่ก็อยู่ที่ตัวเรานะครับ พอทำไม่ดีก็ไปกระทบคนอื่นบ้าง แต่หลัก ๆ ที่เรารับก็คือ เราต้องเป็นคนรับความไม่ดีที่เราทำนั้น ๆ

และก็การตั้งใจดำเนินชีวิต การไม่ย่อท้อในการทำดีนะครับ ทำดีก็เพื่อตัวเราเองด้วย เพื่อสังคมด้วยนะครับ

The People: มีอะไรอยากจะฝากแฟนเพลงไหมครับ

มนต์แคน แก่นคูน: ฝากขอบคุณพี่น้องแฟนเพลง ขอบพระคุณมาก ๆ เลยนะครับ ถ้าไม่มีพี่น้องแฟนเพลง ผมก็คงไม่เป็นผมในวันนี้นะครับ งานเพลงทุกงานเพลง ทุก ๆ อัลบั้ม ทุก ๆ กิจกรรมที่ทำกัน ที่ร่วมกัน พี่น้องแฟนเพลงไม่เคยทิ้งห่าง ไม่เคยทำให้อ้างว่างเลย อบอุ่นเสมอ หน้าเวทีก็อบอุ่นมาก ๆ นะครับ ขอบพระคุณมากเลย ขอบคุณหลาย ๆ เด้อ

 

หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อมิถุนายน 2565