08 มี.ค. 2568 | 18:00 น.
“ฮาร์วาร์ดเคยเป็นเหมือนความฝันของฉัน...
“แต่แล้วมันก็กลายเป็นฝันร้ายเมื่อฉันถูกข่มขืน”
‘อแมนดา เหงียน’ (Amanda Nguyen) ลูกหลานผู้อพยพชาวเวียดนามที่ครอบครัวของเธอมาตั้งรกรากอยู่สหรัฐอเมริกา เธอมีความฝันจะเป็นนักบินอวกาศมาตั้งแต่เด็ก และดูเหมือนว่าความฝันเหล่านั้นขยับเข้าใกล้ความจริงทุกขณะ เมื่อเธอสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้สำเร็จ
มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเหมือนความฝัน เธอคว้ามันมาครอบครองได้แล้ว อีกทั้งยังได้รับเลือกให้เป็นเด็กฝึกงานที่ NASA เคยทำงานที่ศูนย์ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ ของฮาร์วาร์ดและสมิธโซเนียน ก่อนจะเข้าไปทำงานเป็นรองผู้ประสานงานในทำเนียบขาวให้กับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
เรียกได้ว่าชีวิตเธอสมบูรณ์พร้อม อนาคตของเธอคงสดใสไม่น้อยหากสำเร็จการศึกษา แต่แล้วความฝันของเธอก็พังทลาย เมื่อเด็กสาวคนนี้ถูกล่วงละเมิดทางเพศตอนที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้าย ในปี 2013 เหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากฝันร้าย เธอได้แต่หลั่งน้ำตา ร่ำไห้กับความเจ็บปวดที่ได้รับ โชคดีที่เหงียนยังมีสติเธอรีบรุดไปแจ้งความ ทำการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลทันที
“ฉันยืนนิ่งไม่ไหวติงหลังจากลงจากแท็กซี่ ตัวชาไปหมดเมื่อกลับมาจากตรวจร่างกาย ในมือของฉันหอบเอกสารอยู่เต็มอ้อมแขน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อมองไปยังหอพักที่เคยอยู่ก็ทำเอาฉันอยากจะร้องไห้ออกมา มันเหมือนกับหุบเหวที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ เพียงแค่สี่สิบก้าวสั้น ๆ มันก็ยากมาก ฉันไม่อยากก้าวไปไหนเลย”
เหงียนเล่าในบันทึกความทรงจำของเธอ เผยถึงเหตุการณ์หลังจากกลับมาจากการแจ้งความและตรวจร่างกาย ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ยังไม่มีใครตื่น ซึ่งเธอรู้สึกโล่งใจไม่น้อย เพราะไม่อยากตอบคำถามที่ว่า “เฮ้ เป็นไงสบายดีไหม” หากโดนถามเช่นนั้นคงไม่รู้จะทำหน้ายังไง จะให้ตอบว่า “ฉันเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล ถูกข่มชืนน่ะ” เธอคงทำไม่ได้ มีเพียง ‘อเล็กซ์’ เพื่อนวัยเด็กที่มาดูแลเธอในสภาพที่ไม่พร้อมคุยกับใคร
อเล็กซ์เดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว เหงียนบรรยายว่าเธอเห็นมือของเขาสั่นเล็กน้อย ก่อนจะพูดประโยคแรกกับเธอว่า เขาจะช่วยเธอไขประตูเปิดห้องพักเอง
“เราเปิดประตูด้วยกันได้” อเล็กซ์บอกอย่างนั้น
เหงียนได้แต่พยักหน้าเงียบ ๆ ไขกุญแจเข้าห้องไปพร้อมกับเพื่อนคนนี้ ก่อนที่อเล็กซ์จะเสนอว่าเขาจะซักผ้าปูที่นอนให้เธอเอง
“ฉันมึนงงไปหมด เมื่อนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านั้น แต่สิ่งที่จำได้ดีที่สุดคือความมีน้ำใจของอเล็กซ์ เขาคือฮีโร่ในชีวิตจริง ในภาพยนตร์คุณอาจจะเห็นฮีโร่ผู้กล้าหาญ สังหารมังกร ปล่อยพลังวิเศษ เดินผ่านกองไฟ ไล่จับคนร้าย แต่ในชีวิตจริง ฮีโร่กำลังซักผ้าปูที่นอนให้คุณ ฮีโร่โอบกอดคุณในห้องซักรีดที่มืดและชื้น อเล็กซ์กอดฉันไว้ในอ้อมแขน ฉันรู้ว่าแขนของเขาเคยกอดอะไรมาก่อน เขาเคยกอดเพื่อนอีกคนที่เสียชีวิตจากกระสุนปืน ซึ่งเขาไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ฉันจะผ่านสิ่งนี้ไป ฉันจะเป็นผู้รอดชีวิต”
หลังจากถูกข่มขืนเหงียนไม่ออกจากห้องนานนับสัปดาห์ คิดทบทวนต่าง ๆ นานาว่าเพราะอะไร ทำไมเธอถึงเป็นคนคนนั้น คนที่ถูกข่มขืน เธอทำผิดอะไรนักหนา ทำไมเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ถึงเกิดขึ้นกับเธอทั้ง ๆ ที่ใกล้จะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือน
“ทำไม” คือคำถามที่วิ่งวนอยู่ในหัวของเธอไม่หยุด
เธอรู้ดีว่าคนอื่นคงมองแค่ว่าการข่มขืนก็คือการข่มขืน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่สำหรับเหยื่อ พวกเขาหลายคนที่ถูกกระทำ ต้องใช้เวลาเยียวยามหาศาลกว่าจะก้าวผ่านมันไปได้ เหงียนยอมรับว่าเธอโชคดีที่ใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียวที่จะยอมรับมัน
หลังจากผ่านไป 168 ชั่วโมง หรือ 10,080 นาที ของการถามคำถามคำเดียวซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยขาดสติสัมปชัญญะ ในที่สุดเหงียนก็ได้คำตอบ
“มันไม่มีคำตอบที่ยอมรับได้ ฉันรู้แค่นั้นเพราะฉันไม่ได้เป็นคนข่มขืน ไม่มีความจริงใด ๆ ในจิตใจของคนร้าย ไม่มีตรรกะหรือเหตุผล ซึ่งสามารถถอดมาเป็นรหัสและนำมาวิเคราะห์ได้ ไม่มีโลกที่การข่มขืนเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งคำถามนี้สามาถตอบได้แค่นั้น มันไม่มีคำตอบ เพียงแค่คุณต้องทำใจและยอมรับมัน”
และนั่นทำให้เหงียนเปลี่ยนบทบาทจาก ‘เหยื่อ’ กลายมาเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีอย่างเต็มตัว
เริ่มจากการทำความเข้าใจตัวบทกฎหมายว่าจะมีทางไหนเอาผิดคนร้ายได้บ้าง และเธอก็พบความจริงอันน่าเจ็บปวด เมื่อระบบยุติธรรมทำให้เธอต้องบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะหลักฐานทางนิติเวช (rape kit) หรือ ‘ชุดตรวจการข่มขืน’ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นก้าวแรกในการนำตัวผู้กระทำผิดมาสู่กระบวนการยุติธรรม จะถูกทำลายภายใน 6 เดือนหากเธอไม่ยื่นขอขยายเวลาเก็บรักษา
"หลังจากถูกข่มขืน ฉันต้องเผชิญกับระบบยุติธรรมทางอาญาที่ล้มเหลว ฉันจำได้ว่าตอนออกจากโรงพยาบาล ฉันคิดว่า ‘ฉันจะไปทางไหนต่อ’ ฉันจำได้ว่าตอนเดินเข้าไปในศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเฉพาะหน้า ห้องรอเต็มไปด้วยผู้คน ฉันจำได้ว่าพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิของตัวเอง และขั้นตอนต่อไปที่ต้องทำ แต่มันยากมาก ฉันพบว่าระบบนี้ถูกออกแบบมาให้ซับซ้อนและทำให้เส้นทางสู่ความยุติธรรมคลุมเครือ"
"ถ้าฉันยังต้องดิ้นรนขนาดนี้ แล้วคนที่ไม่มีทรัพยากรแบบฉันจะเป็นอย่างไร" เธอตั้งคำถาม
ในบางรัฐของสหรัฐฯ มีชุดตรวจค้างสะสมมานานหลายสิบปี โดยมีชุดตรวจที่รอการวิเคราะห์นับพันชุด แต่ในบางรัฐ ชุดตรวจเหล่านี้ไม่เคยถูกตรวจสอบเลย เพราะหากไม่มีการแจ้งความ พวกมันจะถูกทำลายภายในระยะเวลาที่กำหนด สำหรับรัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุข่มขืนของเหงียนในปี 2013 กำหนดเวลานั้นคือ 6 เดือน
"ระบบบังคับให้ฉันต้องเขียนจดหมายทุก 6 เดือนเพื่อขอไม่ให้พวกเขาทำลายหลักฐานของฉัน นั่นคือเวลาที่ฉันต้องเผชิญกับความทรงจำเลวร้ายนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
ในขณะที่เธอพยายามเยียวยาตัวเองจากเหตุการณ์ร้ายแรง เธอต้องเผชิญกับระบบที่มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน ขาดความเห็นอกเห็นใจ และปฏิบัติต่อเธอราวกับว่าสิทธิของเธอไม่สำคัญ เธอต้องวนเวียนอยู่ในวงจรของการถูกทำร้ายซ้ำโดยระบบที่ควรจะปกป้องเธอ
"ฉันไม่ได้มีความฝันที่จะเป็นนักเคลื่อนไหว ฉันแค่ต้องการให้สิทธิของฉันได้รับการคุ้มครอง แต่เมื่อฉันเห็นว่ามีคนอื่นอีกมากมายที่ต้องเผชิญกับสิ่งเดียวกัน ฉันรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่าง"
"ความรุนแรงต่อผู้หญิงมีต้นทุนทางเศรษฐกิจ มีการเสียสละมหาศาลที่เหยื่อต้องเผชิญหากพวกเขาต้องการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ฉันคิดว่านั่นไม่ถูกต้อง
"ฉันยังคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่หลักฐานที่เก็บรวบรวมไว้จะถูกทำลายโดยที่ยังไม่ถูกนำไปตรวจสอบ มันไม่ได้ช่วยใครเลย กฎหมายมีเพศ และเพศนั้นไม่ใช่เพศหญิง"
ในวัย 24 ปี อแมนดาทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เริ่มจากการเขียนกฎหมายด้วยตัวเอง ผลักดันให้รัฐสภาพิจารณา และทำให้ประธานาธิบดีลงนาม Sexual Assault Survivors' Rights Act คือผลงานที่เปลี่ยนชีวิตผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศทั่วสหรัฐอเมริกา
"ฉันมีทางเลือก ฉันจะยอมรับความอยุติธรรมหรือเขียนกฎหมายขึ้นใหม่เอง ฉันจึงเลือกเขียนมันขึ้นมาใหม่ ฉันส่งอีเมลไปหาทุกคนที่ฉันรู้จัก รวมถึงอาจารย์ เพื่อนร่วมชั้น และเจ้านายเก่า และขอให้พวกเขาร่วมเดินไปกับฉันในการสร้างความยุติธรรมของตัวเองขึ้นมา ในรูปแบบของร่างกฎหมายสิทธิของผู้รอดชีวิตจากการล่วงละเมิดทางเพศ
"กฎหมายเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และวัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของผู้คน"
กฎหมายนี้ปฏิวัติวิธีที่ผู้รอดชีวิตได้รับการปฏิบัติในระบบยุติธรรม รับรองสิทธิในการรักษาหลักฐานทางนิติเวช (rape kit) และสิทธิพื้นฐานอื่น ๆ ที่เคยถูกละเลย
เหงียนไม่ได้หยุดแค่นั้น เธอก่อตั้งองค์กร Rise ซึ่งเป็นศูนย์บ่มเพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมสำหรับประชาชนที่ต้องการสร้างกฎหมายขึ้นเอง นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2014 Rise ได้ช่วยผลักดันกฎหมายให้ผ่านการรับรองแล้วถึง 33 ฉบับทั่วสหรัฐฯ ครอบคลุมสิทธิของผู้รอดชีวิตจากการถูกข่มขืนกว่า 84 ล้านคน
"เมื่อคุณผ่านประสบการณ์ที่เลวร้าย คุณมีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือปล่อยให้มันทำลายคุณ สองคือคุณจะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก
"อย่าให้ใครมาบอกคุณว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ที่จริงแล้ว มีแค่คนธรรมดาอย่างเราเท่านั้นที่เคยทำมันสำเร็จ"
ความพยายามของเธอสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง และยิ่งตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวคนนี้ ในปี 2019 เหงียนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
การเสนอชื่อครั้งนี้มาจากการที่เธอสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศนับล้านคนทั่วโลก เป็นการยกย่องที่ไม่เพียงแค่สะท้อนความสำเร็จส่วนตัวของเธอ แต่ยังเป็นชัยชนะของขบวนการเคลื่อนไหวที่เธอสร้างขึ้น
"ตอนที่ฉันได้รับแจ้งว่าถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล ฉันรู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องของฉันคนเดียว แต่เป็นการยอมรับในเสียงของผู้รอดชีวิตทุกคนที่กล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง"
การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลทำให้ประเด็นสิทธิของผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศได้รับความสนใจในระดับโลก สื่อมวลชนจากทั่วโลกต่างนำเสนอเรื่องราวของเธอ ทำให้เสียงของผู้รอดชีวิตดังกึกก้องไปทั่วโลก
นอกจากรางวัลโนเบล Amanda ยังได้รับการยกย่องจาก Forbes ให้ติดอันดับ 30 Under 30 และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน TIME 100 Next สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของเธอที่มีต่อสังคมโลก
"ความยุติธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันเกิดจากการกระทำของผู้คนที่กล้าลุกขึ้นมาและเรียกร้อง"
สุนทรพจน์อันทรงพลังของอแมนดา เหงียน เด็กสาวผู้ฝันถึงดวงดาว บัดนี้เธอกำลังเปล่งประกายจนไม่อาจหาแสงใดเทียบได้
เหงียนยังคงเดินหน้าขยายวิสัยทัศน์ของเธอไปทั่วโลก ทั้งในประเด็นสิทธิของผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศ สิทธิสตรี และการส่งเสริมความหลากหลายในวงการวิทยาศาสตร์
"ถ้าคุณเห็นอะไรที่ผิด คุณมีทางเลือกสองทาง คุณสามารถหันหลังให้ หรือคุณสามารถทำอะไรบางอย่างกับมัน ฉันเลือกที่จะทำอะไรบางอย่าง"
"ฉันฝันถึงโลกที่ความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องของโชค แต่เป็นเรื่องของสิทธิที่พึงมี
"เราทุกคนมีพลังในการสร้างโลกที่เราต้องการ ไม่มีใครไร้อำนาจเมื่อเรารวมพลังกัน และไม่มีใครไร้ตัวตนเมื่อเรายืนยันที่จะถูกมองเห็น จงลุกขึ้นและเรียกร้องให้โลกเห็นคุณ"
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง