The Substance : ความงดงามแสนวิปริตของศิลปะ Body Horror

The Substance : ความงดงามแสนวิปริตของศิลปะ Body Horror

The Substance 2024 คือภาพยนตร์ที่โดดเด่นด้วยสัญญะ แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ในตำนานหลายเรื่อง และความเป็น ‘Body Horror’ หรือศิลปะความสยองบนร่างกายมนุษย์

KEY

POINTS

  • ประเด็น Beauty Standard ใน The Substance ที่ทำให้ ‘เหยื่อ’ ของค่านิยมนั้นกลายสภาพเป็น ‘คนเสพติด’ ความงามในร่างใหม่
  • The Substance สอดแทรก Easter Egg จากภาพยนตร์ของผู้กำกับในตำนานหลายคน ทั้งดาร์เรน อโรนอฟสกี, เดวิด โครเนินเบิร์ก, แสตนลีย์ คูบริก ฯลฯ
  • ศิลปะ Body Horror ปรากฏผ่านวรรณกรรม ภาพวาด และภาพยนตร์มาเป็นระยะเวลานาน จนถึงยุคที่อาจถูกมองในฐานะ ‘หนังเกรดบี’
     

/ บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง The Substance 2024 /

เชื่อว่าใครได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘The Substance’ ของผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ‘กอราลี ฟาร์ฌาต์’ (Coralie Fargeat) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา น่าจะรู้ดีว่า หน้าหนังที่ดูลึกลับ บอกไม่ถูกว่าจะมาไม้ไหน อันเนื่องมาจากโปสเตอร์แสนเรียบง่าย แท้จริงแล้ว กลับซุกซ่อนความบ้าคลั่งทั้งในด้านเนื้อหา อารมณ์ หรือภาพความสยองที่ ‘หลุดโลก’ จนอยากกลับไปเสพความบันเทิงชวนกระสับกระส่ายนั้นอีกครั้งใน Netflix

และแม้จะกลับไปชมอีกครั้ง ก็ยังพบว่า The Substance สามารถสร้างความตกตะลึงได้ในทุกช่วงตอนที่ผู้สร้างหยิบความเป็น ‘Body Horror’ หรือ ‘ความสยองขวัญบนร่างกาย’ มาใช้อย่างสร้างสรรค์ เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่ามาจากหนังเรื่องไหน อันเป็นความโดดเด่นของภาพยนตร์แนวนี้ที่มักฝังรากลึกในความทรงจำของผู้ชม

สำหรับ The Substance เทคนิค Body Horror ไม่เพียงถูกนำมาสร้างความสยดสยอง แต่ยังกลายเป็น ‘ความงดงาม’ ที่เกิดจากองค์ประกอบทางศิลปะ รวมไปถึงประเด็นเบื้องหลังร่างกายมนุษย์ซึ่งถูกดัดแปลงจนวิปริตบิดเบี้ยว

แรงบันดาลใจและสัญญะสู่ความงามแสนวิปริต

The Substance เล่าเรื่องราวของ อลิซาเบธ (แสดงโดย เดมี มัวร์) ดาราสาวใหญ่ผู้เคยมีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงขนาดได้จารึกชื่อบนแผ่นหินรูปดาว ณ ถนน Walk of Fame ทว่าร่างกายที่โรยราตามอายุกลับทำให้เธอถูกวงการเขี่ยทิ้ง นำมาสู่การเลือกฉีด ‘The Substance’ สารลึกลับที่สามารถทำให้ผู้ฉีด ‘ลอกคราบ’ ออกมาเป็นร่างที่สองซึ่งมีความอ่อนวัยกว่า (แสดงโดย มาร์กาเร็ต ควอลลี่) โดยมีข้อแม้ว่า ทั้งสองร่างต้องผลัดกันออกไปใช้ชีวิตทุก ๆ เจ็ดวัน ห้ามใช้ร่างใดร่างหนึ่งเกินเวลาที่กำหนดไว้เป็นอันขาด

อ่านเพียงเท่านี้ก็รู้ว่า อลิซาเบธต้องแหกกฎ นำมาสู่เรื่องร้ายไล่เรียงเป็นลำดับขั้น พล็อตของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงจัดได้ว่าเรียบง่าย หากแต่ถูกอุ้มชูด้วยสัญญะและองค์ประกอบที่ชวนตื่นตา ผ่านมุมมองที่น่าสนใจของกอลารี ฟาร์ฌาต์ ผู้สร้างชื่อจาก ‘Revenge’ (2017) ภาพยนตร์แนวแก้แค้นซึ่งได้รับคำชมอย่างล้นหลามบน Netflix ในคราวนี้ เธอได้หยิบยกแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ชั้นครูหลายต่อหลายเรื่องมาผสมกับประเด็นสังคมอันแข็งแรง กลายเป็นเอกลักษณ์ความสยองในแบบของตนเอง

ตั้งต้นจากประเด็นที่ฟาร์ฌาต์อยากนำเสนอตั้งแต่ทีแรกอย่าง ‘Beauty Standard’ หรือความงามในทัศนะฮอลลีวูด ซึ่งถูกตีแผ่ตั้งแต่ในฉากเปิดตัวอลิซาเบธ เริ่มจากการที่เจ้าตัวได้ยินโปรดิวเซอร์คุยโทรศัพท์ในห้องน้ำ นินทาความ ‘แก่’ กับความ ‘ไม่เซ็กซี’ ของเธออย่างหยาบโลน อันเป็นภาพจำของ ‘นายทุนหน้าเลือด’ ซึ่งมองผู้หญิงในฐานะวัตถุทางเพศ และพร้อมเขี่ยทิ้งอย่างเลือดเย็นหากมองว่าเธอหมดศักยภาพในการ ‘เรียกแขก’ 

ฟาร์ฌาต์เลือกนำเสนอภาพลักษณ์ของนายทุนเป็นสัตว์ประหลาดที่หยาบโลน สกปรก ผ่านทั้งอวัจนภาษาและการใช้มุมกล้อง ตั้งแต่ฉากในห้องน้ำที่โปรดิวเซอร์เดินออกไปโดยไม่ล้างมือ ก่อนจะตัดมายังฉากร้านอาหารที่เจ้าตัวใช้มือเปล่าบิดหัวกุ้งเข้าปาก พร้อมผุยเปลือกทิ้งจนน้ำลายกระเด็นเซ็นซ่าน อ้าปากพูดทั้งที่เศษอาหารเต็มปาก ไหนจะใช้มือซึ่งเลอะซอสถึงง่ามนิ้วตบบ่าทักทายนายทุนด้วยกันเอง เมื่อรวมกับการใช้มุมกล้อง Close up ถ่ายใบหน้าให้ดูใหญ่คับจอในทั้งสองฉากแล้ว ก็ชวนให้นึกถึงสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ รูปลักษณ์สกปรกโสโครก อ้าปากพูดขณะเขมือบอาหารอย่างตะกละตะกลาม

มุมกล้องของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถูกออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะการเลือกใช้ Long Shot (การถ่ายให้เห็นทั้งตัวของนักแสดงพร้อมสภาพแวดล้อม) ไปจนถึง Extreme Long Shot (การถ่ายภาพกว้างให้เห็นนักแสดงเป็นเพียงร่างเล็ก ๆ ในสภาพแวดล้อมอันกว้างใหญ่) ประกอบกับการเลือกโลเคชันเป็นทางเดินที่บีบแคบแต่ทอดยาวบ่อยครั้ง ก็ชวนให้นึกถึง The Shining (1980) ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง ‘แตนลีย์ คูบริก’ (Stanley Kubrick) ที่ใช้องค์ประกอบดังกล่าวสร้างความผิดปกติภายในเรื่อง ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภับ ราวกับอลิซาเบธถูกตัดขาดจากมนุษย์คนอื่น หรืออีกนัยน์หนึ่ง ก็อาจสื่อได้ว่าเธอกำลังดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่วิปริตผิดแปลก ทั้งในสตูดิโอที่ปฏิบัติเสมือนเธอเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง และในคอนโดอันเป็นสถานที่ที่เธอใช้ตัดขาดจากโลกภายนอก เพื่อดำดิ่งกับความเก็บกดของตนเอง

การ ‘ดำดิ่ง’ นั้นเองก็ชวนให้นึกถึงหนังหลายต่อหลายเรื่องของผู้กำกับ  ‘ดาร์เรน อโรนอฟสกี’ (Darren Aronofsky) ที่มักเล่าเรื่องของมนุษย์ผู้เก็บกด จมจ่อมกับบางสิ่งบางอย่างจนจิตใจบิดเบี้ยว โดยเฉพาะ ‘Requiem for a Dream’ (2000) ซึ่งเล่าถึงตัวละครที่ติดเฮโรอีน ไม่ต่างจากอลิซาเบธซึ่งเสพติดร่างใหม่ของตนจนเข้าเส้นเลือด ขณะเดียวกัน การฝืนกฏเหล็กแล้วใช้ร่างนั้นเกิดเจ็ดวันก็ทำให้ร่างเก่าของเธอทรุดโทรมจนเข้าขั้นผิดมนุษย์ ยามกลับสู่ร่างเดิม อลิซาเบธมักแสดงความเกลียดชังต่อร่างใหม่ แต่ก็ไม่อาจหักห้ามจิตใจที่หลงใหลมันอย่างโงหัวไม่ขึ้น ไม่ต่างจากคนที่เสพยาไม่หยุดทั้งที่รู้แก่ใจว่ากำลังถูกพิษร้ายบ่อนทำลาย 

ภาพยนตร์ของดาร์เรน อโรนอฟสกี้ ยังปรากฏเป็น Easter Egg ผ่านฉากจบสุดตราตรึงที่ ‘สัตว์ประหลาด’ ปรากฏตัวท่ามกลางแสงสี ไม่ต่างจากตัวละครใน ‘Black Swan’ (2010) ที่กลายสภาพเป็นหงส์ดำขณะเต้นบัลเลต์บนเวที เพียงแค่ในกรณีของอลิซาเบธ การกลายร่างของเธอเกิดจากการ ‘สนองคืน’ ของพฤติกรรมเสพติดจนต้องกลายสภาพเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการ กระนั้น เธอก็ยังกระเสือกกระสนพาร่างขึ้นเวทีด้วยจิตใจที่แตกสลาย ราวกับเพิ่งตระหนักถึงเสียงลึกลับของผู้สร้างสาร The Substance ที่ย้ำเสมอว่า

 

คุณหนีตัวเองไม่พ้น

 

ฃดนตรีคืออีกสื่งหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความอึดอัด กระสับกระส่าย โดยฟาร์ฌาต์เริ่มต้นจากการเจาะจงฟังเพลงที่ชวนให้รู้สึกถึง ‘ร่างกายมนุษย์’ และสามารถสร้างจังหวะที่ทำให้ ‘ชีพจรเต้นรัว’ ตั้งแต่ดนตรีประกอบหนังเรื่อง Under the Skin (2013) ของนักประพันธ์ ‘ไมกา เลวี’ (Mica Levi) ไปจนถึงดนตรีที่สื่อถึงอารมณ์ทางเพศ (Hyper-Sexualized Music) จำนวนมาก ในการทำให้เธอรู้สึกไปกับโลกของหนังขณะอยู่ในช่วงตกผลึกไอเดีย ยังไม่นับรวมการเลือกใช้ดนตรีเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Vertigo (1958)’ ของ ‘อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก’ (Alfred Hitchcock) ประกอบในฉากที่ทำให้ผู้ชมกดดัน ประสาทหลอน 

ทว่าองค์ประกอบที่โดดเด่นที่สุดใน The Substance คือการพาผู้ชมย้อนความทรงจำไปถึงภาพยนตร์ Body Horror ในอดีต ดังจะเห็นได้ว่ามี Easter Egg ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งที่ปรากฏโดยตรงผ่านเมคอัพสัตว์ประหลาดอันบูดเบี้ยว ศีรษะใหญ่โตเทอะทะ ซึ่งฟาร์ฌาต์กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจจากตัวละครใน The Elephant Man (1980) ของผู้กำกับ ‘เดวิด ลินช์’ (David Lynch) ไปจนถึงการปรากฏผ่านสัญญะ เช่น แมลงวันที่บินมาเกาะหลังคอของนายทุนซึ่งกำลังทำตัวเป็นสัตว์ประหลาดตะกละตะกลาม ก็ดูจะเป็นการคารวะหนัง Body Horror ในตำนานอย่าง The Fly (1986) หรือในฉาก Extreme Close up ปากของอลิซาเบธร่างใหม่ขณะเอ่ยชื่อปลอมของตนเป็นครั้งแรก ก็ดูคล้ายกับฉากหนึ่งของ Videodrome (1983) โดยสองเรื่องหลังคือผลงานกำกับของ ‘เจ้าพ่อหนัง Body Horror’ อย่าง ‘เดวิด โครเนนเบิร์ก’ (David Cronenberg) ผู้จุดกระแสภาพยนตร์แนวนี้จนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่ง

และหากจะกล่าวว่า The Substance คือภาพยนตร์ที่ทำให้คำว่า Body Horror กลับมาคุ้นหูคอหนังยุคใหม่อีกครั้งก็คงไม่ผิดนัก บางคนอาจเพิ่งรู้จักคำดังกล่าวในช่วงที่ภาพยนตร์กำลังเป็นกระแส โดยไม่รู้เลยว่า Body Horror คือศาสตร์ที่อยู่คู่วงการศิลปะมาช้านาน

 

‘Body Horror’ ศิลปะวิปริตที่งดงามตรึงใจ

Body Horror’ หรือ ‘Biological Horror’ แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘ความสยองขวัญบนร่างกาย’ เป็นคำเรียกของศิลปะรูปแบบหนึ่งที่นำเสนอภาพความบิดเบี้ยว พิกลพิการ แปลกประหลาด ไปจนถึงการดัดแปลงร่างกายจนดูผิดธรรมชาติ ซึ่งแม้จะไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นร่างกายของ ‘มนุษย์’ เพียงอย่างเดียว ทว่าในยุคที่การแพทย์เจริญก้าวหน้า ผู้คนทั่วโลกมองร่างกายของตนเป็นสิ่งเปราะบาง ละเอียดอ่อน ภาพความวิปริตที่เกิดต่อมนุษย์ จึงเป็นวิธีสร้างความหวาดกลัวที่เห็นผลชะงัดที่สุด 

และแน่นอนว่ามนุษย์เรา ผู้หลงรักการสนุกกับความกลัว ก็ย่อมถวิลหาความตื่นเต้นกดดันจากการได้เห็นภาพเหล่านั้น จนเรียกขานมันในฐานะศิลปะแขนงหนึ่ง เต็มไปด้วยสุนทรียะ จริตอารมณ์ รวมถึงความงดงามในแบบของมันเอง
วรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าใช้เทคนิค Body Horror จนกลายเป็นตำนานขึ้นหิ้งเรื่องแรก ๆ เห็นจะเป็น Frankenstein (1818) โดย ‘แมรี เชลลีย์’ (Mary Shelley) นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ ผู้สร้างอสูรกายที่มีรูปลักษณ์คล้ายมนุษย์ แต่กลับใส่ความ ‘น่าเกลียดน่ากลัว’ เพิ่มลงไป จนใครต่อใครที่พบเห็นต่างก็พากันอกสั่นขวัญแขวน

Body Horror ในโลกวรรณกรรมไม่ได้นับเฉพาะความวิปริตด้านรูปร่างหน้าตา แต่ยังรวมไปถึงความบิดเบี้ยวจากภายใน อันจะทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมผิดแปลก นิยายอีกเรื่องที่เป็นตำนานไม่แพ้แฟรงเกนสไตน์คือ The Strange Case of Dr.Jekyll and Mr.Hyde (1886) ของนักเขียนชาวสก๊อต ‘โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน’ (Robert Louis Stevensin) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของคนที่มีสองตัวตนในร่างเดียว นำมาสู่การที่ ‘ตัวตนที่สอง’ บงการร่างกายของเขาให้กระทำเรื่องโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการออกแบบสัตว์ประหลาดรูปลักษณ์วิปริตชวนเบือนหน้า หากแต่ถูกนับรวมเป็น Body Horror เพราะการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจก็ถือเป็นความผิดปกติอันน่าสะพรึงของมนุษย์เช่นเดียวกัน

หากข้ามมาในวงการภาพวาด จะพบว่าจิตรกรหลายคนซึ่งเกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ก็มีการนำความเป็น Body Horror มาใช้สร้างสรรค์ผลงาน เช่น ‘ฟรานซิส เบคอน’ (Francis Bacon) ศิลปินผู้มักนำภาพอวัยวะน้อยใหญ่ของมนุษย์มาดัดแปลงให้ดูบิดเบี้ยว นำเสนอควบคู่ไปกับอารมณ์ด้านลบ ตั้งแต่ความเหงา เศร้า หดหู่ ไปจนถึงบ้าคลั่ง หรือ ‘ซจิสวัฟ เบ็กชินสกี’ (Zdzisław Beksiński) จิตกรผู้นำเสนอภาพมนุษย์ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมผุพัง ดูผ่ายผอม ตายซาก ไร้ชีวิต

สำหรับวงการภาพยนตร์ เรื่องที่นำเสนอภาพร่างกายมนุษย์อย่างผิดธรรมชาติเริ่มปรากฏให้เห็นมาเป็นเวลากว่า 6 ทศวรรษ เช่น The Fly (1958) ของผู้กำกับ ‘เคิร์ต นอยมันน์’ (Kurt Neumann) เล่าเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ผู้กลายร่างเป็นครึ่งมนุษย์-ครึ่งแมลงวัน หรือ Rosemary’s baby (1960) ของ ‘โรมัน โปลันสกี’ (Roman Polanski) ที่มีการออกแบบภูตผีปีศาจด้วยรูปลักษณ์พิกลพิการ

เมื่อย่างเข้าสู่ปลายคริสตวรรษที่ 20 ภาพยนตร์แนว Body Horror เริ่มถูกสร้างมากขึ้น จนหลายเรื่องกลายมาเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ เช่น ‘Invasion of the Body Snatchers (1978)’ ของ ‘ฟิลิป คอฟแมน’ (Philip Kaufman) และ The Thing (1982) ของ ‘จอห์น คาร์เพนเทอร์’ (John Carpenter) ที่ยกระดับการรุกรานของเอเลี่ยน ด้วยความสามารถในการเข้าสิงเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจนถึงลักษณะนิสัยของมนุษย์

ช่วงเวลาดังกล่าวนับเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของภาพยนตร์ Body Horror ทั้งยังเป็นยุคแรกเริ่มของเจ้าพ่อหนังแนวนี้อย่าง เดวิด โครเนนเบิร์ก ผู้สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างหนังสยองขวัญยุคใหม่มากมาย นำทัพด้วย Scanners (1981) ซึ่งโจษจันด้วยฉากระเบิดหัวในตำนาน Videodrome (1983) ที่นำเอา Body Horror มาผสมกับเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และ The Fly (1986) รีเมคจาก Body Horror ยุคบุกเบิก ซึ่งคอหนังจำนวนมากคงมีภาพจำของ ‘เจฟฟ์ โกลด์บลุม’ (Jeff Goldblum) ในสภาพมนุษย์ครึ่งคน-ครึ่งแมลงวัน ผิวหนังตะปุ่มตะป่ำสีแดงเถือก เต็มไปด้วยเลือดและเยื่อเมือกไหลเยิ้ม

หลังล่วงเข้าสู่ทศวรรษที่ 2000 ภาพยนตร์ Body Horror ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่ในหลาย ๆ ครั้ง อาจถูกมองเป็น ‘หนังเกรดบี’ ที่เน้นเพียงความน่าสยดสยองของเลือดหนอง ปราศจากการประยุกต์ใช้ศิลปะภาพยนตร์อย่างคุ้มค่า จนไม่ได้รับการกล่าวขานในฐานะหนังเจ้าของเทคนิคพิเศษหรือการแต่งหน้าระดับพลิกวงการอีกต่อไป
ทว่าสิ่งที่คอหนังน่าจะเห็นตรงกันคือ ถึงแม้ภาพยนตร์ Body Horror จะไม่ได้รับความนิยม หรืออาจถูกมองว่าไม่มีคุณภาพเท่าในอดีต แต่ศิลปะชนิดนี้ก็ได้ ‘ฝังรากลึก’ ในความทรงจำของเรา ชนิดที่ว่ามองแวบเดียว ก็รู้ทันทีว่าภาพร่างวิปริตนั้นมาจากหนังเรื่องไหน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับ The Substance จึงเป็นนิมิตหมายอันดี เพราะนอกจากจะทำให้คนจดจำไม่รู้ลืม ยังได้รับการกล่าวขานในฐานะภาพยนตร์คุณภาพ เข้าชิงรางวัลจากหลายเวที ตอกย้ำว่า Body Horror ยังคงน่าสนใจหากอยู่ภายใต้การนำเสนอที่ ‘ทำถึง

และวันนี้ ผู้กำกับ กอราลี ฟาร์ฌาต์ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพยนตร์ที่นำ ความงาม ค่านิยม และร่างกายมนุษย์ มาผสมผสานโดยมีแก่นหลักคือ ‘ความวิปริต’ โดยทั้งหมดก็ได้พิสูจน์ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ สามารถเฉิดฉายไม่แพ้บรรดาหนังขึ้นหิ้งยุคเก่าที่เธอหยิบยกมาเป็นแรงบันดาลใจเลยแม้แต่น้อย

 

อ้างอิง
Bryson Edward Howe, (2020), Francis Bacon: The Horrors of Humanity, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://www.thebigship.org/post/francis-bacon-horrors-of-humanity

CinemaWaves, (2024), a beginner's guide to body horror film, , ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://cinemawavesblog.com/film-blog/what-is-body-horror-film-examples/

Elissa Suh, (2024), ‘The Movie Is Fundamentally About the Violence of Control’: Writer-Director Coralie Fargeat Talks The Substance, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://www.vogue.com/article/coralie-fargeat-the-substance-interview

Gehannaandhinnom, (2017), A Quick History of Body Horror in Cinema, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://gehennaandhinnom.wordpress.com/2017/04/07/a-quick-history-of-body-horror-in-cinema/

Laura Kelly, (2024), The Substance: 10 Easter Eggs & Horror Movie References Explained, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://screenrant.com/the-substance-movie-easter-eggs-references/

Marya E. Gates, (2024), Female Filmmakers in Focus: Coralie Fargeat on “The Substance”, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://www.rogerebert.com/interviews/female-filmmakers-in-focus-coralie-fargeat-on-the-substance

Tyler Griffin, (2022), Beginner's guide to body horror, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://thebodyissue.theeyeopener.com/final-body-horror.html

Williow Catelyn Maclay, (2022), Body is reality: tracing David Cronenberg’s history with body horror, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://www.polygon.com/what-to-watch/23139794/david-cronenberg-best-body-horror-movies-history-analysis-crimes-of-the-future

อธิบดี ตั้งก้องเกียรติ, (2024), สุนทรียะแห่งความสยองขวัญบนร่ายกาย, ค้นเมื่อ 13 มกราคม 2025 จาก https://groundcontrolth.com/blogs/body-horror-aesthetics-of-horror-on-our-bodies