เทย์เลอร์ สวิฟต์: การเอาชนะบนโลกดนตรีที่เต็มไปด้วยอคติทางเพศ

เทย์เลอร์ สวิฟต์: การเอาชนะบนโลกดนตรีที่เต็มไปด้วยอคติทางเพศ
“ที่ผ่านมาฉันเห็นศิลปินหญิงหลายคนในวงการดนตรีถูกวิจารณ์เกี่ยวกับรูปร่าง ชีวิตรัก และการแต่งตัว คุณเคยได้ยินพวกคำพูด ‘ฉันชอบศิลปินชายคนนี้นะ แต่มันมีบางอย่างขัดใจฉัน’ ไหม? ไม่ คำวิจารณ์พวกนี้มีไว้สำหรับเรา (ผู้หญิง) ทั้งนั้นแหละ” เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่หญิงสาวชาวอเมริกัน ผมบลอนด์ ตัวสูงคนนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวความรักและชีวิตที่ทั้งหวานและขมผ่านบทเพลง ปลายนิ้ว และเสียงกีตาร์ ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ (Taylor Swift) เป็นอีกหนึ่งศิลปินหญิงที่มีอิทธิพลต่อวงการเพลงทั่วโลก เธอมาพร้อมบทเพลงอันโด่งดังมากมายทั้ง Love Story (2008), You Belong With Me (2009), Shake It Off (2014) และล่าสุดที่ทำให้ทุกคนฮือฮากับเพลงที่มีความยาวถึง 10 นาทีอย่าง All Too Well (Taylor’s Version) Billboard Women of the Year คืองานมอบรางวัลที่ถูกสร้างมาเพื่อผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมดนตรีและสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินหญิงรุ่นต่อ ๆ ไป เทย์เลอร์ สวิฟต์ คือศิลปินหญิงที่ได้รับรางวัลจากเวทีนี้มากที่สุด โดยเทย์เลอร์คว้าไปทั้งหมด 3 รางวัล คือรางวัล Women of the Year ปี 2011 ในฐานะศิลปินที่ชนะรางวัลแกรมมี่และมียอดขายอัลบั้มสูงที่สุดตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ในปี 2014 เธอคว้ารางวัลนี้อีกครั้งด้วยการชนะรางวัลแกรมมี่ถึง 7 ครั้ง และเป็นศิลปินหญิงเพียงคนเดียวที่มียอดขายทะลุ 1 ล้านอัลบั้มภายในอาทิตย์แรกถึง 2 ครั้ง (ปี 2010 อัลบั้ม Speak Now และ ปี 2012 อัลบั้ม Red) โดยเทย์เลอร์ถูกกล่าวถึงบนเวทีว่าเธอคือผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการดนตรี ด้วยอิทธิพลทั้งทางด้านดนตรีและชีวิต เธอจึงคว้ารางวัล Woman of the Decade จาก Billboard ในปี 2019 และเป็นศิลปินคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ “พวกเขาบอกว่าฉันเดทมากเกินไปในช่วงอายุ 20 โอเค ฉันจะหยุด พวกเขาบอกว่าในอัลบั้ม Red ของฉันนั้นมีเพลงอกหักมากเกินไป ได้ ฉันจะเปลี่ยน” จรดปลายปากกาลงบนกระดาษ จรดปลายนิ้วลงบนกีตาร์ เทย์เลอร์ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์ของเธอกับคนรักทั้งคนเก่าและปัจจุบันผ่านบทเพลงดังหลายเพลง บางเพลงดังติดชาร์ตจนเรียกว่าเป็นตำนานเลยก็ว่าได้ แต่หลายคนกลับโฟกัสที่พฤติกรรม ‘เปลี่ยนแฟนบ่อย’ ของเจ้าตัวมากกว่าการซึมซับความลึกซึ้งของภาษาและบทเพลงพวกนั้น  คิดในทางกลับกัน หากเป็นศิลปินชายที่นำเรื่องราวความรักของตนมาประพันธ์เป็นเพลงฮิตคงได้รับคำชมว่าเป็นอัจฉริยะที่พลิกความเศร้าเสียใจมาเป็นโอกาสในการเติบโตขึ้นบนเวทีเสียมากกว่า คำพูดข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งจากสุนทรพจน์ของเทย์เลอร์ที่กล่าวไว้ในตอนที่ได้รับรางวัล Woman of the Decade ในปี 2019 ถึงการที่เธอถูกพูดถึงในแง่ของชีวิตส่วนตัวมากกว่างานเพลงที่เธอตั้งใจทำออกมา เธอพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตามคำวิจารณ์ของคนอื่น หากแต่เธอก็ได้รับรู้ว่าการที่เธอถูกพูดถึงในแง่ลบนั้น เพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่ใครหลายคนจะยินดีด้วยในวงการดนตรีนี้ ในสุนทรพจน์นั้น เทย์เลอร์ได้กล่าวถึงนักร้องสาว ‘ลานา เดล เรย์’ (Lana Del Rey) ว่าในความคิดของเธอ เดล เรย์เป็นศิลปินหญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสายเพลงป็อป และแม้ว่าเธอก็เป็นอีกคนที่โดนคำวิจารณ์อย่างมากเหมือนกัน แต่เดล เรย์ก็ยังคงผลิตผลงานดี ๆ ออกมา เทย์เลอร์จึงได้บอกว่าเรานั้นไม่ควรปล่อยให้คำวิจารณ์มาหยุดยั้งความสร้างสรรค์ของเราไว้ และเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป วีรกรรมใหญ่ที่ทำให้แฟนเพลงทุกคนรวมถึงตัวเทย์เลอร์เองจำไม่ลืม คือในปี 2009 เทย์เลอร์กำลังขึ้นกล่าวขอบคุณบนเวที MTV Video Music Awards สำหรับรางวัล Best Music Video เพลง You Belong With Me แต่กลับถูกแร็ปเปอร์ชื่อดังอย่าง ‘คานเย เวสต์’ ขึ้นไปขัดจังหวะโดยการแย่งไมค์ และพูดว่า  “บียอนเซ่ต่างหากล่ะที่ทำวิดีโอออกมาได้เจ๋งที่สุด” จนเกิดเป็นประเด็นร้อนที่หลายคนลืมไม่ลงนั่นเอง (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้ที่ https://thepeople.co/taylor-swift-seventh-album-lover/) ปลุกความเท่าเทียมผ่านซิงเกิล The Man จากอัลบั้ม Lover บางทีเราไม่ทันได้คำนึงถึงเลยว่าที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่ผู้คนเลือกจะโจมตีผู้หญิงหากพวกเธอทำสิ่งนี้ แต่กลับรู้สึก ‘เฉย ๆ’ หากผู้ชายเป็นคนทำ นั่นเป็นเพราะพวกเธอถูกกดขี่อยู่ภายใต้สังคมชายเป็นใหญ่ที่ตีกรอบว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ผู้หญิงควรหรือไม่ควรทำ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้จิกกัดระบอบชายเป็นใหญ่ผ่านดนตรีฟังสบายอย่างเพลง The Man จากอัลบั้ม Lover ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2019 ราวกับอัดอั้นกับสิ่งที่ตัวเธอเองโดนกดทับมาตลอด และระบายมันผ่านเสียงเพลงเพื่อเป็นกระบอกเสียงแทนผู้หญิงอีกหลายคน เนื้อหาเพลงกล่าวถึงบางอย่างที่ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชาย แต่เมื่อเธอที่เป็นผู้หญิงทำกลับถูกตราหน้าจากสังคม ยกตัวอย่างการที่เธอประสบความสำเร็จและขึ้นมาเป็นผู้นำ การที่เธอร่ำรวย หรือเรื่องที่ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งอย่างการที่เธอเปลี่ยนแฟนบ่อย และเทย์เลอร์ได้ตั้งคำถามลงในเนื้อเพลงว่า หากฉันเป็นผู้ชาย อะไร ๆ มันจะง่ายขึ้นไหม? I’m so sick of running as fast as I can / ฉันเหนื่อยเต็มทนแล้วที่ต้องพยายามมากมายขนาดนี้ / Wondering if I’d get there quicker if I was a man / อยากรู้ว่าถ้าฉันเกิดเป็นผู้ชาย อะไร ๆ มันจะง่ายกว่านี้หรือเปล่า / And I’m so sick of them coming at me again / เบื่อเหลือเกินที่ต้องโดนโจมตีแบบนี้อีกแล้ว / ‘Cause if I was a man, then I’d be the man / เพราะถ้าฉันเป็นผู้ชายนะ ฉันก็จะเป็นผู้ชาย (ที่ได้รับการยอมรับ) / (ท่อนหนึ่งจากเพลง The Man - Taylor Swift) “ฉันไม่ต้องการผู้ชายเพื่อมาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเพลง ในการใช้ชีวิต หรือเพื่อให้ฉันรู้สึกดีกับตัวเอง”  เทย์เลอร์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับนิตยสาร Esquire เกี่ยวกับการที่เธอยุติความสัมพันธ์และใช้ชีวิตโสดในช่วงที่ปล่อยเพลง ‘Shake It Off’ เพื่อพิสูจน์ว่าเธอสามารถแต่งเพลงได้โดยไม่ต้องการแรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์ใด ๆ อย่างที่ใครหลายคนดูถูกเอาไว้ เทย์เลอร์นับว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเฟมินิสต์ (Feminist Icon) ด้วยความเก่ง ฉลาด และการประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในพื้นที่ของอุตสาหกรรมดนตรี แต่ถูกกดทับด้วยความเกลียดชัง (misogyny) จากทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งเพื่อนร่วมวงการและคนทั่วไป เพียงเพราะความเป็นตัวของเธอที่ไม่ได้ทำร้ายใครแต่กลับ ‘เกินหน้าเกินตา’ ใครหลายคน เรื่อง: พุธิตา วัยศิริโรจน์ ภาพ: Photo by Frazer Harrison/Getty Images อ้างอิง: https://www.youtube.com/watch?v=ZVpkFb9-fts&t=362s https://www.billboard.com/music/awards/taylor-swift-woman-of-the-decade-speech-billboard-women-in-music-8546156/ https://www.billboard.com/music/awards/taylor-swift-2014-billboard-woman-of-the-year-6281490/ https://www.confusedninjablog.com/แปลเพลง-the-man-taylor-swift/ http://udreview.com/feminist-icon-taylor-swift-has-fought-misogyny-her-entire-career/