‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

‘Mufasa : The Lion King” การเดินทางของสิงโตผู้พลัดถิ่นที่ต่อสู้กับความกลัวและการไม่ยอมรับ เพื่อตามหาบ้านที่เต็มไปด้วยความรักและการยอมรับตัวเอง

KEY

POINTS

  • มูฟาซาจากสิงโตหลงถิ่นผู้เผชิญความกลัวและการไม่ยอมรับ สู่การค้นพบบ้านที่แท้จริงที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น
  • ความกลัวและอุปสรรคเป็นแรงผลักดันให้มูฟาซาและเพื่อนร่วมทางกล้าหาญขึ้น พร้อมสร้างดินแดนใหม่ที่ดีขึ้น
  • มูฟาซาแสดงให้เห็นว่าความหวังและการยอมรับตัวเองคือกุญแจสำคัญสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยแสงแห่งความหวัง

“เมื่อไหร่ที่เจ้ารู้สึกโดดเดี่ยว จงจำไว้ว่า เหล่าราชาบนฟ้าจะคอยนำทางให้เจ้าเสมอ รวมทั้งพ่อด้วย”

ประโยคเปิดเรื่องของภาพยนตร์ Mufasa: The Lion King เรื่องราวภาคแยกของ The Lion King ที่ว่าด้วยชีวิตและเส้นทางการเดินทางของ ‘มูฟาซา’ พ่อของซิมบ้านั่นเอง

เส้นทางที่ไม่ได้สวยงาม หลงทางกันอยู่นาน จนกว่าจะค้นพบ ‘บ้าน’ ที่แท้จริง บ้านที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น และพื้นที่สำหรับการยอมรับตัวเอง

นอกจากนี้จากสิงโตที่มีถิ่นฐานก็ต้องกลายเป็นสิงโตหลงถิ่นที่ไม่มีใครยอมรับ จนเกิดเป็นความกลัวในใจ แต่ถึงอย่างไร ทุก ๆ ความกลัวต่างมอบการเติบโตและความกล้าหาญให้เราอยู่เสมอ

เพราะถึงอย่างไร ไม่ว่ามนุษย์หรือสิงโต เราก็ต่างมีสิ่งที่ต้องการเหมือนกัน นั่นก็คือ ความหวังที่จะต้องการการยอมรับจากคนอื่น และความแข็งแกร่งที่กล้าจะลุกขึ้นมาสร้างโลกที่ดีให้กับตัวเองและคนรุ่นต่อไป

ถึงอดีตจะล้มลุกคลุกคลาน แต่วันนี้ตัวเราก็คือตัวเราที่เก่งในแบบที่ตัวเองเป็น

/บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ The Lion King (2019) และ Mufasa : The Lion King (2024)/

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

ไม่ได้หลงถิ่น แค่หลงทาง

มูฟาซาเคยได้ยินเรื่องของเมือง ‘มิเลเล’ มาจากพ่อของเขาตั้งแต่เด็ก ดินแห่งความนิรันดร ต้องแสงตะวัน สวยงาม และอุดมสมบูรณ์ 

มูฟาซาใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ดินแดนแห่งนี้ แต่น้ำป่าที่ไหลเชี่ยวแรงพรากครอบครัวของเขาไปคนละทิศทาง จนเขามาเจอทาก้า น้องชาย เพื่อน และครอบครัวใหม่

ณ ริมธาร ระหว่างที่มูฟาซากับทาก้ากำลังแนะนำตัวกันอยู่ เอชี แม่ของทาก้าก็เข้ามาห้ามปราม เพราะรู้ว่า สามีและราชสีห์ไม่มีทางยอมรับสัตว์หลงถิ่นอย่าง ‘มูฟาซา’

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

“ข้าไม่ได้หลงถิ่น ข้าแค่หลงทาง ข้าแค่อยากจะตามหาพ่อแม่และมองหาบ้าน” มูฟาซาบอกกับราชินีของดินแดนที่เขาพลัดหลงมาไว้แบบนั้น

“บ้านเหรอ ก่อนจะเจอบ้าน เจ้าต้องหลงทางเสียก่อน” แม่ของทาก้าตอบกลับมูฟาซา

ถึงจะเป็นเพื่อนเล่นของทาก้าจนทั้งสองเข้าสู่วัยรุ่น แต่มูฟาซาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากโอบาซา (พ่อของทาก้า) ราชาแห่งดินแดนนี้ 

มูฟาซาถูกส่งให้ไปออกอาหารกับอิเชและสิงโตตัวเมีย คอยฝึกประสาทสัมผัสต่าง ๆ ขณะที่ทาก้าจะอยู่ใต้ร่มเงาของพ่อ ฟังคำสอนของพ่อที่หวังให้เขาเป็นผู้สืบทอดดินแดน 

แต่ในวันนี้พวกคีโรส เสือสีขาวมารุกดินแดน มูฟาซาก็เป็นคนช่วยเหลือไว้ จนสุดท้ายโอบาซาก็ยอมรับ และยอมรับให้มูฟาซาพาลูกชายของเขาออกเดินทางไปหาดินแดนใหม่ร่วมกัน

นั่นก็คือ ‘มิเลเล’ พื้นที่ที่พ่อและแม่ของมูฟาซาเคยเล่าให้ฟังตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งนี้ ถึงจะหลงทาง โดนคีโรสไล่ตามก็ไม่กลัว เพราะมูฟาซามีเพื่อนร่วมทางที่เขามองเป็นน้องชายอย่างทาก้าวิ่งสนุกไปด้วยกัน สมทบด้วย ‘ซาราบี’ เสือตัวเมียที่บังเอิญเจอกันระหว่างทาง ‘ซาซู’ นกกระเรียนบินสูง และ ‘ราฟิกิ’ ลิงแมนดริลผู้มีนิมิตรแห่งอนาคต

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

ความเกลียดมีเหตุผลเสมอ

ถึงจะนับถือกันพี่ชายน้องชาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดแตกหักของทาก้าและมูฟาซา ก็คงมาจาก การที่ทาก้าถูกมูฟาซาแย่งความรักไปเสียหมด

ไม่ว่าจะเป็นแม่ที่รักและเอ็นดูมูฟาซา ขนาดพ่อที่คิดว่าจะอยู่เคียงข้างเขาก็ยังยอมรับ หรือซาราบีเอง สิงโตสาวที่เขาหมายปองก็ยังรักและเลือกมูฟาซา

ถึงใครจะไม่เข้าใจ แต่ราฟิกิอธิบายความรู้สึกของทาก้าไว้ว่า “เพราะเขาโดยทำร้ายมาก่อน จึงพาลเกลียดทุกอย่างไปหมด”

สำหรับคนอื่นมองอาจเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับทาก้าที่โดนกระทำมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาต่างน้อยใจคนอื่นและน้อยใจตัวเองที่สู้มูฟาซาได้ 

แทนที่จะพูดออกไป เขากลับเก็บไว้ ไฟความเกลียดจึงเริ่มสุมในใจจนกลายเป็นผู้คิดร้าย วางกับดักให้เหล่านักเดินทาง รวมถึงทำให้คนที่เขาเรียกว่าพี่ชายต้องตกอยู่ในอันตราย

ถึงจะไม่ใช่ครอบครัวที่ดีที่สุด และก็ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด และไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเกลียดเพราะอะไร แต่โปรดจงรู้ไว้ว่า ภายใต้ความเกลียดมันมีเหตุผลเสมอ 

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

ความกลัวมอบความกล้า

เอาเข้าจริงแล้ว เรื่องราวของมูฟาซา คือ เรื่องเล่าจาก ‘ราฟิกิ’ ถึง ‘เคียร่า’ ลูกสาวของซิมบ้านั่นเอง 

เคียร่าเองก็กลัว กลัวความมืดและฟ้าฝนที่กำลังปกคลุมบ้านเกิดของเธอ แต่ซิมบ้าพูดกับลูกว่า “ลูกต้องกล้าหาญ คนที่กล้าหาญเขาไม่กลัวกันหรอก”

เอาจริง ๆ ซิมบ้าเองก็เคยผ่านความกลัวมาแล้วเช่นกัน วันที่พ่อของเขาจากไป แล้วต้องออกเดินทางไปสู้กับพวกไฮยีน่า เขาเองก็กลัวสุด ๆ แต่เพื่อเมืองที่เขาเกิดและเติบโตเขาก็ยอมสู้มาจนขึ้นเป็นราชสีห์แห่งมิเลเลได้สำเร็จ

ครั้งหนึ่งซิมบ้าเคยถามมูฟาซา หลังจากเขาเผลอเข้าไปยังแดนของไฮยีน่า แต่พ่อมาช่วยได้ทันว่า “พ่อไม่กลัวอะไรเลยหรอ”

“วันนี้พ่อกลัวว่าอาจจะเสียเจ้าไป” มูฟาซาตอบลูก

“ที่แท้เจ้าป่าก็กลัวได้สินะ” ซิมบ้าตอบพ่อ

“มากขนาดเจ้านึกไม่ถึงเลยล่ะ” มูฟาซาตอบลูกอย่างใจเย็น 

เพราะถึงมูฟาซาจะแข็งแกร่ง เฉลียวฉลาด ไม่กลัวภัยอันตรายใด ๆ แต่มูฟาซาเป็นสิงโตที่กลัวน้ำ ไม่มั่นใจในตัวเอง และกลัวการไม่ถูกยอมรับ ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถ

อาจเป็นเพราะมูฟาซาไม่เคยถูกยอมรับ ในสายตาคนอื่น เขาก็แค่สิงโตหลงถิ่นเท่านั้น แต่เมื่อภัยอยู่ตรงหน้า ความกลัวก็หายไปเหลือเพียงเสียงคำราม เพื่อปกป้องคนที่เขารักสุดชีวิต

และตัวละครที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ ‘ทาก้า’ เองก็เผชิญความกลัวเหมือนกัน เขากลัวว่าพ่อจะไม่รักและไม่ยอมรับในตัวตนของเขา เวลามีภัยเขาคือคนที่หลบ ไม่กล้าแม้จะสู้ เพราะคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ 

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

แต่วันที่เขาจะออกเดินทางไปหาดินแดนใหม่ แม่พูดกับเขาว่า “วันหนึ่งลูกก็จะได้แสดงกล้าหาญเหมือนกันนะ”

ถึงจะร้าย สร้างเล่ห์กลให้มูฟาซามาตกหลุมพรางแค่ไหน แต่เมื่อเขาเห็นสิงโตที่เป็นเหมือนพี่ชายของเขาถูกสิงโตตัวอื่นกระโจนเข้าใส่  ทาก้าคือสิงโตตัวเดียวที่วิ่งพร้อมคำรามเสียงดังจนมูฟาซาปลอดภัย

ไม่ใช่แค่สิงโต แต่มนุษย์เราต่างก็เคยเผชิญอยู่กับความกลัวกันทั้งนั้น แต่สุดท้ายความกลัวนั้นทำให้เราเรียนรู้ เติบโต และผลักให้เราต้องกล้าหาญ บางครั้งก็ทำเพื่อคนอื่น แต่สิ่งสำคัญ คือ ทั้งหมดเราทำเพื่อตัวเอง

เพื่อเป็นตัวเองในเวอร์ชันใหม่ที่กลัวน้อยลง และกล้ามากกว่าเดิม

ดินแดนแห่งการยอมรับตัวเอง

“สวัสดี ฉันชื่อมูฟาซา เป็นสิงโตไร้บ้าน แล้วฉันจะไม่ยอมก้มหัวให้ความชั่ว เราต้องช่วยกันสู้”

ถึงสิงโตจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าป่า แต่เมื่อภัยมา สิงโตก็ไม่สามารถรอดได้ด้วยสัตว์ชนิดเดียว ดังนั้นสัตว์ทุกตัวจึงต้องร่วมมือกัน

เพราะเส้นทางที่หลงทางและต่อสู้ที่ผ่านมาของมูฟาซาบอกแล้วว่า สิงโตยังทิ้นรอยเท้าไว้บนหิมะ และพวกเขาคงผ่านมาไม่ได้ ถ้าไม่มีเจ้า ‘ซาซู’ นกกระเรียนคอยดูศัตรูรอบทิศและใช้ปีดปัดรอยเท้าให้ รวมถึงนิมิตรอันแสนเฉียบคมของ ‘ราฟิกิ’ ลิงมาดริล ลิงผู้อุ้มลูกชายของมูฟาซาให้ชาวสัตว์โลกบนดินแดนแห่งนี้

มากกว่านั้นก็คงไม่มีสิงโตตัวไหนสู้พลังของช้างได้ และไม่มีความสามารถอีกหลาย ๆ ด้านที่สัตว์อื่นทำได้ แต่เขาทำไม่ได้

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

เพราะทุกคนก็มีศักยภาพและความเก่งกาจเป็นของตนเอง ดินแดนใหม่แห่งนี้จึงเป็นภาพสะท้อนของการยอมรับและโอบรับในตัวเอง

ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ยอมรับว่าพื้นที่ตรงนี้จะเป็นบ้านแห่งใหม่ของมูฟาซาที่โอบล้อมด้วยผู้คนที่เขารัก 

การออกเดินทางของมูฟาซาเป็นเหมือนที่แม่บุญธรรมเขาบอกจริง ๆ “ต้องหลงทางก่อน ถึงจะเจอบ้านที่แท้จริง”

ถึงสัตว์ทุกตัวจะยอมรับว่า เขาเป็นราชาแห่งแสงตะวัน แต่คนที่ไม่มั่นใจตัวเองที่สุด ก็คือ มูฟาซา อาจเป็นเพราะเขายังยึดติดกับความเจ็บปวดในอดีต

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนที่มอบความมั่นใจให้กับเขา ก็คือ สัตว์ทุกตัวที่ร่วมเดินทางด้วยกันและสัตว์ทุกตัวที่เป็นเจ้าของอาณาจักรมิเลเลร่วมกัน

“ไม่ต้องสนใจว่านายเคยเป็นอะไร แต่ให้สนใจว่านายกำลังจะเป็นใคร ราชาแห่งมิเลเล”

‘Mufasa : The Lion King’ เสียงคำรามของความรักและการยอมรับตัวเอง

เพราะสุดท้ายอดีตจะเป็นอย่างไรอาจไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบันที่เป็นอยู่ 

ปัจจุบันที่มูฟาซาค้นพบบ้านและครอบครัว พร้อมทั้งการยอมรับความกล้าหาญเพื่อสร้างสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับตัวเองให้คนรุ่นถัดไป

เหมือนกับที่ชีวิตของมูฟาซากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ซิมบ้าและเคียร่าที่จะต้องปกป้องดินแดนต้องแสงตะวันต่อไป 

เพราะแสงตะวันแห่งความหวังนั้นไม่เคยไกล แท้จริงแล้ว มันอยู่ในตัวเราทุกคน

ภาพ : Disney Studio